บทที่ 256 ถวายเกียรติแด่บรรพบุรุษ
“วันนี้ใต้เท้าสวี่พาข้ารับใช้ไปสอบถามรายชื่อผู้ที่เข้าออกห้องโอสถหลวง…”
ขันทีน้อยเล่าออกมาตรงๆ เขาเล่าไปเรื่อยๆ ตามรายชื่อ จักรพรรดิหยวนจิ่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา นัยน์ตาลุ่มลึก ไม่รู้ว่ากำลังตั้งใจฟังหรือคิดถึงอย่างอื่น
“คนสุดท้ายในรายชื่อคือนางข้าหลวงใหญ่ที่อยู่ข้างกายกุ้ยเฟยแห่งตำหนักจิ่งซิ่ว ใต้เท้าสวี่พาข้ารับใช้ไปสอบถาม แต่ถูกปฏิเสธการต้อนรับ”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ นัยน์ตาที่แข็งทื่อของจักรพรรดิหยวนจิ่งก็ขยับราวกับถูกดึงความสนใจกลับมาเล็กน้อย
“ใต้เท้าสวี่จนปัญญาจึงไปที่ตำหนักเส้าอินเพื่อขอความช่วยเหลือจากองค์หญิงหลินอัน…”
คำพูดของสวี่ชีอันผุดขึ้นมาในหัวของขันทีน้อยและเขาก็พูดอย่างเป็นธรรมชาติ “หลังจากสอบถามหลางเอ๋อร์แห่งตำหนักจิ่งซิ่ว สีหน้าของใต้เท้าสวี่ก็ย่ำแย่อย่างมากราวกับว่าไม่อยากอยู่อีกต่อไป แม้แต่ชาก็ไม่ดื่มและพาข้ารับใช้จากไปอย่างรีบร้อน… แต่ยังไม่ได้ออกจากตำหนักจิ่งซิ่ว หลางเอ๋อร์ก็ย้อนกลับมาและบอกว่ากุ้ยเฟยเชิญใต้เท้าสวี่เข้าไปพูดคุยที่ลานเพื่อขอบคุณเขาที่คลี่คลายคดีพระสนมฝู เดิมทีใต้เท้าสวี่ไม่เต็มใจไปเข้าเฝ้า แต่หลางเอ๋อร์บังคับให้เขาอยู่” ขันทีน้อยหยุดไปครู่หนึ่งและพูดต่อ
“จากนั้นกุ้ยเฟยก็สั่งให้ทุกคนออกไป ข้ารับใช้ไม่อาจเข้าไปในห้องได้ จึงทำได้เพียงรออยู่ในลานบ้าน…”
“ช้าก่อน! ”
ดวงตาของจักรพรรดิหยวนจิ่งกลับมาปราดเปรียวโดยสมบูรณ์ เขาขัดจังหวะขันทีน้อย จ้องมองเขา บ่นพึมพำกับตัวเองสองสามวินาทีและเอ่ยอย่างช้าๆ “สั่งให้ทุกคนออกไปหรือ”
“ทูลฝ่าบาท ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
“พวกเขาพูดอะไรกันที่ลานบ้าน”
ขันทีน้อยพูดว่า “ข้ารับใช้อยู่ไกลเกินไปจึงได้ยินไม่ชัด ทำได้เพียงมองดูใต้เท้าสวี่กับกุ้ยเฟยพูดคุยกันในห้องจากไกลๆ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งทาบมือขวาที่ริมฝีปาก ทำท่าทางครุ่นคิดและพลันเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าพูดว่า หลังจากสวี่ชีอันสอบถามหลางเอ๋อร์ สีหน้าก็ย่ำแย่อย่างมากหรือ”
ก่อนที่ขันทีน้อยจะตอบ สีหน้าของขันทีชราก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยและตำหนิว่า “เจ้าบ้านี่ ปกติข้าสอนเจ้าว่าอย่างไร”
ตอนที่รายงาน อย่าเอาอารมณ์ส่วนตัวไปปะปน อย่าคิดทำให้ฝ่าบาทเข้าใจผิด ต้องยุติธรรมและเป็นกลาง
จักรพรรดิหยวนจิ่งยกมือขึ้นขัดจังหวะขันทีชราที่โกรธจัด
เมื่อเห็นเช่นนี้ ขันทีน้อยก็มีความมั่นใจเล็กน้อย “ย่ำแย่มากจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้า ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและตรัสถามว่า “สวี่ชีอันอยากไป แต่หลางเอ๋อร์บังคับให้อยู่หรือ”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีน้อยสังเกตเห็นว่าความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในท่าทีของจักรพรรดิหยวนจิ่งและเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ใต้เท้าสวี่พูดว่า เขาสืบสวนคดีตามคำสั่งขององค์จักรพรรดิ เป็นภารกิจ กุ้ยเฟยไม่จำเป็นต้องของคุณ หลางเอ๋อร์พูดว่า หากใต้เท้าสวี่ไม่ไปเข้าเฝ้ากุ้ยเฟย เขาก็ไม่สามารถออกจากตำหนักจิ่งซิ่วได้”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ ดวงตาของจักรพรรดิหยวนจิ่งก็ราวกับมีแสงเปล่งออกมา ครั้งนี้เขาครุ่นคิดนานมาก ในห้องบรรทมเงียบจนน่ากลัว ขันทีสองคนชราหนึ่งน้อยหนึ่งต่างกลั้นหายใจ เพราะกลัวว่าจะรบกวนจักรพรรดิที่คาดเดาไม่ได้
