บทที่ 257 ออกจากเมืองหลวง
“ถวายเกียรติแด่บรรพบุรุษ?”
อาสะใภ้ไม่มีการตอบรับชั่วขณะหนึ่ง คิดในใจว่าการได้รับเลือกเข้ารับราชการของเหนียนเอ๋อร์ต้องเป็นเรื่องของเดือนต่อไปแล้ว รอให้หลานชายแสดงท่าทีอวดเบ่งออกมา นางถึงตระหนักได้ว่าเขากำลังโม้อยู่
อาสะใภ้กลอกตาไปมา เบะปากเอ่ย “โธ่ โธ่ โธ่ ต้าหลางของพวกเราเลื่อนขั้นเป็นขุนนางแล้วหรือ”
ทันทีที่อ้าปากก็รู้แล้วว่าเป็นมนุษย์ป้า
“ข้าได้ยินมาจากเพื่อนบ้านว่า มีเพียงปัญญาชนเท่านั้น ถึงจะสามารถอาศัยในตำหนักได้ เจ้าน่ะ ถึงจะเลื่อนขั้นอย่างไร ก็เป็นได้แค่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเท่านั้น”
แม้อาสะใภ้จะค่อยๆ คลายปมในใจ ไม่เคียดแค้นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ในหัวข้อที่ว่า ‘หลานชายและบุตรชายใครเหนือกว่ากัน’ นั้น อาสะใภ้คิดว่ายังคงจะยึดหลักการของตนเองอยู่
นางไม่เหมือนสวี่ผิงจื้อผู้เป็นสามี ไม่ว่าหลานชายหรือบุตรชายต่างก็เป็นเด็กของบ้านสกุลสวี่ พวกเขาได้รับการเลี้ยงดูมายี่สิบปีแล้ว และไม่ต่างอะไรกับบุตรแท้ๆ ของนางเลย
อาสะใภ้แค่ไม่คุ้นชินกับท่าทางที่สวี่ชีอันแสดงออกมา บางครั้งก็ชอบอวดเก่งต่อหน้านางบ้าง ไม่เคยเคารพนางที่เป็นอาสะใภ้คนนี้เลย
ดังนั้น เอ้อร์หลางจะต้องมีอนาคตที่ยาวไกลกว่าต้าหลาง แบบนี้อาสะใภ้จึงจะสามารถยืดอกต่อหน้าหลานชายได้
“อาสะใภ้ไม่เชื่อ?” สวี่ชีอันเหล่ตา
“ข้าเชื่อ แค่เลื่อนตำแหน่งเท่านั้นเอง” อาสะใภ้พูดอย่างไม่ใส่ใจ
ช่วงนี้อารองสวี่ก็เลื่อนตำแหน่งแล้ว ย้ายจากเมืองชั้นนอกมาอยู่เมืองชั้นใน และมีเขตลาดตระเวนที่มั่นคงแถบหนึ่งแล้ว พื้นที่แถบนั้นล้วนเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยทั้งนั้น เพื่อเห็นแก่ความสงบสุขของครอบครัวแล้ว พวกเขาจะจ่ายเงินเพื่อเป็นเกียรติให้กับกองดาบที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยโดยรอบ และสร้างความสัมพันธ์
ดังนั้นช่วงนี้อารองมีเงินในคลังค่อนข้างเยอะ ถูกยึดเงินไปห้าสิบตำลึง เขาก็ยังมีเงินไปสำนักสังคีตได้
แน่นอนว่า ที่จริงแล้วอารองสวี่ไม่คิดจะไปทำงานที่สำนักสังคีต ถึงอย่างไรแม่นางจากสำนักสังคีตห่างจากอาสะใภ้ค่อนข้างไกล แต่ที่ค้างคืนในสำนักสังคีต ต่างก็เพื่อเข้าสังคมระหว่างเพื่อนร่วมงานทั้งนั้น
ในทางกลับกันสวี่ต้าหลางและสวี่เอ้อร์หลางอยู่ในวัยของเซินกงเป้า แต่ยังไม่เคยแต่งงาน ถึงได้ริเริ่มไปสำนักสังคีตเพื่อคลายเครียด
“ไม่ใช่เลื่อนตำแหน่ง แต่เป็นการเลื่อนยศต่างหาก!” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงขรึม
“คิคิ…” อาสะใภ้รู้สึกขบขันจนดอกไม้สั่นไหว คิ้วงามขยับ
“นี่ อย่าพูดจาเหลวไหล” อารองสวี่โบกมือ พลางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ตอนนั้นอารองอยู่ในวงล้อมของข้าศึกและสังหารศัตรูที่ด่านซานไห่ สังหารตั้งแต่ตอนใต้มาตอนเหนือ จากตอนเหนือมาตอนใต้ สังหารจนร่างกายเต็มไปด้วยเลือด ก็แค่นั้นแหละ การจะได้รับการแต่งตั้งยศยังขาดไปอีกนิด”
