เมื่อยามฟ้าสาง รถม้าของนายใหญ่โจวหยุดจอดที่หน้าเรือนนางฟ้า
ยามนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดของเรือนนางฟ้า ผู้ติดตามของนายใหญ่โจวทุบประตูอย่างแรงจนประตูเปิดออก
“เรื่องนี้ข้าคิดดูแล้ว เจ้าหวังดีจริงๆ ”
นายใหญ่โจวพูดอย่างเฉยเมย
“ในเมื่อหวังดี ก็จะสนับสนุนเต็มที่”
ท่านชายเฉิงสี่ที่เป็นกังวลกับร้านอาหารจนกินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายวัน ตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว
เขาสงสัยว่าตนฟังไปผิดแล้ว
“พวกเราทุกคนล้วนต้องการทำร้านให้ดี ดังนั้นจงช่วยกันเถิด คนอื่นยังไม่ทันได้มาวุ่นวายของเรา แต่พวกเราเองกลับจะทำลายมันเสียก่อน” นายใหญ่โจวเอ่ย “ในเมื่อเจ้ามั่นใจว่าจะจัดการได้ดี เจ้าก็จงดูแลไปเถิด”
นับตั้งแต่วันที่พายุฝนโหมกระหน่ำจนถึงวันที่ฟ้าโปร่ง ท่านชายเฉิงสี่รู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่สักเล็กน้อยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับนายใหญ่โจวที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือในชั่วข้ามคืน
แต่ไม่ว่าอย่างไร เขานึกถึงเพียงเรื่องเดียวคือจะไม่ยอมมอบร้านของน้องสาวให้กับคนอื่นเป็นอันขาด
เขาพูดไม่เก่ง จึงไม่พูดเสียดีกว่า ก่อนจะโค้งคำนับให้
“เจ้าไม่คุ้นชินกับที่นี่ ทั้งยังมีงานบ้านที่ต้องสะสาง เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะหาคนที่มีฝีมือมาช่วยเจ้าดูแลร้าน” นายใหญ่โจวพูดพลางชี้ไปยังบ่าวชราที่ยืนอยู่ด้านหลัง “นี่คือคนดูแลบัญชีเก่าแก่ของบ้านข้า”
เอาอย่างนี้เลยหรือ…
ท่านชายเฉิงสี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
อันที่จริง หากไม่ลงรอยกับนายใหญ่โจวจริงๆ คงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ แต่หากต่างฝ่ายต่างถอยคนละก้าว ย่อมดีกว่า…
เมื่อเห็นสีหน้าของบัณฑิตหนุ่มผ่อนคลายลง นายใหญ่โจวเลยยิ้มอย่างพอใจ
มีท่านเจียงโจวคอยหนุนหลังก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร
เพราะเป็นเรื่องของตระกูลอื่น
เป็นเรื่องของพวกเขาตระกูลโจว
และมีความเกี่ยวโยงกับเรื่องกรรมสิทธิ์ ท่านเจียงโจวคงจะไม่ออกหน้าเป็นแน่ หรือว่าเขาไม่กลัวว่าจะเสียชื่อเสียงเพราะฮุบสมบัติของผู้อื่นมาเป็นของตัวเองอย่างนั้นหรือ”