ในที่สุดจักรพรรดิหยวนจิ่งก็เอ่ยอย่างช้าๆ “ตอนสวี่ชีอันจากไป…อารมณ์เป็นอย่างไร”
คำพูดนี้สวี่ชีอันอธิบายไว้ก่อนที่จะจากไป แต่ขันทีน้อยไม่ได้ตอบในทันทีและแสร้งทำเป็นครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวว่า
“ใต้เท้าสวี่ออกจากวังไปอย่างหนักอกหนักใจ”
เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ เขาจึงกล่าวเสริมว่า “ก่อนออกจากวัง ใต้เท้าสวี่มักจะคุยกับข้ารับใช้สองสามประโยคด้วยความอิ่มเอมใจ แต่วันนี้แตกต่างออกไปเป็นพิเศษ แม้แต่ครึ่งคำก็ไม่พูด”
จักรพรรดิหยวนจิ่งโบกมือ
“เจ้าไปได้” ขันทีชราพูดทันที
หลังขันทีน้อยออกจากห้องบรรทมไป จักรพรรดิหยวนจิ่งก็นั่งไม่พูดไม่จาเป็นเวลานาน ก่อนจะตรัสว่า “ไปนำตัวหลางเอ๋อร์แห่งตำหนักจิ่งซิ่วเข้ามาพบข้า”
ขันทีชราขานรับและออกจากที่ประทับไปอย่างช้าๆ
…
ในยามพลบค่ำที่พระอาทิตย์ตกดิน ขันทีชรานำหน่วยทหารรักษาพระองค์เดินผ่านกำแพงตำหนักชั้นต่างๆ จนมาถึงตำหนักจิ่งซิ่ว
ขันทีที่เฝ้าประตูจำได้แต่ไกลๆ ว่าเป็นคนสนิทที่อยู่ข้างกายฝ่าบาท จึงพุ่งเข้าไปและเอ่ยว่า “ท่านขันทีโปรดรอสักครู่ ข้ารับใช้จะไปแจ้งกุ้ยเฟย…”
“ข้ารีบ” ขันทีชราผลักเขาและนำทหารรักษาพระองค์เข้าไปในลานบ้าน เมื่อเดินผ่านลานด้านหน้าก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาจากลานด้านใน
ขันทีชรายืนอยู่ที่ลานด้านในและกล่าวเสียงดัง “กุ้ยเฟย บ่าวมาขอเข้าเฝ้า”
นางข้าหลวงที่ขอบตาแดงเล็กน้อยคนหนึ่งเดินออกมาจากในห้องของเฉินกุ้ยเฟยและเอ่ยเสียงเบา “กุ้ยเฟยเชิญท่านเข้าไปข้างใน”
ขันทีชราตามนางข้าหลวงเข้าไปในห้อง เห็นเฉินกุ้นเฟยนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ ในมือถือผ้าเช็ดหน้าเช็ดดวงตาเป็นพักๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
“กุ้ยเฟย ท่านเป็นอะไรไปหรือ” ขันทีชราถามด้วยความประหลาดใจ
“คนรับใช้ที่อยู่ข้างกายข้าเพิ่งล้มป่วยกะทันหันและตายจากไป หมอหลวงก็ช่วยกลับมาไม่ได้” เฉินกุ้ยเฟยเอ่ยอย่างเศร้าโศก
“นี่…” ขันทีชราปลอบว่า “กุ้ยเฟย ข้าเสียใจด้วย นางข้าหลวงคนนั้นชื่ออะไรหรือ”
“หลางเอ๋อร์”
“!!!” สีหน้าของขันทีชราแข็งทื่อ
“คนสนิทมาที่ตำหนักจิ่งซิ่วของข้ามีธุระอันใดหรือ” เฉินกุ้ยเฟยตรัสถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ขันทีชราฉีกยิ้ม “ฝ่าบาทส่งบ่าวมาปลอบขวัญกุ้ยเฟย ฝ่าบาททรงรู้ว่าในช่วงเวลานี้ กุ้ยเฟยเป็นกังวลและหวาดกลัว”
เฉินกุ้ยเฟยเบือนหน้าหนีและตรัสอย่างเศร้าโศก “แม้แต่มาพบข้าฝ่าบาทก็ทำไม่ได้เชียวหรือ”
ขันทีชราหัวเราะแห้งๆ และไม่ได้ประเมินคำตัดพ้อของกุ้ยเฟย
เขาพูดคุยกับกุ้ยเฟยสองสามประโยคและพลั้งปากว่า “หลางเอ๋อร์คนนั้นอายุยังไม่มากเลย”