สังหารตั้งแต่ตอนใต้มาตอนเหนือ จากตอนเหนือมาตอนใต้ อารองท่านไม่เจ็บแขนเลยหรือ…สวี่ชีอันพูดแขวะในใจ
สวี่ซินเหนียนส่ายศีรษะ “การแต่งตั้งยศเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ครั้งสุดท้ายที่ต้าเฟิงได้รับการแต่งตั้ง ก็ยังเป็นช่วงการสู้รบในด่านซานไห่เมื่อยี่สิบปีก่อน ตอนนี้ทะเลทั้งสี่ต่างก็สงบสุข จะหาผลประโยชน์จากการสู้รบที่ไหนให้เจ้าได้รับการแต่งตั้งเล่า”
“ได้รับการแต่งตั้งยศไม่จำเป็นต้องหาผลประโยชน์จากการสู้รบเสมอไป” สวี่ชีอันลูบศีรษะของเสี่ยวโต้วติง “ข้าขอโทษนะ หลิงอิน”
เสี่ยวโต้วติงไม่สนใจเขา ปากเล็กแนบกับขอบชาม ดื่มโจ๊กทั้งที่หน้ามุ่ย
“พอแล้ว พอแล้ว เจ้าน้ำหนักเท่าใดอาสะใภ้ยังไม่ทราบอีกหรือ” อาสะใภ้ส่งเสียงหัวเราะ “วันนี้เจ้าไม่ไปพักผ่อนก็รีบกลับไปที่ทำการปกครองเสีย ใกล้จะเลยยามเหมาแล้ว อย่ารบกวนการรายงานตัวของอารองเจ้า เรื่องการสร้างชื่อเสียงเกียรติยศให้แก่วงศ์ตระกูล ต้าหลาง เจ้าไม่ต้องกังวลใจ หลังการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ของปีนี้ไป บ้านสกุลสวี่ของพวกเราก็จะมีบัณฑิตขั้นสูงท่านหนึ่งแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นเราก็จะจัดงานเลี้ยงที่บ้าน และเชิญพวกพ้องมากินรับประทานอาหารกันสักหนึ่งมื้อ”
การสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ยังไม่เริ่ม อาสะใภ้ก็ทำตัวอวดดีขึ้นมาแล้ว
มารดาเถอะ นี่จึงจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ข้าต้องการ อารองเป็นคนที่ลำเอียง อาสะใภ้เป็นคนที่จิตใจโหดร้ายคนหนึ่ง ญาติผู้น้องเป็นปัญญาชนแต่ชอบกดดันข้าทุกเมื่อ น้องสาวคนที่หนึ่งชอบดูถูกข้า ส่วนน้องสาวอีกคนชอบแย่งข้ากิน…สุดท้าย เมื่อเทพแห่งสงครามกลับมา จะได้รับการแต่งตั้งยศที่แข็งแกร่ง และจับครอบครัวท่านลุงและอาสะใภ้เข้าไปอยู่ในคอกสุนัข…สวี่ชีอันคิดไปคิดมา รู้สึกดียิ่งนัก
อารองสวี่หยิบหมวกเหล็กขึ้นมาอีกครั้ง และพยักหน้า “สายแล้ว ข้าต้องรีบไปรายงานตัวแล้ว”
เรื่องการได้รับการแต่งตั้งยศ เขาเมินเฉยไปเอง ทำเหมือนว่าเป็นการล้อเล่นของหลานชาย
หากบ้านสกุลสวี่สามารถกำเนิดขุนนางที่มีชื่อเสียงและมั่งคั่งได้ เช่นนั้นก็คงเป็นควันเขียวผุดจากหลุมฝังศพบรรพบุรุษเสียจริงแล้ว เกรงว่าการสอบได้ถึงชนชั้นสูงของเอ้อร์หลาง ก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับต้าหลางได้
ช่วงเวลานี้ สวี่ผิงจื่อเห็นเหล่าจางคนเฝ้าประตูวิ่งพรวดเข้ามาอย่างเร่งรีบ ท่าทางที่ตื่นตระหนกนั้น ช่างเหมือนกับว่ามีแมลงตัวใหญ่ไล่ตามเขาก็มิปาน
“ตะ ใต้ ใต้เท้าขอรับ…”
เหล่าจางคนเฝ้าประตูพูดติดอ่าง พลางเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “มีพระราชโองการขอรับ!”