ผู้แสวงหาความรู้ที่มีชื่อเสียงย่อมรักศักดิ์ศรี แม้ว่าบางเรื่องจะต้องเสียหน้าบ้างก็ตาม
บัณฑิตหนึ่งคนและบ่าวรับใช้ไม่กี่คนจะรับผิดชอบร้านเหล่านี้ คิดน้อยเกินไปจริงๆ
หนึ่งวัน สองวัน หนึ่งเดือน สองเดือน ครึ่งปี อาจทำได้ แต่ถ้านานกว่านั้นเล่า
ทั้งสองล้วนแซ่เฉิงก็จริง แต่สำหรับเรื่องบางเรื่องไม่ใช่ว่าใครๆ ก็ทำได้…
ในเวลาเดียวกัน รถม้าที่แล่นมาอย่างเสียงดังก็ได้หยุดจอดหน้าประตูของสะพานอวี้ไต้ บ่าวทั้งหลายที่รายล้อมฮูหยินโจวอยู่ลงจากรถ
สิบกว่าวันแล้วที่ไม่ได้มาที่นี่
“สาวใช้นั้นร้ายกาจมาก พวกเรามากันเยอะหน่อย จะได้ไม่เสียหน้าตอนนางชวนทะเลาะ”
หัวหน้าแม่บ้านกระซิบกับแม่นมข้างๆ ขณะมอบหมายงาน
“…พวกเจ้าไปพังประตู…พวกเจ้าจับตาดูบ่าวตัวน้อยนั่น…พวกเจ้ากดสาวใช้ไว้…ส่วนพวกเจ้าเข้าไปยกคนออกมา…”
คำพูดเหล่านี้เคยกำชับก่อนออกจากจวนแล้ว จะเห็นได้ว่าตอนนี้ย้ำเตือนอีกครั้ง เพราะเป็นเรื่องสำคัญมากจริงๆ
มีเพียงสาวใช้สองคนและบ่าวหนึ่งคน รวมกันแล้วร่างกายยังใหญ่ไม่เท่าหนึ่งคนของพวกนางเลย แต่กลับจริงจังถึงเพียงนี้
แม่นมบางคนถึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่
“จะหัวเราะอะไรนักหนา อย่าคิดว่ามีแค่สามคนเท่าที่เห็น ต้องระวังให้มาก”หัวหน้าแม่บ้านพูดเสียงเบาด้วยใบหน้าจริงจัง “อย่าลืมว่าแม่นางคนนั้นเป็นใคร…”
ศิษย์ของปรมาจารย์สูงสุดหลี่แห่งลัทธิเต๋า นายที่สามารถร่วมดื่มสุราเคียงข้างท่านพญายม
โชคดีที่ล้มป่วยเป็นเวลานานและยังไม่ฟื้น มิเช่นนั้นหากทำให้นางหงุดหงิด เพียงคำเดียวก็ทำให้ท่านพญายมกระดิกนิ้วและตายในทันที
แม่นมทั้งหลายพยักหน้าอย่างหนักแน่น
ฮูหยินโจวลงจากรถแล้วยื่นนิ่ง เงยหน้ามองขึ้นไปที่ประตู
“พอแล้ว รีบไป รีบไป” หัวหน้าแม่นมตบมือเอ่ยและกำชับ “จำให้ขึ้นใจ ต้องเร็ว”
แม่นมสี่คนยืนอยู่หน้าประตู หายใจเข้าลึกๆ แล้วยกมือตบไปที่ประตู
“เปิด…” พวกนางตะโกนขณะที่มือยังแนบประตู
ประตูเปิดออกตามเสียงตะโกน
คนทั้งสี่ที่ทรงพลังล้มเข้าไปด้านในอย่างหมดสภาพจนร้องออกมาหลายครั้งด้วยความตกใจ
เสียงกรีดร้องนี้ทำให้แม่นมที่เดินตามหลังกรีดร้องตามไปด้วย
หน้าประตูเต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวาย ดึงดูดสายตาผู้สัญจรไปมาด้วยความสงสัย
“จะตะโกนอะไรนักหนา! ” ฮูหยินโจวพูดด้วยความโมโห
เจ้าบ้านยังไม่ทันชวนทะเลาะ แต่เป็นพวกนางเองที่ก่อเรื่องส่งเสียงดัง!