แม้ว่าหลางเอ๋อร์จะเป็นคนเก่าคนแก่ของตำหนักจิ่งซิ่ว แต่จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ได้เสพสุขกับนางสนมมาสิบยี่สิบปีแล้ว ขันทีชราจึงไม่มีความประทับใจอะไรต่อนางข้าหลวงคนสนิทที่โชคร้ายตามก่อนวัยอันควรคนนี้
“เด็กน้อยผู้น่าสงสาร” เฉินกุ้ยเฟยเผยสีหน้าเศร้าโศก
ขันทีชราถือโอกาสเอ่ยว่า “บ่าวขอไปดูหน่อยเถิด”
เขายังมีอีกหนึ่งสถานะหนึ่งคือผู้ดูแลกิจการภายใน ซึ่งเป็นผู้นำของขันทีกับนางข้าหลวงในพระราชวัง แต่สถานะนี้ก็คือคนสนิทของจักรพรรดิหยวนจิ่ง
รองผู้ดูแลถึงจะเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริง
ท้ายที่สุดแล้วผู้ดูแลกิจการภายในก็ยุ่งมาก ไม่อาจรับใช้อยู่ข้างกายองค์จักรพรรดิตลอดเวลาได้
หลังจากกล่าวลาเฉินกุ้ยเฟย ขันทีชราก็เดินเข้าไปในห้องปีกทางทิศใต้ด้วยการนำของนางข้าหลวงและเห็นหลางเอ๋อร์ที่ใบหน้าซีดขาวนอนอยู่บนเตียง
“เชิญหมอหลวงมาตรวจแล้วใช่หรือไม่”
“ตรวจแล้วเจ้าค่ะท่านขันที หมอหลวงบอกว่าเป็นโรคทางสมอง ไม่มีวิธีรักษา”
ขันทีชราจ้องมองหลางเอ๋อร์อยู่นานและสั่งว่า “คนก็มอบให้ข้าจัดการเถอะ”
เขาสั่งให้ทหารรักษาพระองค์นำศพของหลางเอ๋อร์ไปและรีบกลับไปรายงาน
เมื่อกลับมาถึงที่ประทับของจักรพรรดิหยวนจิ่ง จักรพรรดิเฒ่ายังคงนั่งตัวตรงอยู่ด้านหลังโต๊ะขนาดใหญ่ที่ปูผ้าไหมสีเหลืองสดใสไว้และมองไปทางประตูด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์
เมื่อเห็นขันทีชราข้ามธรณีประตูเข้ามาในห้อง เขาก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาอะไร
“ฝ่าบาท หลางเอ๋อร์ตายแล้ว…” ขันทีชราเอ่ยเสียงเบา
หลังจากนั้นนานมาก จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ส่งเสียง ‘อืม’ ออกมา จักรพรรดิที่เมินเฉยอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจมาสามสิบปีผู้นี้ไม่ยินดียินร้าย
…
วันต่อมา จักรพรรดิหยวนจิ่งเรียกประชุมอีกครั้งท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดสลัวเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารเข้าไปในประตูอู่เหมินอย่างเป็นระเบียบ ส่วนหนึ่งอยู่ที่จัตุรัสด้านนอกพระตำหนักกระดิ่งทอง ส่วนหนึ่งยืนอยู่บนขั้นบันไดหินอ่อนด้านนอกพระตำหนักกระดิ่งทอง
มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เข้าไปในห้องโถงใหญ่ คนส่วนนี้ถูกเรียกรวมๆ โดยนักเล่าเรื่องว่า ‘ข้าราชการในท้องพระโรง’
หลังจากกลุ่มขุนนางเข้าไปในห้องโถง จักรพรรดิหยวนจิ่งก็เดินออกมาจากด้านหลังห้องโถงช้าไปหนึ่งเค่อและนั่งบนบัลลังก์ของตัวเอง
หลังจากการถวายรายงานตามปกติระหว่างจักรพรรดิกับขุนนาง เจ้ากรมกรมอาญาก็เดินออกมาและกล่าวเสียงดังว่า “ฝ่าบาท สามสำนักตรวจสอบเสร็จแล้ว ฮองเฮาเป็นผู้บงการคดีพระสนมฝูจริงพ่ะย่ะค่ะ
“ตระกูลซ่างกวนไม่สมควรแก่ตำแหน่ง ปองร้ายพระสนม ใส่ร้ายองค์รัชทายาท ขอให้ฝ่าบาทโปรดลงโทษสถานหนักด้วย”
เจ้ากรมศาลต้าหลี่ก้าวมาข้างหน้าเพื่อสนับสนุนข้อเสนอนี้ทันที
ภายในห้องโถง ขุนนางบุ๋น ผู้บัญชาการทหารและขุนนางบางส่วนเห็นด้วย พวกเขาต่างก็ประสานเสียงเป็นหนึ่งเดียว