“พระอะไรนะ” สวี่ผิงจื้อฟังไม่ชัด
“พระราชโองการขอรับ”
“พระอะไรนะ” สวี่เอ้อร์หลางก็ยังฟังไม่ชัด
“พระราชโองการ พระราชโองการการแต่งตั้งยศขอรับ”
สวี่ชีอันเหลือบมองอาสะใภ้ที่งุ่มง่าม ผลักอารองให้ก้าวออกไป “พระราชโองการของฝ่าบาทมาแล้ว”
เมื่อวานตอนเช้าช่วงคดีพระสนมฝูสิ้นสุด เว่ยเยวียนเคยบอกกับเขา ว่าศาลาในได้ร่างพระราชโองการการแต่งตั้งยศเสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้กำหนดไว้ในวันนี้
สวี่ผิงจื้อเดินจากในจวนออกมานอกจวน ราวกับเดินผ่านครึ่งชีวิต ความรู้สึกในตอนนี้สับสนอย่างยิ่ง มีทั้งรู้สึกกระสับกระส่าย ตื่นเต้น ลังเล…เขาเคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนครั้งหนึ่งในคืนวันแต่งงาน
ไกลๆ เห็นขันทีสวมใส่เสื้อคลุมพญางูยืนอยู่ มีทหารรักษาพระองค์สวมชุดเกราะอ่อนยืนแยกออกเป็นสองแถว
ในมือขันทีผู้นั้นถือพระราชโองการผ้าแพรสีเหลืองที่ปักลายห้ากรงเล็บมังกรทองฉบับหนึ่งอยู่
‘ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก…’
สวี่ผิงจื้อได้ยินเสียงหัวใจเต้นดั่งตีกลองของตนเอง
เห็นเจ้าของบ้านเดินเข้ามา ขันทีที่ถ่ายทอดพระราชโองการค่อยๆ คลี่ออก พลางอ่านเสียงดัง “ฆ้องทองแดงสวี่ชีอันรับพระราชโองการ”
อารองคุกเข่าลงก่อน จากนั้นค่อยดึงสวี่ชีอันให้คุกเข่าตาม
อารองสวี่จ้องสวี่ชีอันเขม็ง ขณะที่พระราชโองการอยู่เบื้องหน้า คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กคนนี้จะคุกเข่าลงอย่างไม่เต็มใจ
“ฆ้องทองแดงสวี่ชีอันอยู่นี่แล้วขอรับ”
ขันทีพยักหน้า พลางอ่านออกเสียง “ด้วยโองการแห่งสวรรค์ องค์จักรพรรดิจึงทรงมีพระบัญชา ข้าผู้ปกครองโลกที่สงบสุขด้วยบุ๋น การต่อสู้ที่โกลาหล มีที่ปรึกษาแม่ทัพเป็นแกนนำที่แข็งแกร่งของราชสำนัก ในประเทศที่ถูกทอดทิ้งแห่งนี้…สวี่ชีอันสามารถคลี่คลายคดีแปลกประหลาดได้ และสังหารกบฏในอวิ๋นโจวจำนวนสองร้อยคน…”
พอได้ยินคำว่าสังหารกบฏสองร้อย สวี่ชีอันถึงกับงงงวย ในใจเอ่ย ข้าสังหารไปหนึ่งพันคนนี่ เหตุใดถึงกลายเป็นสองร้อยคนได้เล่า
ต่อมา จึงจะรู้แจ้งกระจ่างในฉับพลันว่าคุยโม้เกินไป จนแม้แต่ตัวเองยังเชื่อถือ
