หนานหว่านเยียนพ่นลมหายใจออกมา “เจ้าอยากตรวจสอบก็ลองตรวจสอบดู วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว มิขอเป็นเพื่อนเล่นกับเจ้า ข้าต้องกลับไปจวนอ๋อง เพื่อกล่อมเด็ก ๆ ให้เข้านอน”

กู้โม่หานนึกถึงเด็กทั้งสองคน “รอเดี๋ยว ข้าจะไปส่งเจ้าเอง”

หนานหว่านเยียนมิรู้ตัว บัดนี้เขาถูกผู้หญิงคนนี้ดึงดูดอย่างสุดลูกหูลูกตา

“มิเป็นไร ข้ากลับเองได้”

กู้โม่หานขมวดคิ้ว เขารู้สึกมิพอใจ “ทำไม? ข้าไปส่งเจ้า เจ้ามิพอใจอย่างนั้นหรือ?”

ในใจของกู้โม่หานรู้สึกขอบคุณหนานหว่านเยียนเป็นอย่างมากที่นางให้ความช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา

เนื่องจากเขาพานางมาที่นี่อย่างไร้เหตุผล หนานหว่านเยียนมิเพียงแค่มิโกรธ แต่นางยังทำการรักษาและช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาอย่างสุดกำลัง

เขาอยากกล่าวขอบคุณออกไป แต่เขารู้สึกอาย มิกล้าพูดมันออกไป

“ก็ได้ ยังไงก็ดีกว่าให้ข้าเดินกลับด้วยตัวเอง” หนานหว่านเยียนเห็นท่าทางดื้อรั้นของกู้โม่หาน หากปฏิเสธต่อไป เกรงว่าเขาคงแข็งกร้าวมากกว่านี้

มิว่าอย่างไรก็ต้องยอม นางจะฝืนไปเพื่ออะไร

“งั้น……” กู้โม่หานหันหน้านี้พร้อมกระแอมออกมา “อาการของเหล่าเสิ่นเป็นอย่างไรบ้าง? เขาจะกลับมาหายดีได้หรือเปล่า?”

เมื่อสักครู่ตอนที่เขาเข้าไปด้านในของกระโจม เขาเห็นว่ามือและเท้าของเสิ่นจวินยังคงอยู่ดีเหมือนปกติ แต่เขามิมีเวลาตกใจ เนื่องจากเรื่องของหนานหว่านเยียนนั้นทำให้เขาตกใจยิ่งกว่า

พูดถึงคนป่วย ท่าทางของหนานหว่านเยียนดูจริงจังขึ้นมาทันใด

“ข้าทำการเชื่อมต่อส่วนที่หักทั้งหมดของเขาเอาไว้แล้ว แต่ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการฟื้นฟู ช่วงนี้เจ้าอย่าให้เขาลงมาจากเตียงเป็นอันขาด อย่างน้อยก็ต้องหลังสองอาทิตย์ เขาถึงสามารถลงจากเตียงได้ จากนั้นถึงเริ่มกระบวนการฟื้นฟูต่อไป”

“และกระบวนการบำบัดฟื้นฟูหลังจากนี้ ข้าจะบอกกับเจ้า เจ้าสั่งให้คนไปบอกเขาต่อก็พอแล้ว รายละเอียดคือ……”

หนานหว่านเยียนพูดอย่างมีความรับผิดชอบ ดวงตาที่สดใสเหมือนดวงดาวของนางเปล่งประกาย เห็นหนานหว่านเยียนซึ่งอยู่ในท่าทางที่มีเหตุผลและนิ่งสงบเกินกว่าคนทั่วไป มันทำให้กู้โม่หานเสียสติไปครู่หนึ่ง และมิว่านางจะพูดอะไรออกมา มันก็มิเข้าหูของเขาเลยแม้แต่น้อย

เขารู้สึกร้อนรน แม้จะเคยบอกว่าหนานหว่านเยียนผู้นี้เป็นผู้หญิงที่ชั่วร้าย แต่หลังจากได้ผ่านประสบการณ์หลายอย่างไปพร้อมกับนาง มันกลับทำให้กู้โม่หานรู้สึก——

หนานหว่านเยียนอาจจะมิได้เหลวไหลอย่างที่เขาคิด

“……เขาไม่เป็นอะไรแล้ว อีกอย่างข้ามิมีทางปล่อยให้เขาตาย นี่เจ้า กู้โม่หาน เจ้าฟังข้าอยู่หรือเปล่า?”