นี่หมายความว่า พวกเขาหารือกันเรียบร้อยแล้วเมื่อวานนี้ การปลดฮองเฮาไม่เหมือนการปลดองค์รัชทายาท ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับรากฐานของชาติ การปลดฮองเฮาเป็นเพียงเรื่องในครอบครัวของจักรพรรดิ ขอเพียงมีเหตุผลและหลักฐานพิสูจน์ว่าฮองเฮาสูญสิ้นคุณธรรมจริงและไม่ใช่เพราะจักรพรรดิหลงรักคนใหม่ เช่นนั้นเหล่าขุนนางก็ไม่มีเหตุผลและไม่จำเป็นต้องขัดขวาง
ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการปลดฮองเฮาเพียงอย่างเดียวคือตัวตนขององค์ชายสี่ ต้องรู้ว่าองค์ชายสี่เป็นทายาทตามกฎหมายเพียงคนเดียวของจักรพรรดิหยวนจิ่ง ผู้คนมากมายจึงมอบสมบัติให้เขา
ผู้คนที่ไม่เห็นด้วยส่วนนั้นก็คือพรรคพวกขององค์ชายสี่
ไม่รอจักรพรรดิหยวนจิ่งแสดงท่าที เว่ยเยวียนก้าวออกมา ภายในห้องโถงสงบลงทันที
“ฝ่าบาท คดีพระสนมฝูยังมีอีกเงื่อนงำ ฮองเฮาไม่ใช่ผู้บงการ ผู้บงการที่แท้จริงคือหวงเสี่ยวโหรว นางฆ่าพระสนมฝู หลอกองค์รัชทายาทไปที่ตำหนักชิงฟงและปลอมแปลงคดีนี้”
เว่ยเยวียนเพิ่งจะพูดจบ ขุนนางใกล้ชิดที่ชอบเถียงก็กระโดดออกมาโต้กลับ
“ไร้สาระ เพียงแค่นางข้าหลวงคนเดียวจะก่อคดีสะเทือนเลื่อนลั่นนี้ได้อย่างไร อีกอย่าง เหตุใดหวงเสี่ยวโหรวคนนั้นถึงต้องใส่ร้ายองค์รัชทายาท เว่ยเยวียน เจ้าเห็นฝ่าบาทเป็นอะไร เห็นข้าราชการในท้องพระโรงเป็นอะไร”
หลังพูดจบ เขาก็กล่าวเสริมอีกประโยคว่า “ขอฝ่าบาทโปรดตัดเสี้ยนหนามนี้ทิ้งด้วย”
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนอื่นๆ ค่อยๆ ด่าทอเว่ยเยวียน ภายในห้องโถงเสียงดังอยู่ครู่หนึ่ง
ขันทีชราถือแส้ไว้ในมือและฟาดอย่างแรง พื้นส่งเสียง ‘เพี๊ยะ’ ออกมาดังสนั่นและเขาก็ตำหนิว่า “เงียบ!”
จากนั้นภายในห้องโถงก็สงบลง
เจ้ากรมกรมอาญาและเจ้ากรมศาลต้าหลี่มองเว่ยเยวียนอย่างเยาะเย้ย ขุนนางทุกคนก็มองเว่ยเยวียนเช่นกัน ทั้งยิ้มเยาะ ทั้งเย้ยหยัน ทั้งไม่เข้าใจและจนปัญญา ฝ่ายหลังมาจากพรรคพวกขององค์ชายสี่
ส่วนสายตารอบๆ กับเสียงด่าทอของขุนนางใกล้ชิด เว่ยเยวียนไม่สนใจเลยและพูดว่า “เมื่อวานนี้ ฆ้องทองแดงสวี่ชีอันที่รับผิดชอบคดีพระสนมฝูพบว่าหวงเสี่ยวโหรวเคยตั้งครรภ์…”
พูดยังไม่จบ ภายในห้องโถงก็เกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง
นางข้าหลวงหวงเสี่ยวโหรวเคยตั้งครรภ์หรือ?!
ในพระราชวังนอกจากทหารรักษาพระองค์แล้ว คนที่สามารถทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์ได้จริงๆ มีเพียงจักรพรรดิหยวนจิ่งเท่านั้น ทหารรักษาพระองค์เป็นไปไม่ได้แน่นอน คนที่สามารถคุ้มกันวังหลังได้ล้วนเป็นยอดฝีมือที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์และถูกเลือกจากคนนับร้อยคน
และมักจะเป็นกลุ่มก้อนไม่กี่คนซึ่งคอยดูแลสอดส่องกันและกัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะแอบไปมีความสัมพันธ์กับนางข้าหลวง
เช่นนั้นก็มีเพียงความเป็นไปได้เดียว…
สายตาที่เหล่าข้าราชการในท้องพระโรงมองจักรพรรดิหยวนจิ่งอดมีนัยไม่ได้ไปชั่วขณะหนึ่ง
ใบหน้าอันน่าเกรงขามของจักรพรรดิหยวนจิ่งกระตุกเล็กน้อย เขามองเว่ยเยวียนที่จงใจหยุดนิ่งไม่พูดอะไรอย่างเย็นชาและเอ่ยเสียงขรึม
“เว่ยเยวียน พูดต่อสิ!”