“แต่งตั้งสวี่ชีอันเป็นข้าราชการอำเภอฉางเล่อ ประทานที่ดินสามสิบแปลง และเงินจำนวนห้าร้อยตำลึงทอง มีพระราชโองการมาดังนี้”
“กราบขอบพระทัยฝ่าบาท”
สวี่ชีอันเอ่ยคติดังก้องกังวาน ลุกขึ้นรับพระราชโองการ
“ยินดีด้วยนะขอรับ ใต้เท้าสวี่…อ้อ เซี่ยนจือสวี่” ขันทีที่สวมเสื้อคลุมพญางูยิ้มตาหยีเอ่ย
“ขอบคุณมากขันที”
สวี่ชีอันรับพระราชโองการมา พร้อมกับส่งเงินธนบัตรหนึ่งร้อยตำลึงให้
รอให้ขันทีสวมเสื้อคลุมพญางูจากไปพร้อมกับองครักษ์แล้ว อารองสวี่รีบคว้าพระราชโองการไปทันที พลางดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน ถึงแม้จะรู้อักษรเพียงไม่กี่ตัว แต่กลับตั้งใจดูเสียนี่
ดูไปดูมา อารองสวี่ก็ขอบตาแดง
“ได้รับการแต่งตั้งยศแล้ว ได้รับแล้ว…บ้านสกุลสวี่ของข้ามีจื่อเจวี๋ยท่านหนึ่งแล้ว”
เขารีบวิ่งกลับไปที่ด้านหลังจวนพร้อมกับพระราชโองการ ตะโกนเอ่ย “ฮูหยิน รีบเขียนจดหมายถึงคนตระกูลสวี่เร็ว บ้านสกุลสวี่ได้รับการแต่งตั้งยศแล้ว ข้าจะจัดงานเลี้ยงใหญ่ สามวันสามคืน ฮ่าฮ่าฮ่า…”
สวี่ชีอันอุ้มกล่องทองคำและโฉนดที่ดินที่จักรพรรดิหยวนจิ่งประทานให้ แอบกลับห้องไปเงียบๆ
อารองช่างโง่เขลายิ่งนัก พระราชโองการหรือจะสำคัญกว่าเงินทอง
…
หลังนำทองคำเก็บไว้ในเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี สวี่ชีอันก็กลับเข้าไปในจวน เห็นอารองสวี่และเอ้อร์หลางแย่งพระราชโองการกันอยู่ จนสองคนพ่อลูกเกือบจะตีกัน
สวี่เอ้อร์หลางเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ถ้าไม่รู้ก็คงคิดว่าพระราชโองการเป็นของท่านพ่อเสียอีก”
อารองสวี่ “ไปให้พ้น!”
สวี่เอ้อร์หลางเอ่ยอย่างโมโหเล็กน้อย “ข้าก็แต่อยากดูว่าพระราชโองการเขียนว่าอย่างไรบ้าง”
อารองสวี่ “ไปให้พ้น!”
สวี่เอ้อร์หลางเอ่ยอย่างโมโห “ท่านพ่อ ให้ข้าดูสักครั้งเถิด”
อารองสวี่ “ไปให้พ้น!”
ชิ เจ้าทหารต่ำช้า…สวี่เอ้อร์หลางโกรธสะบัดแขนเสื้อ และกลับห้องไปอ่านตำราแล้ว
นับประสาอะไรกับจื่อเจวี๋ย เขาจะต้องสอบผ่าน และคว้าตำแหน่งจอหงวนมาให้ได้ มิฉะนั้น ดาวเด่นในบ้านคงโดนพี่ใหญ่แย่งไปเป็นแน่
“จริง ได้รับการแต่งตั้งยศแล้วจริงๆ หรือ”
อาสะใภ้เห็นพระราชโองการที่อยู่ในอ้อมกอดสามี เบิกดวงตากลมโต นางยังไม่ทันได้ตั้งรับ ราวกับกำลังอยู่ในความฝัน
