ภาค 2 ใต้หล้ายังมีผู้ใดไม่รู้จักท่านอีกหรือ บทที่ 160 ตาต่อตา ฟันต่อฟันสักหน่อย

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

สายธนูรั้งอยู่บนต้นคอจอมยุทธ์วัยกลางคนจนโลหิตซึมออกมา เทียบกับความเจ็บปวดรวดร้าวแล้ว ความคมที่เพิ่มขึ้น รวมถึงแรงกดดันที่ความตายใกล้เข้ามาเบื้องหน้า ยิ่งทำให้เขาสิ้นหวังขึ้นเรื่อยๆ

จู่ๆ หลิวเซิ่งเฟิงก็หยุดชะงัก ไม่ลงมือต่อ เขาเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เยี่ยนจ้าวเกอและจางเหยา เพียงแต่รอยยิ้มนั้นไม่ว่าจะมองเช่นไรก็แฝงไปด้วยความบ้าคลั่งและกระหายเลือดอย่างเต็มเปี่ยม

สีหน้าของจางเหยาเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ศิษย์พี่หลิวแห่งเขาไร้พรมแดนสินะ ไม่ทราบว่าผู้มากอาวุโสท่านนี้ล่วงเกินท่านอย่างไรหรือ”

จอมยุทธ์วัยกลางคนผู้นั้นไม่ได้กอปรด้วยการคุกคามแล้วอย่างเห็นได้ชัด ทว่าหลิวเซิ่งเฟิงกลับยังจะต้องการสังหารคน

อย่างไรเสียที่แห่งนี้ก็เป็นท้องถิ่นของหอคลื่นโหม อีกทั้งยังไม่เหมือนกับสถานที่อื่นๆ ทั่วทั้งทะเลสาบก็เป็นชัยภูมิอันเป็นสิริมงคลที่หอคลื่นโหมครอบครองอยู่

จอมยุทธ์วัยกลางคนผู้นั้นได้รับอนุญาตจากหอคลื่นโหมแล้วเช่นกัน เมื่อครู่จึงสามารถเข้ามาภายในได้ ตอนนี้ไม่เพียงแต่บาดเจ็บสาหัสเจียนตาย ยังอาจประสบกับคนสังหารโหดอีกด้วย แน่นอนว่าจางเหยาไม่สามารถทำเป็นมองไม่เห็นได้

ถึงแม้ว่าพลังฝึกปรือจะห่างชั้นกันราวฟ้ากับดิน กระนั้นจางเหยาที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากหอคลื่นโหมตั้งแต่อ่อนเยาว์ก็ไม่ได้สูญสติ เสียกระบวนแต่อย่างใด

ทว่าคำพูดประโยคแรกของหลิวเซิ่งเฟิงทำให้นางงุนงงนัก “เขาไม่ได้ล่วงเกินข้า เป็นข้าที่รู้สึกขัดหูขัดตา จึงหาเรื่องเพลิดเพลินเจริญใจง่ายๆ ให้ตัวเองสักหน่อย”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้น ดวงตาก็พลันหรี่เป็นเส้นตรงเล็กน้อยครู่หนึ่ง ประเมินหลิวเซิ่งเฟิงศีรษะจรดปลายเท้าใหม่อีกครั้ง

จางเหยาได้สติกลับคืน “ศิษย์พี่หลิว ท่านนี่…”

หลิวเซิ่งเฟิงยิ้ม “เป็นอย่างไร แปลกประหลาดยิ่งใช่หรือไม่ ดูเหมือนว่าศิษย์น้องหอคลื่นโหมท่านนี้คงยังไม่เคยเข้าใจลึกซึ้ง ว่าการข่มเหงผู้คนคือรากฐานของความสุข”

“เหตุใดถึงได้…” จางเหยากล่าวพลางมุ่นคิ้ว

“ในเมื่อเจ้าจำได้ว่าข้าคือใคร เช่นนั้นก็คงจะเคยได้ยินคำร่ำลือของข้ามาบ้างสินะ ข้าจำต้องแก้ตัวให้ตนเอง ณ ที่แห่งนี้สักหน่อย” หลิวเซิ่งเฟิงพูดพร้อมรอยยิ้มอีก “นั่นก็คือ ข่าวลือไม่ได้คุยโวแต่อย่างใด กลับตรงข้ามเสียอีก จริงๆ แล้วข่าวลือเก็บงำความลับไว้มากยิ่ง”