เว่ยเยวียนกล่าวช้าๆ “หลังจากสอบสวนพบว่า ผู้ที่ทำให้หวงเสี่ยวโหรวสูญเสียพรหมจรรย์และตั้งครรภ์คือท่านน้าซ่างกวนหมิง…”
จากนั้นเว่ยเยวียนก็เล่าเรื่องให้ขุนนางทุกคนในท้องพระโรงฟัง ผ่านเรื่องที่เขาขัดเกลา
นางข้าหลวงหวงเสี่ยวโหรวถูกท่านน้าข่มเหงและโชคไม่ดีตั้งครรภ์ หลังจากเหตุการณ์นั้นนางก็ลอบไปทำแท้ง ดังนั้นนางจึงแค้นเคืองอยู่ในใจและอดกลั้นมานานหลายปี ในที่สุดก็เกิดการสมรู้ร่วมคิดขึ้น
นางอาศัยความสะดวกสบายของนางข้าหลวงคนสนิทของพระสนมฝู แอบทำลายราวกั้นของหอสังเกตการณ์ ฉวยโอกาสระหว่างที่พระสนมฝูเมาสุรา หลอกให้องค์รัชทายาทมาที่ตำหนักชิงฟงและสร้างสถานการณ์ที่น่าสะเทือนขวัญที่สุดในวังหลังในรอบสิบกว่าปี
หลังจากท่านน้าได้ยินเรื่องคดีพระสนมฝูและพบว่าหวงเสี่ยวโหรวมีส่วนเกี่ยวข้อง เขาก็กลัวว่าการกระทำเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานของตัวเองจะถูกเปิดเผย จึงมาอ้อนวอนที่ตำหนักเฟิ่งฉี
ฮองเฮาจึงได้รู้ว่าท่านน้าทำเรื่องที่ปราศจากมโนธรรมลงไป เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ทางสายเลือด นางก็น้ำตานองยอมรับความผิดแทนท่านน้า
สุดท้ายเว่ยเยวียนก็สรุปคดีว่า “เรื่องก็เป็นเช่นนี้ ท่านน้ายอมรับความผิดแล้ว ฝ่าบาทสามารถสอบปากคำได้ทุกเมื่อ”
“ไร้สาระ” เจ้ากรมศาลต้าหลี่แค่นเสียงเย็นและถวายบังคม “ฝ่าบาท เท่าที่กระหม่อมทราบ หวงเสี่ยวโหรวถูกฆ่าตาย หากทุกอย่างเป็นแผนของนาง เช่นนั้นฆาตกรที่สังหารคนล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
กลุ่มขุนนางพากันสมทบ
เว่ยเยวียนอธิบายด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หวงเสี่ยวโหรวมีผู้สมรู้ร่วมคิดที่ช่วยนางจัดฉากและพาดพิงถึงฮองเฮาในนามผู้ใส่ร้ายองค์รัชทายาท”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่มากมายก็ฉุกคิดขึ้นในใจและเริ่มเชื่อมโยง
หากไม่มีเรื่องท่านน้าทำให้หวงเสี่ยวโหรวแปดเปื้อน ไม่ว่าใครก็คงคิดว่าฮองเฮายอมรับความผิดเพราะหลักฐานชี้ชัด
แต่หลังจากมีหนังสือรับสารภาพของท่านน้า คดีก็พลิกกลับเป็นหลังมือ
ฮองเฮาเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่ไม่ต้องพูดถึงชั่วคราว หนังสือรับสารภาพของท่านน้าก็มีแล้ว แถมเรื่องก็มีช่องทางให้ทะเลาะวิวาท
พรรคพวกขององค์ชายสี่กวาดความเอนเอียงทิ้งไป พวกเขาก้าวออกมาพูดทีละคน แสดงจุดยืนสนับสนุนเว่ยเยวียน และประณามท่านน้า
ภายในห้องโถงค่อยๆ เหลือเพียงสองเสียง การทะเลาะวิวาทกันระหว่างพรรคพวกขององค์รัชทายาทกับพรรคพวกขององค์ชายสี่ พรรคพวกขององค์ชายสี่นำโดยผู้ตรวจสอบฝ่ายขวาจากฝ่ายตรวจการ ส่วนพรรคพวกขององค์รัชทายาทนั้นประกอบด้วยพรรคการเมืองเล็กๆ ยุ่งเหยิงหลายพรรค