ไม่มีการเตรียมใจโดยสิ้นเชิง
“นี่ยังมีของปลอม ด้านบนมีตราประทับหยกอยู่ ฝ่าบาทยังพระราชทานเงินจำนวนห้าร้อยตำลึงทอง และที่ดินให้อีกสามสิบแปลง” สวี่ผิงจื้อพูดเสียงดัง ราวกับกลัวว่าคนอื่นจะไม่เชื่อ
เงินห้าร้อยตำลึงทอง ที่ดินสามสิบแปลง…ภายในดวงตาอาสะใภ้เปล่งประกายสีทองออกมา
“ต้าหลาง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ เหตุใดอาสะใภ้ถึงรู้สึกว่ายังอยู่ในความฝันเล่า” อาสะใภ้จับมือของสวี่ชีอันไว้แน่น
สวี่ชีอันสะบัดมือออก เอ่ยอย่างราบเรียบ “ฮูหยินท่านนี้ อย่าได้พยายามตีสนิท เรียกข้าว่าใต้เท้าจื่อเจวี๋ย”
สวี่หลิงเยวี่ยมองพี่ใหญ่ด้วยความชื่นชม
หลังหายโกรธอาสะใภ้แล้ว สวี่ชีอันเอื้อมมือเข้าไปในอก หยิบโฉนดที่ดินออกมาและตบไปบนโต๊ะ พร้อมเอ่ย “ทองคำข้าจะเก็บไว้เอง ส่วนที่ดินผืนงามสามสิบแปลงนี้ อาสะใภ้ ข้ายังไม่ได้ภรรยาเข้าบ้าน ก็รบกวน…หลิงอินช่วยพี่ใหญ่ดูแลแล้วกัน”
มือที่ยื่นไปครึ่งหนึ่งของอาสะใภ้แข็งค้าง นางไม่สามารถทำอะไรกับสวี่ชีอันได้ กระทืบเท้าพลางเอ่ยด้วยความโมโห “สวี่ผิงจื้อ…”
อาสะใภ้ทำอะไรหลานชายไม่ได้ ทำได้เพียงโจมตีใส่สามีเท่านั้น
อารองส่งเสียง ‘อ๊าก’ “หนิงเยี่ยนล้อเจ้าเล่นน่ะ อีกอย่างหลิงอินไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก”
สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ท่านพ่อ ข้าเรียนหนังสือมาหลายปี และเข้าใจวิชาคำนวณด้วย”
อีกอย่าง การจัดการที่ดินปกติแล้วจะให้ข้ารับใช้ที่น่าเชื่อถือออกไปรับจัดการเรื่องแทน เจ้าของบ้านแค่จัดการเรื่องบัญชีก็ได้แล้ว
ทันใดนั้นอาสะใภ้ก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์
ศัตรูในจินตนาการของนางในอดีตคือสะใภ้ของต้าหลางกับเอ้อร์หลาง วันนี้จึงพบว่าสวี่หลิงเยวี่ย ยายหนูคนนี้ ไม่คิดเลยว่าจะกลับใจ คิดจะต่อสู้กับนางผู้เป็นมารดา
“ท่านแม่ ท่านมองข้าทำไมหรือ” สวี่หลิงเยวี่ยรู้สึกว่าดวงตาของมารดามีพลังข่มเหงอยู่
“ข้าไม่ได้มองเจ้า ข้ามองคนเนรคุณต่างหาก”
สวี่หลิงเยวี่ย “…”
…
หากเอ่ยถึงสิ่งก่อสร้างอย่างหอดูดาว ในเมืองหลวง แม้แต่ผู้คนทั่วทั้งต้าฟ่ง ในความประทับใจที่มีต่อมันคงไม่เกินสองคำคือ สูง!