แม่นมทั้งหลายรีบปิดปากเงียบ ส่วนแม่นางที่ล้มเข้าไปด้านในก็ยืนนิ่ง และมองเห็นเพียงบ่าวตัวน้อยยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดินมองดูพวกเขาด้วยใบหน้าที่ประหลาดใจ
แม่นมที่รับผิดชอบในการกดบ่าวตัวน้อยไว้เริ่มกระวนกระวายเล็กน้อย
ตอนนี้เขาไม่ตะโกน ไม่ส่งเสียง เปิดประตูให้ พวกนางยังต้องกดเขาไว้หรือไม่
“ไปให้พ้น” ฮูหยินโจวเอ็ด
แม่นางทั้งหลายรีบหลีกทาง ฮูหยินโจวจึงเดินเข้ามา
บ่าวตัวน้อยที่อยู่ตรงทางเดินยกมือขึ้น
แม่นางทั้งหลายเคร่งเครียดขึ้นทันทีและรีบวิ่งเข้าไป
บ่าวตัวน้อยลูบจมูก หันหลังเดินไปที่ด้านข้าง
แม่นมทั้งหลายที่วิ่งไปได้ครึ่งทางก็รีบหยุดจนเกือบจะล้มหัวฟาดพื้น
“ฮูหยินมาเจ้าค่ะ”
ณ ห้องโถง สาวใช้พูดพลางก้าวเดินออกมา
ฮูหยินโจวตอบรับและอดไม่ได้ที่จะมองหน้าสาวใช้
ที่แท้คือสาวใช้ของตระกูลจาง!
ไม่น่าแปลกใจเลยที่หยิ่งผยองมาโดยตลอด!
เมื่อก่อนหยิ่งผยองก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้นายหญิงของนางล้มป่วย นางยังจะมาหยิ่งผยองอีก นี่ไม่ใช่การปกป้องนาย แต่รังแกนายต่างหาก
ฮูหยินโจวเม้มริมฝีปากเมินเฉย ยกเท้าเข้าประตูไป
สาวใช้ยิ้มเล็กน้อย คำนับนางแล้วเดินไปยืนด้านข้าง
หลีกทางให้…
ทำให้แม่นมทั้งหลายที่รับผิดชอบคุมตัวสาวใช้ถึงกับตะลึง
นับตั้งแต่เดินเข้าประตูมาทำไมถึงแตกต่างจากที่จินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิง
“พวกเจ้าเก็บของ แล้วพาเจียวเจียวร์กลับบ้าน” ฮูหยินโจวพูดพร้อมกับนั่งรอในห้องโถง
“ฮูหยินจะพานายหญิงของข้ากลับไปหรือเจ้าคะ” สาวใช้ถาม
“ทำไม ไม่ได้หรือ” ฮูหยินโจวมองหน้านางด้วยรอยยิ้มที่เหมือนไม่ยิ้ม
“เรื่องนี้ พวกเราที่เป็นสาวใช้ไม่กล้าออกความเห็นเจ้าค่ะ” สาวใช้ยิ้มพูด
แม่นมที่พับแขนเสื้อขึ้นและกำลังจะพุ่งเข้าไปต้องตะลึงอีกครั้ง
รู้ตัวก็ดีแล้ว
ฮูหยินโจวโบกมือ
“ฮูหยินถามนายหญิงของเราเถิดเจ้าค่ะ” สาวใช้พูดต่อ
ฮูหยินโจวยิ้ม ลุกขึ้นยืนทันที
“ได้ ข้าจะไปถามเอง” นางพูดพร้อมกับเดินเข้าไปด้านใน ป้องปากและปิดจมูกเล็กน้อย
กลิ่นคนนอนป่วยมานาน คงจะ…
แม่นมทั้งหลายรีบเปิดม่าน ฮูหยินโจวเดินเข้าไปในห้องนอน
“เจียวเจียวร์ วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” นางพูดพร้อมกับก้มศีรษะมอง “กลับบ้านไปพักฟื้นกับป้าเถิด อยู่ด้านนอกไม่สะดวก”
นางหัวเราะหลังจากพูดจบ
“ขอบคุณท่านป้าที่ไม่ทอดทิ้ง…”
หลังจากพูดกับตัวเองจบ ฮูหยินโจวถึงกับผงะ
ทำไมเสียงของนางเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย
“ขอบคุณท่านป้าที่ไม่ทอดทิ้ง” นางพึมพำอีกครั้ง
ใช่แล้ว เสียงนี้ถึงจะถูก
เสียงเมื่อชั่วครู่นั้น…
“ใช่แล้ว ขอบคุณท่านป้าที่ไม่ทอดทิ้ง”
เสียงนั้นพูดขึ้นอีกครั้ง
ฮูหยินโจวรู้สึกได้เพียงกระดูกสันหลังเย็นวาบและลามไปทั้งตัวในทันที นางเงยหน้าขึ้นไปมองที่เตียงนอนอย่างแข็งทื่อ
เตียงนอนก็ยังเป็นเตียงนอนตัวนั้น และคนบนเตียงนอนก็ยังเป็นคนๆ นั้น
นางยังอยู่ในชุดคลุมสีเขียวตัวนั้น ล้มนอนบนเตียง ผมยาวสีดำกระจัดกระจายราวกับน้ำตก มือข้างหนึ่งจับศีรษะ มืออีกข้างวางไว้บนร่างกาย ซึ่งหญิงสาวผู้นั้นกำลังนอนตะแคงและจ้องมองตนอยู่
จ้องมองตนอยู่…
จ้องมองตนอยู่!