ในบรรดาพรรคการเมืองใหญ่ๆ อาจมีคนที่แอบสนับสนุนองค์รัชทายาท แต่พวกเขาจะไม่มีทางกระโดดขึ้นไปบนเวที คนชั่วมักจะซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำเสมอ
หลังจากทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรง เว่ยเยวียนก็เอ่ยเสียงดัง “ขอฝ่าบาทโปรดตัดสินด้วย”
เสียงทะเลาะวิวาทหยุดลง กลุ่มขุนนางเห็นด้วย “ขอฝ่าบาทโปรดตัดสินด้วย”
ฎีกาของเว่ยเยวียนถูกส่งมาที่พระราชวังตั้งแต่เมื่อวาน ปกติแล้วฎีกาจะถูกส่งมาที่พระราชวังล่วงหน้าหนึ่งวันก่อนการประชุม ดังนั้นจักรพรรดิหยวนจิ่งจึงได้อ่านหนังสือรับสารภาพของท่านน้าแล้ว
การประชุมในวันนี้ หากจักรพรรดิหยวนจิ่งอยากยุติคดีพระสนมฝู เขาก็สามารถสรุปได้เลยในตอนนี้ หากไม่อยากก็สั่งให้ตรวจสอบต่อ
เมื่อเห็นว่ากลุ่มขุนนางหยุดทะเลาะวิวาทกัน จักรพรรดิหยวนจิ่งจึงเปิดปากและเอ่ยช้าๆ “ซ่างกวนหมิงสร้างความวุ่นวายในวังหลัง ตัดสินประหารทันที! ฮองเฮารู้มูลเหตุแต่ไม่รายงานก็มีความผิดเช่นเดียวกัน แต่เพราะนางนึกถึงความสัมพันธ์ทางสายเลือดจึงให้อภัยได้ ออกคำสั่งให้ฮองเฮาปิดประตูเพื่อพิจารณาถึงความผิดของตัวเองสามเดือน”
กลุ่มขุนนางคิดว่าเรื่องนี้จบแล้ว สุดท้ายจักรพรรดิหยวนจิ่งนิ่งไปพักหนึ่งและพูดต่อว่า “องค์รัชทายาทเมาสุราแล้วไปที่ตำหนักชิงฟง ไม่รู้จักระมัดระวัง ออกคำสั่งให้ปิดประตูเพื่อพิจารณาถึงความผิดของตัวเองครึ่งปี เฉินกุ้ยเฟยส่งเสริมให้องค์รัชทายาทเมาสุราจนนำไปสู่ความหายนะ ลดตำแหน่งเป็นพระสนมเฉิน”
ภายในห้องโถงเงียบสนิท
เหล่าขุนนางมองไปรอบๆ ด้วยความสับสน พวกเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดฮองเฮาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีถึงพิจารณาถึงความผิดของตัวเองสามเดือน แต่องค์รัชทายาทพิจารณาถึงความผิดของตัวเองครึ่งปี ส่วนเฉินกุ้ยเฟยที่ไม่เกี่ยวข้องเลยกลับถูกลดตำแหน่งจากกุ้ยเฟยเป็นพระสนมเฉิน ลดลงไปถึงสองขั้น
‘เป็นไปได้หรือไม่ว่าคดีนี้เกี่ยวข้องกับเฉินกุ้ยเฟย…’ พวกลื่นเป็นปลาไหลคิดในใจ
…
การประชุมเพิ่งจะสิ้นสุดลง ไม่นานนัก ขันทีชราก็แยกตัวไปส่งพระราชกฤษฎีกาที่ตำหนักเฟิ่งฉีกับตำหนักจิ่งซิ่ว
หลังจากฮองเฮารู้ นางก็ก้มหน้าร้องไห้อย่างขมขื่น
เฉินกุ้ยเฟยรับพระราชกฤษฎีกาด้วยสีหน้าแข็งทื่อ เมื่อขันทีชราจากไป นางก็กวาดของตกแต่งบนโต๊ะพร้อมกับพระราชโองการลงพื้นทั้งหมด
ท่ามกลางเสียงปึงปังๆ ทรวงอกนูนสูงของเฉินกุ้ยเฟยขยับขึ้นลงอย่างรุนแรง ใบหน้ารูปไข่อันงดงามเขียวคล้ำด้วยความโกรธ
นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและพ่นลมหายใจออกมา “เว่ยเยวียน…”
จากนั้นนางก็กำหมัดงามแน่นและเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “สวี่ชีอัน!”