ในยุทธภพ นอกจากจะสูงเทียมเมฆแล้ว หอดูดาวยังเป็นสถานที่ต้องห้ามของต้าฟ่งด้วย เพราะที่นี่มีผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเพียงหนึ่งเดียวของต้าฟ่งอาศัยอยู่
มีน้อยคนนักที่คิดว่าชั้นใต้ดินของหอดูดาว คือสถานที่อะไรกันแน่
‘ซ่า ซ่า ซ่า…’
ชั้นใต้ดินอันมืดมิด ประตูเหล็กค่อยๆ สูงขึ้น บันไดหินที่คดเคี้ยวไปจนถึงชั้นใต้ดิน ทุกๆ สิบขั้น บนผนังจะมีน้ำมันตะเกียงห้อยอยู่ ซึ่งเปล่งแสงสลัว
‘ตึก ตึก ตึก…’ ภายในบรรยากาศที่เงียบสงบ ได้ยินเสียงฝีเท้าดังชัดลอดเข้ามา
เสียงฝีเท้าค่อยๆ ชัดเจนขึ้น เงาร่างหนึ่งเงาจากชั้นใต้ดิน เดินขึ้นมาตามขึ้นบันได
ผมสีดำปล่อยสยาย ปิดบังแก้ม สวมเสื้อคลุมสีป่านเรียบๆ เดินเท้าเปล่า บางครั้งเวลาเดินหน้าอกที่อิ่มเอิบจะปรากฏชัดเจนออกมา ถึงทำให้คนตระหนักได้ว่านางเป็นผู้หญิง
แถมยังเป็นหญิงสาวที่มีร่องหน้าอกเสียด้วย
“ข้ายังห่างจากปรมาจารย์ยุทธ์ระดับสี่อีกนิดเดียว เหตุใดอาจารย์จึงปลุกข้าเล่า…” เงาดำพึมพำกับตนเอง
นางเงยหน้าขึ้นและเหลือบมอง ปลายบันได แสงสว่างที่อยู่ด้านนอกส่องลงมานับไม่ถ้วนราวกับกระแสน้ำก็มิปาน นั่นก็คือแสงแดดที่ห่างหายไปนาน
เมื่อก้าวออกจากประตูเหล็ก เงาดำยืนอยู่ในห้องโถงที่เงียบสงบ หลับตา กางแขนทั้งสองข้างออกเพื่อโอบกอดแสงแดดไว้
ห้าปีแล้วที่นางไม่ได้พบปะโลกภายนอก ถูกท่านโหราจารย์บีบให้อยู่แต่ชั้นใต้ดินของหอดูดาวมาโดยตลอด
เมื่อเดินผ่านทางเดินระเบียงชั้นแรกแล้ว หญิงสาวเจ้าของเรือนผมยาวสยายก็เดินขึ้นบันไดไป จนถึงชั้นที่สอง ‘ตึก ตึก ตึก…’ เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านบน โหรสวมชุดขาวท่านหนึ่งถือถาดเดินลงมา ในถาดมีขวดและกระป๋องต่างๆ วางอยู่
ทั้งสองได้เผชิญหน้ากัน
ร่างกายของโหรชุดขาวแข็งทื่ออยู่กับที่ ใบหน้าของเขาค่อยๆ ซีดเผือด เหมือนกับเห็นบางสิ่งที่น่ากลัวเป็นที่ยิ่ง
หลังจากนั้นประมาณสามหรือสี่วินาที โหรชุดขาวถึงได้หันกลับ และรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวผมยาวสยายหวังดี รีบตักเตือน “ศิษย์น้อง เดินช้าๆ หน่อย ระวังลื่น”
พูดยังไม่ทันขาดคำ เท้าของโหรชุดขาวเกิดลื่นไถลในทันใด ทำให้กลิ้งลงมา และกระแทกหญิงสาวคนนั้นล้มลง ทำให้ทั้งสองคนกลิ้งลงตกมาข้างล่างด้วยกัน
‘เพล้ง เพล้ง…’
ขวดและกระป๋องที่อยู่ในถาดตกลงมาแตกกระจาย ก่อนจะตลบอบอวลไปด้วยหมอกฝุ่นหลากสี
“ช่วย ช่วยด้วย…” ใบหน้าโหรชุดขาวมีเลือดไหลออกมา เลือดค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียวและสีดำ เขาบีบคอของตนเอง พลางเอ่ยอย่างยากลำบาก
“นี่ นี่เป็นยาพิษที่ศิษย์พี่ซ่งชิง ใช้ ใช้ฝึกฝน…”
หญิงสาวปิดคอของตนเอง เอ่ยอย่างยากลำบาก “ศิษย์พี่ไม่ได้พกยาถอนพิษมาน่ะสิ”
“ยาถอนพิษอยู่ด้านใน…” โหรชุดขาวราวกับไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ลูกตาจ้องไปที่ขวดลายครามที่แตกละเอียด และจ้องไปที่ผงยาที่อยู่บนพื้น
ภายใต้การช่วยเหลือของหญิงสาว ป้อนยาถอนพิษให้โหรชุดขาว และปีนลงไปที่ชั้นล่าง มายังห้องโถงใหญ่ห้องหนึ่ง หันไปทางเหล่าโหรชุดขาวที่กำลังฝึกต้มยาอยู่ ตะโกนเสียงดัง
“ศิษย์พี่จงออกมาแล้ว!”
