ตอนที่ 555 ไม่คู่ควรที่จะได้มันไปครอบครอง
“ไปเถอะ อยากทำอะไรก็ทำให้เต็มที่”
เฉินฝานซิงหันไปเผยรอยยิ้มจางๆ ให้กับเขา สุดท้ายก็ลุกขึ้นอย่างกะทันหันแล้วเดินไปทางเวที
“ส่ง Only มาให้ฉัน”
หลังจากที่ยืนบนเวที เฉินฝานซิงก็พูดออกไปทันที
“Only ?” พิธีกรงุนงงไปชั่วขณะ เฉินฝานซิงสอดส่ายสายตาเย็นชาไป
พิธีกรสะดุ้งตกใจจนผงะไปด้านหลังหลายก้าว เมื่อหันกลับมามองเฉินฝานซิงที่กำลังจดจ้องอยู่ที่น้ำหอมขวดนั้น ก็ได้สติขึ้นมาในชั่วพริบตา
“แต่นี่มัน…”
นี่มันเป็นของที่คุณป๋อประมูลไปได้เมื่อกี้นะ!
จะให้เธอไปง่ายๆ ได้อย่างไร
ทว่าผู้ตั้งประมูลที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับยื่นน้ำหอมมาให้เสียก่อน
เฉินฝานซิงรับมันมาเปิดแล้วลองดม
จากนั้นก็ยกยิ้มมุมปากจางๆ
คนอื่นที่กำลังมองดูพฤติกรรมของเธอ รู้สึกเพียงแค่ว่าครั่นเนื้อครั่นตัวเสียดายเงินกันไปหมด
ในน้ำหอมมีแอลกอฮอล์อยู่ การระเหยนั้นรวดเร็วมาก
อีกอย่าง นี่มันน้ำหอมราคาสองร้อยล้านเลยนะ
ทุกวินาทีที่ระเหยออกมาล้วนแต่เป็นเงิน
ของแบบนี้ควรจะผนึกไว้ให้ดี แล้วเก็บไว้เป็นผลงานศิลปะชิ้นหนึ่ง
ทว่าเฉินฝานซิงกลับไม่นำฝามาปิด แต่ยกขวดน้ำหอมขึ้นมา แล้วพูดกับด้านล่างเวที
“Only ขวดนี้ ได้ยินมาว่า…เป็นผลงานที่ทำให้ Star ได้เป็นแชมป์ในการแข่งขันปรุงน้ำหอมระดับนานาชาติตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้าร่วม บนโลกนี้มีเพียงแค่ขวดนี้ขวดเดียวใช่ไหม”
ด้านล่างเวทีเห็นด้วยกันหมด
เฉินฝานซิงพยักหน้า สายตามองไปทางซูเหิง “ผลงานของ Star ควรจะแข็งแกร่งกว่า Rosanna ที่เรารู้จักกันหลายเท่า ใช่หรือไม่ อย่างน้อย ถ้าพูดถึงอันดับ Rosanna เทียบชั้นกับ Star เพื่อมาวิจารณ์กันไม่ได้ ฉันเชื่อว่าระหว่าง Star และ Rosanna ลูกค้าที่ชื่นชอบ Star น่าจะเยอะกว่าหน่อย คุณชายซู คุณว่าใช่ไหม”
ซูเหิงขมวดคิ้วมุ่น ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาขบคิดคำถามที่เฉินฝานซิงเจาะจงเรียกชื่อถามก็พยักหน้าตอบทันที “ยังไงซะ Star ก็เป็นแชมป์การแข่งขันปรุงน้ำหอมระดับโลก Rosanna เป็นเพียงแค่อันดับสี่ ถือว่ายังมีความแตกต่างกันอยู่ ในหลายๆ ด้าน แน่นอนว่า Rosanna สู้ Star ไม่ได้เป็นธรรมดา”
เฉินฝานซิงแสยะหัวเราะออกมาทีหนึ่ง ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น “จำคำพูดวันนี้ของคุณไว้ให้ดี”
ซูเหิงขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ไม่รู้ว่าเฉินฝานซิงกำลังคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่
แต่เฉินฝานซิงกลับไม่ได้สนใจเขาอีก สายตาหันไปหยุดอยู่บนตัวเฉินเชียนโหรว
“เธอนับถือ Star มากใช่ไหม”
เฉินเชียนโหรวไม่ได้พูดอะไร แต่ผู้หญิงที่อยู่ข้างเธอกลับพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
“คำพูดเธอนี่มันไร้สาระใช่หรือเปล่า รู้ๆ กันอยู่ว่าเชียนโหรวชอบ เธอก็ยังจะแย่งไปอีก”
เฉินฝานซิงยกมุมปาก “ก็จริง ฉันเป็นคนแย่งมา เหตุผล…เพราะว่าเธอชอบ เพียงแต่ประเด็นสำคัญกว่านั้นก็คือ ฉันคิดว่าเธอไม่คู่ควร!”