เวลานี้นางเข้าใจแล้ว ท่าทีของฝ่าบาทเปลี่ยนไปอย่างมาก ต้องเกี่ยวข้องกับเมื่อวานอย่างแน่นอน
เมื่อวานขันทีชรามาที่นี่โดยไม่มีเหตุผลและใช้การปลอบขวัญมาเป็นเหตุผล เรื่องนี้ไม่มีปัญหา แต่เมื่อเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงในท้องพระโรงวันนี้ นางก็คาดเดาความลับในนั้นได้ไม่ยาก
ฝ่าบาทเกิดความสงสัยในตัวนาง…
และนางก็เปิดเผยเพียงแค่กับสวี่ชีอันเท่านั้น นี่คาดเดาได้ว่า ต้องเป็นไอ้เด็กเหลือขอนั่นที่ลอบใช้กลอุบายบางอย่างเป็นแน่
หลังจากวางแผนมาอย่างยากลำบาก มันกลับตกไปอยู่ในมือของฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
ไม่กี่นาทีต่อมา เสียงปึงปังๆ ก็ดังออกมาจากในห้องอีกครั้ง นางข้าหลวงกับขุนนางรับใช้ที่อยู่ในลานบ้านเงียบกริบ
…
วันรุ่งขึ้นหลังจากคดีพระสนมฝูสิ้นสุดลง ในที่สุดสวี่ชีอันก็นำแม่ม้าตัวน้อยสุดที่รักของเขากลับมาได้
นี่คือม้าที่โชคร้ายตัวหนึ่ง วันนั้นมันเพิ่งจะได้ชีวิตน้อยๆ กลับคืนมา หลังจากถูกเจ้าของขับไส มันก็วิ่งไป วิ่งไปและถูกกองดาบที่มาลาดตระเวนในเมืองพบเข้า
เมื่อกองดาบเห็นร่องรอยบนบั้นท้ายม้าก็คิดในใจว่านี่ไม่ใช่ม้าของพวกเรา ดังนั้นพวกเขาจึงพากลับมาที่ค่าย
ม้าตัวนี้เป็นม้าทหารที่อุทิศตัวให้กับกองดาบ อารองได้มันมาในราคาต่ำผ่านความสัมพันธ์ของเขา หลังจากที่เขาซื้อมา เขาก็ไม่ได้ขี่มันมาหลายปี เขาจึงยกให้หลานชายขี่
จากนั้นที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ได้รู้จากปากของกองดาบที่เฝ้ายามบริเวณนั้นในวันนั้นว่าพวกเขา ‘เก็บ’ ม้าได้ตัวหนึ่ง เมื่อแกะรอยสืบดูก็พบแม่ม้าตัวน้อยสุดที่รักของสวี่ชีอัน
เช้านี้ สวี่ชีอันกินข้าวอยู่ในห้องโถงกับครอบครัว
วันนี้เสี่ยวโต้วติงหยุด นางที่ไม่ต้องไปสำนักบัณฑิตจึงมีความสุขมาก อาหารเช้าก็อร่อยมาก
“หยุดหนึ่งวันราวกับเก็บสมบัติได้ ทั้งชีวิตนี้ข้าไม่เคยให้กำเนิดลูกสาวที่โง่เขลาเช่นเจ้า” อาสะใภ้พูดออกมาอย่างรังเกียจ
“เจ้าก็มีลูกสาวเพียงแค่สองคนเท่านั้น” อารองสวี่ประท้วงความไม่เป็นธรรมแทนบุตรสาวคนเล็ก แต่เขาไม่กล้าทะเลาะกับอาสะใภ้อย่างเปิดเผย เขาจึงทำได้เพียงแอบต่อปากต่อคำ
“เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก หลิงอินโง่เขลาเช่นนี้ก็เพราะเจริญรอยตามเจ้า”
แน่นอนว่า อาสะใภ้พูดเรื่องเก่าๆ ซ้ำๆ และผลักความรับผิดชอบที่ทำไมสวี่หลิงอินถึงไม่ตรัสรู้ให้อารอง
“แต่ข้าไม่อยากเรียนหนังสือ” สวี่หลิงอินพูดอย่างรู้สึกผิด
“หลิงอิน เจ้าไม่ได้โง่ อย่าฟังคำพูดไร้สาระของแม่เจ้า” สวี่ชีอันลูบหัวของนางและนึกถึงวิธีที่อาจารย์สอนเขาในชาติก่อน
“ต่อไปเมื่อเจ้าไม่อยากเรียนหนังสือ เจ้าก็จินตนาการในหัวของตัวเองว่ามีสองคน…”
“หือ ในหัวของข้ามีสองคน” สวี่หลิงอินตกตะลึง มือที่อวบอ้วนสองข้างปิดหัว
“จินตนาการ พี่ใหญ่พูดว่าจินตนาการ” สวี่ชีอันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเอ่ยอย่างอ่อนโยน “คนตัวเล็กคนหนึ่งไม่อยากเรียนหนังสือ คนตัวเล็กอีกคนจึงพูดว่า ‘ข้าชอบเรียนหนังสือ ข้าชอบเรียนหนังสือ’ หากทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เจ้าก็จะชอบเรียนหนังสือ”
“ข้าแนะนำ!” สวี่ซินเหนียนพยักหน้าเล็กน้อยและแสดงความคิดเห็น “ผลลัพธ์ไม่เลว เมื่อก่อนข้าจุดตะเกียงอ่านหนังสือ หากข้าง่วงจริงๆ ข้าก็จะบอกตัวเองว่าไม่อยากนอน ผลลัพธ์ไม่เลวเลย”