หลิวเซิ่งเฟิงพูดอย่างเชื่องช้าว่า “ข้าน่ะ เมื่อเทียบกับคู่ต่อสู้ที่รบชนะระดับชั้นเดียวกัน หรือยอดฝีมือที่อาศัยความโอนอ่อนเอาชนะความแข็งแกร่งแล้ว ข้าชอบสังหารผู้ที่อ่อนด้อยกว่าข้ามากกว่า เพราะว่าประหยัดเวลา ประหยัดแรง ไม่ต้องกังวล ทั้งยังเพลิดเพลินความอภิรมย์ในการสังหารอีกฝ่ายอย่างช้าๆ ได้อีกด้วย”

“เอาชนะคู่ต่อสู้ในระดับขั้นเดียวกัน มีชัยหรือสังหารอีกฝ่ายได้ก็ไม่เลวเช่นกัน และหากต้องการทรมานอย่างช้าๆ หลังจากจับเป็นได้แล้ว ก็เป็นไปได้ที่จะนำชีวิตของตนเองมาล้อเล่น ดังนั้นจำต้องลงแรงอย่างเต็มกำลัง เช่นนั้นก็จะไม่ได้รับรู้ถึงความสนุกมากมายนัก”

เขามองจางเหยาอยู่แวบหนึ่ง จากนั้นค่อยก้มหน้าลง สายตาตกไปอยู่บนร่างจอมยุทธ์วัยกลางคนที่เขาใช้สายธนูรัดคอเอาไว้ “เมื่อครู่เจ้าไม่ใช่เอ่ยถามหรือ ว่าเขาล่วงเกินข้าตรงไหน เขาทำผิดอย่างแน่นอน ความผิดนั้นก็คืออ่อนด้อยกว่าข้า”

จางเหยาเบิกตาโพลงมองดูหลิวเซิ่งเฟิง อีกฝ่ายทำท่าทางราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น “ผู้คนทั่วหล้ามักคิดว่าการอาศัยความแข็งแกร่งข่มเหงผู้อ่อนแอเป็นสิ่งเลวทราม แต่จริงๆ แล้วผู้ใดไม่กระทำเช่นนี้บ้างเล่า ก็เหมือนศิษย์น้องหญิงเช่นเจ้า หากเจ้าอยู่กับคนผู้นี้ลำพัง อีกฝ่ายยังต้องปฏิบัติต่อเจ้าตามกฎมารยาท เพราะเจ้าเป็นคนของหอคลื่นโหม ฐานะใหญ่โตกว่าเขามากโข”

“ดังนั้นต่อให้เขาเป็นปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะต้น ส่วนเจ้าอยู่ในขั้นจิตราชั้นในระยะกลางไม่เกินไปกว่านั้น แต่เขาเผชิญหน้าต่อเจ้า กลับต้องค้อมศีรษะ หากไม่จำเป็นก็จะไม่ยินยอมล่วงเกินเจ้า”

หลิวเซิ่งเฟิงยิ้มแยกเขี้ยว “เขาไร้พรมแดนอันเป็นฐานะเดิมของข้า หอคลื่นโหมอันเป็นฐานะเดิมของเจ้า ทั้งยังมีเขากว่างเฉิงอันเป็นฐานะเดิมของศิษย์น้องเยี่ยน เยี่ยนจ้าวเกอผู้นี้อีก”

“หกดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งใหญ่อยู่เหนือทั้งมวล มีเรื่องดีๆ อันใด สิทธิพิเศษล้วนเป็นของพวกเรา ของวิเศษที่ดีที่สุดก็ล้วนเป็นของพวกเราเช่นกัน อย่างมากก็แค่ระหว่างหกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เกิดการช่วงชิงซึ่งกันและกัน แต่จะไม่มีเรื่องอันใดจากกลุ่มขุมกำลังระดับหนึ่งหรือสองเด็ดขาด”