หนานหว่านเยียนยกมือโบกตรงด้านหน้าของกู้โม่หาน เมื่อเห็นดวงตาซึ่งไร้จิตวิญญาณของเขา มิรู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ นางจึงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย

“ขอบคุณ” กู้โม่หานขมวดคิ้วทันทีที่รู้สึกตัว และปัดมือของนางออกไป

จากนั้นหันหน้าหนีออกไปด้วยความอึดอัด

อะไร? !

กู้โม่หานกล่าวคำว่าขอบคุณออกมา?

หนานหว่านเยียนคิดว่าตนเองได้ยินผิดไป ถามออกมาด้วยความเหลือเชื่อว่า “เจ้าพูดว่าอะไร? ท่านอ๋อง ข้าได้ยินมิชัด เจ้าพูดออกมาอีกครั้งได้หรือเปล่า?”

ขอบตาของกู้โม่หานกระตุก มองมายังแววตาที่เต็มไปด้วยความตกใจของหนานหว่านเยียน หันหน้าหนีพร้อมกล่าวว่า “ข้าพูดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่ได้ยินก็เรื่องของเจ้า”

พูดจบเขาก็มิหันกลับมา เดินไปยังกระโจมของเสิ่นจวินทันที

คนผู้นี้ช่างเย่อหยิ่งเหลือเกิน!

หนานหว่านเยียนพ่นลมหายใจ ส่ายหน้าและเดินตามไป

ในกระโจม มู่ฮวนอยู่เป็นเพื่อนเหล่าเสิ่น เมื่อเห็นกู้โม่หานและหนานหว่านเยียนกลับมาในที่สุด เขาก็รีบลุกขึ้นเพื่อทำความเคารพ

“ท่านอ๋อง พระชายา พวกท่านกลับมาแล้ว ท่านพ่อของข้าเอาแต่พูดถึงท่านตลอดเวลาเลย”

กู้โม่หานมองดูรูปลักษณ์ของมู่ฮวน จากนั้นก็เดินไปด้านข้างของเสิ่นจวิน

เขาแสดงสีหน้าเศร้าสร้อย ความกังวลในดวงตาของเขาไม่สามารถเสแสร้งได้ “หนานหว่านเยียนบอกว่าอาการของเจ้าดีขึ้นมาก ข้าจะรอให้ร่างกายของเจ้ากลับมาเป็นปกติ และพวกเราจะไปสู้กับศัตรูด้วยกันในอนาคต!”

ดวงตาของเสิ่นจวินเป็นประกาย พยักหน้าอย่างอ่อนแรง “ขอครับ ท่านอ๋อง”

กู้โม่หานเงยหน้าขึ้น ถามมู่ฮวนว่า “เจ้าชื่ออะไร? ต้องการมาทำงานให้จวนอ๋องหรือไม่ หากต้องการ ข้าจะสั่งให้คนไปจัดการให้ถูกต้อง”

หนานหว่านเยียนรู้สึกว่ากู้โม่หานดูแลเหล่าทหารของเขาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะตำแหน่งไหนเขาไม่เคยเพิกเฉยหรือปล่อยผ่าน และไม่เคยทอดทิ้งความภักดีของเสิ่นจวิน

มู่ฮวนโค้งคำนับด้วยความเคารพ “กราบทูลท่านอ๋อง เดิมทีข้าเป็นลูกบุตรธรรมของสองสามีภรรยาตระกูลมู่ในแถบชานเมือง พวกเขาเรียกข้าว่ามู่ฮวน แต่เมื่อมิกี่ปีมานี้ พ่อแม่บุญธรรมทั้งสองได้จากข้าไป เหลือไว้เพียงร้านขายเสื้อผ้าไว้ให้ข้า”

“ความเมตตาของท่านอ๋อง ข้าขอขอบพระคุณเป็นอย่างมาก แต่หลายปีที่ผ่านมา แม้ข้าจะโง่เขลา แต่ก็ถือว่าเป็นเจ้าของร้านขายเสื้อผ้าคนหนึ่ง”

ความหมายของเขาก็คือ เขาสามารถดูแลตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพากู้โม่หาน

กู้โม่หานพยักหน้าและมีทัศนคติที่แตกต่างกับชายหนุ่มผู้นี้

จากคำพูดดังกล่าว หนานหว่านเยียนนึกขึ้นได้ว่า นางมีข้อตกลงทางการค้ากับร้านขายเสื้อผ้าซึ่งยังทำไม่เสร็จ