ฮูหยินโจวกรีดร้อง หันหน้าวิ่งออกไป และชนเข้าใส่แม่นมที่ตามอยู่ด้านหลังอย่างไม่ทันระวัง
แม่นมทั้งหลายกรีดร้องตาม ฮูหยินโจวล้มลุกคลุกคลานแต่ไม่หยุดวิ่ง แต่เพราะไม่คุ้นชิน จึงกระแทกกับกรอบประตู ทำให้กรีดร้องดังกว่าเดิมและล้มออกไปด้านนอก ขณะที่เดินโซเซได้เหยียบกระโปรงจนกลิ้งลงบันได
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของแม่นมทั้งหลาย ฮูหยินโจวที่กำลังกลิ้งอยู่บนพื้นหลับตา ศีรษะเอียงและขยับตัวไม่ได้
เสียงร้องเรียก เสียงตะโกน เสียงร้องไห้ดังไปทั่วลานบ้าน
สาวใช้และจินเกอร์ที่ยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดินต่างตกตะลึงจนตาค้าง
“นายหญิงทำอะไรหรือ” จินเกอร์อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความงุนงง
“นายหญิงไม่ได้ทำอะไร” สาวใช้ตอบอย่างงุนงง “แค่พูดประโยคเดียวเท่านั้น”
แค่ประโยคเดียวเท่านั้น…
ประโยคเดียวเท่านั้น ฮูหยินโจวตกใจจนสติแตก และทำตัวเองจนเป็นลมไป…
สาวใช้หัวเราะขึ้นอีกครั้งและยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ นางเอามือป้องปาก หัวเราะจนน้ำตาไหลออกมา
นายหญิงไม่ต้องทำอะไร แค่อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงนี้ก็เพียงพอแล้ว….
“จินเกอร์” นางยิ้มพร้อมโบกมือเรียก “มานี่ เจ้าก็ไปพูดสักประโยค”
“จะเก่งกาจเหมือนของนายหญิงหรือไม่” จินเกอร์ถาม
สาวใช้พยักหน้าด้วยรอยยิ้มและพูดข้างหูของเขา
จินเกอร์ตอบรับด้วยรอยยิ้ม และวิ่งผ่านแม่นมทั้งหลายที่ร้องดังลั่นไป
เขาโยนกลอนประตูที่ติดตัวตั้งแต่นายหญิงล้มป่วยไปด้านข้าง ผลักประตูแล้ววิ่งออกไปโดยไม่สนใจว่าประตูจะปิดหรือไม่
ไม่สนใจ ไม่ต้องกลัวแล้ว มีนายหญิงอยู่ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น….