‘เพล้ง!’ ขวดลายครามและช้อนที่อยู่ในมือเหล่าโหรชุดขาว ต่างร่วงตกลงบนพื้น
พวกเขาเอี้ยวคอด้วยความแข็งทื่อ ใบหน้าที่งุ่มง่ามหันมามอง
หญิงสาวผมยาวสยายยังคงเดินวนขึ้นบันไดต่อไป เดินผ่านชั้นที่เจ็ด ห้องเล่นแร่แปรธาตุที่อยู่ชั้นที่เจ็ดเกิดระเบิดเสียงดัง ‘ตูม!’ พื้นและผนังสั่นสะเทือน ฝุ่นตกลงมาทำให้เกิดเสียงกรอบแกรบ
“ระเบิดได้อย่างไร ระเบิดได้อย่างไรกัน” เสียงคำรามด้วยความโกรธของซ่งชิงดังลอดออกมา
หญิงสาวไม่สนใจ ยังคงเดินต่อไป ในที่สุดก็มาถึงด้านบนสุดของหอดูดาว ซึ่งเป็นแท่นแปดทิศ
ท่านโหราจารย์ผู้เป็นอมตะ มีเครา สวมใส่ชุดขาวนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหลังโต๊ะ ลูบถ้วยสุรา พลางมองออกไปไกลๆ ด้วยความเหม่อลอย
“อาจารย์”
หญิงสาวส่งเสียงร้องเรียกด้วยความเคารพครั้งหนึ่ง สายตาพลันตกไปอยู่ที่อาหารและสุราเลิศรสที่อยู่บนโต๊ะ
“จงหลี โอกาสที่เจ้าจะได้เลื่อนขั้นเป็นระดับสี่มาถึงแล้ว” ท่านโหราจารย์เอ่ยอย่างยืดยาว
หญิงสาวตัวสั่นไปทั้งร่าง ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นกรามแหลมที่ขาวราวหิมะของนาง
…
นามสกุลลำดับของขุนนางในต้าฟ่งแบ่งเป็นห้าระดับ คือ กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน แต่ละลำดับจะถูกแบ่งออกไปอีกห้าระดับขั้น
ชื่อเต็มยศของสวี่ชีอันคือ “เซี่ยนจือฉางเล่อระดับสาม”
นี่ถือเป็นยศที่พอกินพอใช้ ถึงไม่มีอำนาจอะไร แค่ได้เงินเดือนเพิ่มเท่านั้น
แต่ความหมายแฝงของยศ ไม่ได้อยู่ที่อำนาจ แต่มันคือเกียรติยศที่เป็นสัญลักษณ์ เช่นเดียวกับสถานะทางสังคม
สอบผ่านจอหงวน ติดอันดับในตำหนัก นี่ถือว่าเป็นชนชั้นสูงแล้วหรือ ไม่ใช่ อำนาจเช่นนี้เป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้น สัญลักษณ์ของการยกลำดับขั้นชนชั้นขุนนางของตนเอง และการเป็นสามัญชนตลอดไปอย่างแท้จริง คือยศที่เป็นมรดกถาวรต่างหาก
แน่นอนว่า ยศของสวี่ชีอันไม่ได้มาจากมรดกถาวร แต่อย่างน้อยก็มีวันของเขา วันที่บ้านสกุลสวี่จะได้เป็นขุนนาง ไม่ใช่สามัญชนอีกต่อไป
ภายภาคหน้า หากเซี่ยนจื่อฉางเล่อต้องการแต่งงานกับภรรยาที่เป็นสามัญชน ขุนนางใกล้ชิดคงได้จัดทำราชกฤษฎีกาเพื่อกล่าวโทษเขา เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารทั้งราชสำนักจะพูดว่า เป็นท่านที่ไม่เนื้อหอม หรือว่าเป็นท่านที่ไม่สง่างามกันแน่
คิดไม่ถึงว่าจะแต่งหญิงสามัญชนเป็นภรรยา
สรุปก็คือ เป็นครั้งแรกในรอบหลายร้อยปีที่บ้านสกุลสวี่ถือกำเนิดจื่อเจวี๋ยขึ้นมาสักหนึ่งคน จนทำให้หลุดพ้นทะเบียนราษฎรอย่างสิ้นเชิง และยกตัวเองขึ้นเป็นชนชั้นสูง