เมื่ออาสะใภ้ได้ยินลูกชายแท้ๆ ของตัวเองรับรอง นางก็ตั้งตารอดูวิธีการของหลานชายทันทีและพูดว่า “หลิงอิน เจ้าลองดูสิ”
สวี่หลิงอินผู้ซื่อบื้อเอียงคอครุ่นคิดอยู่นานและพยักหน้าช้าๆ
“เป็นอย่างไรบ้าง” อาสะใภ้รีบถาม อันที่จริงนางห่วงใยบุตรสาวคนเล็กคนนี้มากที่สุด
“คนตัวเล็กคนหนึ่งในหัวของข้าบอกว่า ‘ไม่อยากเรียนหนังสือ ไม่อยากเรียนหนังสือ’ คนตัวเล็กอีกคนจึงบอกว่า ‘ได้สิๆ’ ”
“…” อาสะใภ้กุมหน้าผาก
“บางทีนางอาจจะไม่เหมาะกับการเรียนหนังสือจริงๆ อาสะใภ้ก็อย่าบังคับนางเลย” สวี่ชีอันปลอบใจ
“วันมะรืนก็เป็นการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์แล้ว” จู่ๆ อารองก็พูดขึ้นมา
“อืม!” สวี่ซินเหนียนพยักหน้าอย่างสงบนิ่ง
อาสะใภ้ปอกไข่ต้มให้ลูกชายทันทีและพูดว่า “ด้วยความรู้ของเอ้อร์หลางของพวกเรา การสอบบัณฑิตขั้นสูงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง นายท่าน ถึงเวลาที่สกุลสวี่ต้องถวายเกียรติแด่บรรพบุรุษแล้ว”
แม้ว่าตอนนี้สวี่ชีอันจะได้รับการชื่นชมจากเว่ยเยวียนและยังติดต่อกับองค์หญิงอีก แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นเพียงทหารคนหนึ่ง
ในยุคที่คนเราต่างด้อยค่า มีเพียงคนรู้หนังสือเท่านั้นที่สูงส่ง การสอบผ่านจองหงวนจึงเป็นเรื่องของการถวายเกียรติแด่บรรพบุรุษ
เรื่องนี้ แม้แต่สวี่หลิงเยวี่ยที่ลำเอียงไปทางพี่ใหญ่ก็เห็นด้วยกับความคิดเห็นของแม่และคิดว่าสกุลสวี่ต้องถวายเกียรติแด่บรรพบุรุษ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ของพี่รอง
“พี่รอง สกุลสวี่ของพวกเราจะยกลำดับขั้นจากชนชั้นทหารได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” สวี่หลิงเยวี่ยยิ้มและคีบกับข้าวให้เอ้อร์หลาง
สวี่ซินเหนียนเชิดคางขึ้นอย่างภูมิใจ
โกรธจนตัวสั่น ทหารจะลุกขึ้นยืนได้เมื่อไหร่ โลกนี้จะดีขึ้นได้หรือไม่ ทุกหนทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยการเลือกปฏิบัติต่อทหาร…สวี่ชีอันถอนหายใจอยู่ในใจ
เมื่อนึกถึงการสนทนากับเว่ยเยวียนเมื่อวันก่อน ความสมบูรณ์แบบกับการสืบทอดของระบบทหารจากรุ่นสู่รุ่นทำให้มีระดับเก้าในปัจจุบัน แต่จนถึงวันนี้ ระบบทหารก็ยังไปไม่ถึงปลายทาง
เส้นทางที่เกินกว่าระดับยังไม่ได้คลำหา
ด้วยเหตุนี้ระบบทหารจึงยังไม่มีจอมยุทธ์
‘ตามเหตุผลแล้วไม่สมควรมี คนที่เดินในระบบทหารส่วนใหญ่ ภายใต้รากฐานอันยิ่งใหญ่ มักจะมีอัจฉริยะกระโดดออกมา สะสมมาจากรุ่นสู่รุ่น แต่ก็ไม่อาจเป็นจอมยุทธ์ได้ ช่างเถอะ ยังเร็วเกินไปที่จะพิจารณาปัญหานี้ ทั้งชีวิตนี้ข้าสามารถไปถึงระดับสี่ได้ก็มีความสุขแล้ว’
เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จ อารองก็ถือหมวกเหล็ก สะพายดาบพกและกำลังจะออกจากบ้านไป
“เดี๋ยวก่อน อารอง ท่านเป็นผู้อาวุโสในบ้าน วันนี้ท่านต้องอยู่บ้าน” สวี่ชีอันตะโกนเรียกเขาไว้
อารองสวี่หันกลับมาทันใด “วันนี้เป็นวันเทศกาลอะไรหรือ”
อาสะใภ้ส่ายหน้า
สวี่หลิงเยวี่ยกับสวี่ซินเหนียนมองสวี่ชีอันอย่างงุนงง
สวี่ชีอันมองอาสะใภ้และเชิดคางขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง “วันนี้ไม่ใช่วันเทศกาลอะไร แต่เป็นวันที่สกุลสวี่จะถวายเกียรติแด่บรรพบุรุษ”
…………………………………………………