“ยกตัวอย่างเช่นมงกุฎจันทรา บัดนี้มีสตรีแห่งจันทราผู้หนึ่งที่ไม่มีพรรคไม่มีสำนักออกมา ทั้งยังครองอันดับหนึ่งในการทดสอบแห่งจันทรา เจ้าคิดหรือว่านางสามารถนำเอามงกุฎจันทราไปแต่เพียงผู้เดียวได้หรือ”

เขาเอ่ยวาจาอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “นี่ไหนเลยจะไม่ใช่การอาศัยความแข็งแกร่งข่มเหงผู้อ่อนแอกัน พวกขุมกำลังระดับหนึ่งและสองเหล่านั้นไม่พอใจพวกเรา กล่าวว่าอิทธิพลระดับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราเผด็จการจนเกินไป จัดอันดับตำหนิพวกเราลับหลัง นั่นเพราะพวกเขาปรารถนาจะเหมือนพวกเรา แต่กลับไม่สามารถบรรลุได้ก็เท่านั้น”

จากนั้นหลิวเซิ่งเฟิงก็คลายสายธนูในมือลง จอมยุทธ์วัยกลางคนผู้นั้นไปสู่ประตูนรกคราหนึ่งแล้ว อีกทั้งทั่วร่างไร้เรี่ยวแรง เดิมก็บาดเจ็บสาหัสสากรรจ์ไม่น้อย สติจึงไม่อาจคงอยู่ได้อีกต่อไป สลบไสลไปทันที

“หากเขาแกร่งกว่าข้า แน่นอนว่าคงไม่ต้องลงเอยเช่นนี้ ต่อให้พะว้าพะวังเขาไร้พรมแดนเบื้องหลังข้า ไม่กล้าสังหารข้าทำร้ายข้า แต่อย่างน้อยเขาก็คงไม่ถูกข้าจับเป็นจู่โจมจนสิ้นชีพ” หลิวเซิ่งเฟิงผุดลุกขึ้นยืน ยื่นเท้าเตะๆ จอมยุทธ์วัยกลางคนที่สลบไสลผู้นั้นเบาๆ

หลิวเซิ่งเฟิงยิ้มเอ่ย “เพราะเขาอ่อนด้อยกว่าข้า สำนักฐานะเดิมของเขาอ่อนด้อยกว่าเขาไร้พรมแดนของข้า ฉะนั้นข้าจะทรมานเขาอย่างไร เขาล้วนมีหน้าที่ต้องทนเท่านั้น”

จางเหยาใคร่กล่าวบางอย่าง ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอยกมือห้ามปรามนางไว้

“แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับทัศนคติส่วนหนึ่งของเจ้า แต่ข้าก็พอเข้าใจความคิดของเจ้าได้” เยี่ยนจ้าวเกอมองไปทางหลิวเซิ่งเฟิง “มิน่าเล่าเขาไร้พรมแดนจึงจับเจ้าขังอยู่ในกรงอยู่บ่อยๆ”

รอยยิ้มบนใบหน้าหลิวเซิ่งเฟิงหายไป กล่าวอย่างเมินเฉยว่า “อาจารย์สำนักสิ่งใดล้วนดีไปหมด เพียงแต่เคร่งครัดจนเกินไป จำกัดขอบเขตข้ามากยิ่ง”

เขาเงยศีรษะขึ้นเล็กน้อย ใจลอยอยู่บ้าง “กฎเกณฑ์ผูกมัดมากไป อำพรางซ่อนเร้นมากไป เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นชีวิตที่ทุกคนล้วนใฝ่หา แต่กลับไม่ยอมรับ ทำให้คนไม่อาจเคลื่อนไหวได้ อึดอัดใจอย่างยิ่ง”

สายตาหลิวเซิ่งเฟิงตกอยู่บนร่างกายเยี่ยนจ้าวเกอใหม่อีกครั้ง ยิ้มแยกเขี้ยวกล่าวว่า “ก็เหมือนเช่นเศษะสวะอย่างจี้ฮั่นหรูและเซียวอวี่ทั้งสองคนนั่น จำต้องขัดขวาง เพียงแต่เคราะห์ดี บัดนี้ไม่มีพวกเขามาเกะกะแล้ว”