สำหรับสวี่ผิงจื้อที่เป็นหัวหน้าตระกูล มันอาจเป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในชีวิตของเขาแล้วก็ได้ ในวันเดียวกันนั้นเอง ก็ได้พาสวี่ชีอันไปที่หลุมฝังศพของบรรพบุรุษเพื่อถวายเครื่องหอม
หลังจากกลับมา ได้วางแผนว่าที่จะส่งคำเชิญ จัดงานเลี้ยงใหญ่ และเชิญญาติมิตรสหายมาดื่มเฉลิมฉลองกันที่จวน
แต่อาสะใภ้คิดว่าไม่เหมาะสม จึงเอ่ยทัดทาน “วันมะรืนนี้เป็นวันสอบคัดเลือกช่วงวสันต์แล้ว แบบนี้มันจะเป็นการรบกวนเอ้อร์หลางนะ”
ใช่ วันมะรืนเป็นวันสอบคัดเลือกช่วงวสันต์แล้ว เป็นเรื่องสำคัญในการเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จะจัดงานเลี้ยงใหญ่ที่จวนต้องกระทบต่อการอ่านตำราของเอ้อร์หลางแน่ สวี่ผิงจื้อคิดว่าภรรยาพูดมาก็มีเหตุผล ด้วยเหตุนี้จึงให้สวี่เอ้อร์หลางย้ายไปอยู่บ้านเดิมที่เมืองชั้นนอก ตั้งใจอ่านตำรา และจัดงานเลี้ยงแบบเดิม
สวี่หลิงอินรู้สึกเห็นด้วยอย่างยิ่ง
สวี่เอ้อร์หลางพูดไปด่าไปและออกจากห้อง พาคนรับใช้หนึ่งคน สาวใช้หนึ่งคน กลับบ้านเก่าไปแล้ว
หลังกลับมาจากการถวายเครื่องหอม สวี่ชีอันได้จัดสรรเงินให้อย่างใจกว้างเป็นจำนวนเจ็ดสิบตำลึง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับงานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้
เงินเจ็ดสิบตำลึงถือว่ามากแล้ว มันคือเงินเก็บของครอบครัวเศรษฐีธรรมดาที่ไม่กินไม่ดื่มเป็นเวลาสามปี คือค่าบริการที่หอคณิกาเป็นเวลาสองปี เป็นเงินเดือนประจำปีของสวี่ชีอัน ณ ปัจจุบัน
“กลับมาตั้งนาน ยังไม่ได้ไปสถานรับเลี้ยงเด็กของไต้ซือเหิงหย่วนเลย ข้าต้องส่งเงินจำนวนหนึ่งไปช่วยเหลือคนยากไร้ไม่มีใครดูแลเสียแล้ว…”
สวี่ชีอันหยิบเงินห้าเหรียญออกมาจากตู้ห้าเหลี่ยม ตั้งใจจะไปฝึกกายที่เหิงหย่วนในราคาบริการที่ถูกเสียหน่อย
ทันใดนั้น ขณะที่เขานั่งอยู่ที่เตียง เสียงของไต้ซือเสินซูก็ดังขึ้นภายในจิตใจ ด้วยเสียงที่ต่ำและเลือนราง “ออกจากเมืองหลวง”
ออกจากเมืองหลวง?!
หมายความว่าอย่างไร…สวี่ชีอันมีสีหน้าตึงเครียด แต่ไหนแต่ไรไต้ซือเสินซูไม่เคยเป็นฝ่ายสื่อสารกับเขาก่อน มีแต่หลับใหลภายในร่างอย่างเงียบๆ
ตอนนี้กลับให้เขาออกจากเมืองหลวง
จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่เมืองหลวง หรือว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับข้ากันแน่
ความคิดต่างๆ ผุดขึ้นมา เบื้องหน้าเขาเห็นโลกที่มีแต่หมอกเลือนราง หมอกสีเทาจางหายไป วัดที่ทรุดโทรมก็ปรากฏขึ้น ที่ทางเข้าวัดเผยให้เห็นไต้ซือเสินซูผู้มีใบหน้าหล่อเหลานั่งขัดสมาธิอยู่
พระที่กำเนิดอย่างลึกลับท่านนี้ นั่งด้วยท่าพนมสองมือขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลกำลังมองมาอย่างอ่อนโยน เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่ว “ออกจากเมืองหลวง”
………………………………………….