นึกไม่ถึงว่ามู่ฮวนเองก็เป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้า มิแน่ว่าเจ้าของร้านเหล่านี้อาจจะรู้จักกัน

เสิ่นจวินรู้สึกตื่นเต้นและตื้นตันจนทำอะไรไม่ถูก

หนานหว่านเยียนมิเพียงแค่ช่วยชีวิตเขา แต่ยังช่วยเขาตามหาลูกชาย ส่วนกู้โม่หานก็ดูแลเหล่าพี่น้องทหารเป็นอย่างดี

ช่วยเหลือแม้กระทั่งลูกชายของเขาที่เพิ่งได้เจอกัน

เขาหลั่งน้ำตาและพูดเสียงดังว่า “ความเมตตาและคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ของท่านอ๋องและพระชายา ข้ามิมีวันลืม! ในอนาคต ต่อให้ข้าต้องตรากตรำหรือทนทุกข์ทรมานแค่ไหน ข้าก็เต็มใจที่จะทำ!”

เขาทำได้แค่ร้องไห้ รู้สึกเกลียดตนเองที่ไม่สามารถลุกขึ้นมาและก้มหัวเพื่อแสดงความเคารพ

หนานหว่านเยียนมองมายังเขา หัวใจของนางบีบรัด “รองแม่ทัพเสิ่น เจ้าอย่าได้หักโหมมากจนเกินไป พักผ่อนให้มาก หากเจ้ายังทำเช่นนี้ ร่างกายของเจ้าก็มิอาจฟื้นคืนกลับมา”

จากนั้นเสิ่นจวินถึงสงบลงเล็กน้อย

กู้โม่หานมองไปยังใบหน้าของหนานหว่านเยียน จากนั้นหันมาพูดกับเสิ่นจวินว่า “ข้าขอตัวก่อน มีเรื่องอะไรก็บอกกับรองแม่ทัพกวน เขาจะเป็นคนมารายงานข้าเอง”

เสิ่นจวินพยักหน้า เฝ้ามองการจากไปของกู้โม่หานและหนานหว่านเยียนด้วยความรู้สึกขอบคุณ

มู่ฮวนโค้งคำนับจากทางด้านหลัง “ขอให้ท่านอ๋องและพระชายาเดินทางปลอดภัย!”

ออกมาจากค่ายเสินเชื่อ หนานหว่านเยียนเห็นม้าตัวหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู รองแม่ทัพกวนยืนหัวเราะอยู่ข้างม้าตัวนั้นอย่างมีความสุข

หนานหว่านเยียนรู้สึกรังเกียจในทันที “จะกลับแบบนี้งั้นหรือ?”

กู้โม่หานพยักหน้าเพื่อบ่งบอกว่าใช่

“มิกลับแบบนี้แล้วจะกลับอย่างไร? ข้าบอกไปแล้วว่าข้าจะเป็นคนไปส่งเจ้า”

ค่ำคืนอันสวยงาม หนานหว่านเยียนมองไม่เห็นรอยยิ้มแห่งความภูมิใจในสายตาของเขา

ขี่ม้าไปส่งข้าด้วยตัวเอง?

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!

หนานหว่านเยียนปฏิเสธอย่างสิ้นหวัง “ข้าไม่ชอบขี่ม้า! ข้าต้องการนั่งรถม้า!”

หากมิได้นั่งรถม้า นางยอมเดินกลับดีกว่าต้องขี่ม้าต้องขี่ม้าตัวเดียวกับกู้โม่หาน!

เจ้าอ๋องบ้านี่ชิงความได้เปรียบไปหมดแล้ว ฮึ คนหน้าไม่อาย!

กู้โม่หานเลิกคิ้วและยิ้มอย่างมีเลศนัย “เอ๋? เมื่อก่อนเจ้ามิได้อยากเข้าใกล้ข้าหรอกหรือ ดังนั้นครั้งนี้ข้าจะตอบสนองความต้องการของเจ้า มิเห็นมีอะไรต้องอาย หรือว่าเจ้าคิดอะไรมิดีกับข้า?”

หนานหว่านเยียนยิ้มอย่างเยือกเย็น “ข้าคิดเสียที่ไหน มีแต่เจ้า……กรี๊ด”

นางยังมิทันพูดจบก็รู้สึกว่าโลกหมุนไปรอบตัว ร่างของนางลอยขึ้นไปบนอากาศ

นางอุทานด้วยความตกใจ มือของนางกอดแน่นโดยไม่รู้ตัว