สีหน้าเยี่ยนจ้าวเกอสงบนิ่ง “ข้ามีคำถามข้อหนึ่ง”

หลิวเซิ่งเฟิงมองเยี่ยนจ้าวเกอตรงๆ ภายในดวงตาทั้งสองเปี่ยมไปด้วยลำแสงอันตราย “คำถามอันใด”

“หากเจ้าพบคนที่แกร่งกว่าต้องการจะจัดการเจ้า เจ้าจะทำเช่นไร” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยถาม

อีกฝ่ายหัวเราะหยัน “ความหมายของเจ้า คือกำลังบอกกล่าวว่าเจ้าก็คือคนที่ว่ารึ เสียงคำรามยาวเมื่อครู่นั่นของเจ้า ข้าได้ยินแล้ว พลังความสามารถเจ้าไม่ได้อ่อนด้อย มิน่าเล่าตอนนั้นถึงได้เอาชนะจี้ฮั่นหรู ผู้อยู่ในขั้นเคียงนภาระยะต้นได้ ในขณะที่ตนอยู่ในขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายเท่านั้น แต่หากจะบอกว่าเจ้าแกร่งกว่าข้า นั่นยังอีกห่างอีกไกลโข”

หลิวเซิ่งเฟิงโยนธนูยาวในมือโยนออกไปด้านข้าง ก่อนจะยืดเส้นยืดสาย แล้วเดินมาหาเยี่ยนจ้าวเกอและจางเหยา

“พบคนที่แกร่งกว่าข้า แน่นอนว่าข้าจะไม่ยุแหย่เข้าใกล้ อีกฝ่ายต้องการมาหาข้า ข้าหลบได้ไกลเท่าใดก็หลบไปไกลเท่านั้นน่ะสิ”

เขากล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “มุ่งหาโชคหลีกหนีชั่วร้าย มุ่งหาประโยชน์หลีกหนีอันตราย นี่คือธรรมชาติของทุกคน ใครก็ไม่ยกเว้นทั้งสิ้น สำหรับเจ้าและสำหรับข้า หรือสำหรับศิษย์น้องหญิงแห่งหอคลื่นโหมผู้นี้ล้วนเหมือนกัน เพียงแต่ว่างานอดิเรกของข้ามากกว่าคนปกติอยู่หน่อย ชอบไปเป็น ‘ความชั่วร้าย’ และ ‘อันตราย’ ของผู้อ่อนด้อยเสียเอง”

ได้ยินเช่นนั้นแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็หลุดหัวร่อ “ไม่ใช่รังแกคนอ่อนด้อยกลัวคนแข็งแกร่งหรอกหรือ”

หลิวเซิ่งเฟิงฟังแล้ว ใบหน้ากลับผุดรอยยิ้มขึ้นมา ก่อนจะพยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ “ทุกคนล้วนเหมือนกันทั้งสิ้น ต่อให้พื้นผิวจะกล้าหาญเพียงใด เผชิญอุปสรรคแล้วไม่ท้อถอยเพียงใด หรือจะองอาจเด็ดเดี่ยวเพียงใด แท้จริงแล้วแก่นแท้ล้วนเหมือนกันทั้งสิ้น”

“มิปะทะยอดฝีมือได้ ผู้ใดจะยินดีปะทะ? เหยียบย่ำคนที่อ่อนด้อยกว่าตน จะไม่มีความเสียหายใดๆ เหยียบย่ำแล้วก็เหยียบแล้วสิ จะเกี่ยวข้องอะไรกันอีก”

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ทีละก้าว ชายหนุ่มส่ายศีรษะเล็กน้อย “ข้าไม่มีความสนใจจะเสวนาเหตุผลกับเจ้าหรอก เพียงแค่จะเตือนสติเจ้าเรื่องหนึ่งเท่านั้น”

มุมปากเยี่ยนจ้าวเกอก็พลันเผยให้เห็นรอยยิ้มที่น่าหวาดหวั่น

“เจ้าปฏิบัติตามความเชื่อของเจ้าได้ แต่ความคิดของเจ้าเช่นนี้เพ่นพ่านอยู่ภายนอก จักต้องตาต่อตา ฟันต่อฟันสักหน่อยถึงจะใช้ได้”

………………..