ขณะที่จินเกอร์วิ่งเข้าไปในเรือนนางฟ้า นายใหญ่โจวกำลังจิบชาอย่างสบายใจ
“…พวกเจ้ารับผิดชอบสมุดบัญชี ส่วนบ่าวชรานี้ให้ติดตามเป็นลูกมือของผู้ดูแล…” เขาพูดต่อ
เป็นลูกมือก็ยิ่งดี
ท่านชายเฉิงสี่พยักหน้า
แน่นอนว่าเป็นลูกมือเพียงอย่างเดียวย่อมเป็นเรื่องดี ค่อยเป็นค่อยไป…
บ่าวรับใช้ที่นามไม่เที่ยงวาจาไม่ราบรื่นและบัณฑิตผู้เลอะเลือน ริอยากจะมาแย่งกับเขา ถุย…
นายใหญ่โจวดื่มชาด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง
“ท่านชายสี่! ”
เสียงอันแหลมคมของจินเกอร์ดังขึ้น ประตูถูกเปิดออก
“นายหญิงฟื้นแล้ว! ”
ทันทีที่คำพูดนี้ดังขึ้น ทุกคนในห้องถึงกับตะลึง และมองไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงประตูด้วยใบหน้าตื่นเต้น
นายหญิง…ฟื้นแล้ว…
นายหญิง! ฟื้นแล้ว!
ลมหายใจภายในห้องหยุดนิ่งไปชั่วขณะ หลังจากนั้นครู่หนึ่งเสียงปังดังขึ้น
ท่านชายเฉิงสี่ลุกขึ้นยืนคนแรกและวิ่งออกไป จินเกอร์ถูกผลักออกไปด้านข้าง เสียงที่ดังขึ้นคือเสียงกระแทกกับประตู
ผู้ดูแลอู๋ลุกขึ้นตามทันที เพราะตื่นเต้นมากเกินไป ทำให้ลุกขึ้นไม่ได้ในครั้งแรก จนในที่สุดก็ลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลและวิ่งโซเซออกไป
จินเกอร์ถูกผลักจนทรงตัวไม่ได้เล็กน้อย จากนั้นเงยหน้าขึ้นมอง ตอนนี้เหลือเพียงนายใหญ่และบ่าวสองคนในห้องเท่านั้น
“นายหญิงของข้าฟื้นแล้ว! ” จินเกอร์มองไปที่นายใหญ่โจวและตะโกนด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง
ถ้วยน้ำชาของนายใหญ่โจวยังคงวางค้างไว้ที่มุมปาก ราวกับกำลังเหม่อลอย และเสียงตะโกนนั้นเรียกสติเขากลับมา
ฟื้นแล้ว…
ฟื้นแล้ว…
จู่ๆ ก็ปรากฏเงาคนมากมายขึ้นต่อหน้านายใหญ่โจว
ซึ่งได้แก่ ราชเลขาหลิวผู้ตกอับถูกยิงศีรษะล้มหน้าหงาย ปากเบี้ยวและตาแข็ง หรือสีหน้าตกใจกลัวของบรรดาขุนนางชั้นสูงในท้องพระโรง…
และทันใดนั้น เงาของคนเหล่านั้นถูกแทนด้วยตัวของเขา…
นายใหญ่โจวขาดอากาศหายใจในทันใด ถ้วยชาในมือหล่นลงพื้น
“นายใหญ่ นายใหญ่! ”
บ่าวชราสังเกตเห็นความผิดปกติ จึงรีบตะโกนและยื่นมือลูบเบาๆ
นายใหญ่โจวสีหน้าแดงก่ำ สองมือจับคอตัวเอง อยากจะไอแต่ไอไม่ออก ร่างกายบิดเป็นก้อนกลม
“ใครก็ได้รีบเข้ามาเร็ว นายใหญ่สำลัก! ” บ่าวชราตะโกนอย่างเป็นกังวล ทุบหลังนายใหญ่โจวสุดแรง “ใครจะสำลักน้ำชากัน! ”
จินเกอร์หัวเราะเยาะนายใหญ่โจวที่แทบจะขาดอากาศหายใจตาย
คำพูดเพียงประโยคเดียวสามารถทำให้ผู้คนตกใจแทบตายได้จริงๆ เขาเก่งกาจเช่นเดียวกับนายหญิงเลย