ทุกถ้อยคำ เสียงดังฟังชัด
แม้แต่เสียงที่สะท้อนอยู่ภายในงานก็ชัดเจนกว่าปกติ
เฉินเชียนโหรวโกรธจนหน้าซีดขาวไปชั่วขณะ เธอกัดฟันกรอดพร้อมกับจ้องมองเฉินฝานซิงด้วยความโกรธแค้น
เหล่าผู้ปกป้องระเบิดอารมณ์ออกมาในทันที
“เธอหมายความว่ายังไง”
“เธอจะรังแกคนอื่นมากไปแล้ว พูดจาเหน็บแนมเฉินเชียนโหรวอย่างโจ่งแจ้ง”
เฉินฝานซิงหัวเราะ “แบบนี้ก็เรียกว่าเหน็บแนมแล้วเหรอ”
ก่อนจะหันไปพูดทางเฉินเชียนโหรวต่อ “การเหน็บแนมแค่นี้รับไม่ได้งั้นเหรอ”
จู่ๆ เธอก็ยิ้มมุมปากออกมาอีกครั้ง
การกระทำต่อมาทำให้คนทั้งงานตกตะลึงจนสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่
“พระเจ้าช่วย”
“นี่มัน…”
“บ้าไปแล้วหรือเปล่า…”
สิ้นเสียงพูดเฉินฝานซิงได้ไม่นาน มือที่ถือขวดน้ำหอมอยู่ก็ทิ้งตัวอย่างกะทันหัน ทำให้ Only ราคาสองร้อยล้านขวดนั้นหล่นกระแทกพื้นอย่างแรง
กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์อบอวลไปทั่วในชั่วพริบตา
ลอยเข้าจมูกของทุกคน
กลิ่นหอมนั้น เป็นกลิ่นที่พวกเขาไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน
เสียง “เพล้ง” หนึ่งครั้ง แทบจะกระแทกไปยังหัวใจของทุกคน
เสียงแตกกระจายนั้นทำให้เฉินเชียนโหรวหัวใจเต้นแรงกว่าเดิม
ความอัปยศแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างทันที…
ตอนที่ 556 ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว
ความอัปยศแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกายทันที…
ยัยแพศยานี่!
เฉินเชียนโหรวโกรธจนสั่นไปทั้งตัว ใบหน้าที่ตั้งใจแต่งให้ดูขาวบริสุทธิ์บอบบางเวลานี้เหลือเพียงความขาวซีด
ปีกจมูกหุบเข้าออกเพราะความโกรธ ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจปิดบังไว้ได้
ทุกคนต่างก็เห็นเฉินเชียนโหรวที่โกรธจนเนื้อตัวสั่นเทาได้อย่างชัดเจน ท่าทางนั้นแทบจะใกล้เคียงกับอาการชักกระตุก
ในขณะที่มองปฏิกิริยาของเธอ พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ว่าทุกรูขุมขนของเฉินเชียนโหรวได้ขยายกว้างเพราะความโมโห
สภาพแบบนั้น พวกเขาที่เพียงแค่มองอยู่ก็รู้สึกถึงความอนาถใจได้ทันที
เฉินฝานซิงเหยียดมองเฉินเชียนโหรวที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ด้านล่างเวทีจากที่สูง ปลายคางเชิดขึ้นเล็กน้อย มุมปากได้รูปยกขึ้นจนเป็นองศาที่สังเกตเห็นได้
สายตากวาดไปบนร่างของซูเหิงและเฉินเชียนโหรว ใบหน้าที่สวยสดงดงามแฝงไว้ซึ่งรอยยิ้มเย็นชาและเย่อหยิ่ง จากนั้นก็เอ่ยปากขึ้นอย่างเรียบๆ น้ำเสียงที่ใสกังวานดังขึ้นช้าๆ
“ยินดีกับความรักที่สะท้านไปถึงฟ้าดินของทั้งคู่ด้วย ทำลายหลักจริยธรรม จนทำให้จากคนรักในที่สุดก็ได้กลายเป็นคู่สามีภรรยา”
“…”
“…”
“…”
ผู้คนรู้สึกมึนงงจนจับต้นชนปลายไม่ถูกกับการกระทำที่ย้อนแย้งกันเองนี้
ถึงแม้จะไม่เข้าใจ แต่คำพูดของเฉินฝานซิงกลับทำให้พวกเขาต่างก็ได้สติกลับมาบ้าง
“สะท้านฟ้าดิน? ทำลายหลักจริยธรรม? นี่คิดว่ากำลังเล่นตลกอยู่หรือไง”
“มือที่สามที่ตีท้ายครัวคนอื่น ผู้ชายห่วยๆ ที่นอกใจก็มีเกียรติและหยิ่งในศักดิ์ศรีเหรอ”
“ชิ เมื่อกี้ฟ่านหรูอวิ๋นก็ไม่ใช่ว่าพูดไปแล้วเหรอ ความรักมีหลักการที่ไหนกัน ประโยคนี้พอยกมาพูดเดี่ยวๆ แล้ว ก็นับว่าเป็นประโยคทองได้เหมือนกัน ยังไงซะ ก็ทำลายหลักจริยธรรมจริงๆ สังคมตอนนี้ พวกมือที่สามเหิมเกริมกันสุดๆ ถ้าไม่มีมารยาเลยสักนิด จะขึ้นไปอยู่ที่สูงได้ไง แต่พวกที่ทำถูกต้องตามทำนองคลองธรรม แต่ไหนแต่ไรมาไม่เห็นจะเคยได้ดีสักคน”
“ก็จริง ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว”
เสียงซุบซิบของเหล่าผู้คนราวกับมีดเล่มหนึ่งที่คอยกรีดเปลือกนอกที่ทำให้พวกเขาดูสง่าผ่าเผยออกทีละนิด แม้แต่เนื้อหนังที่อยู่บนตัวก็ถูกพวกเขากรีดจนเลือดไหลรินไปด้วย
เฉินฝานซิงค่อยๆ เก็บรอยยิ้มบนใบหน้า สายตาที่จดจ้องไปยังเฉินเชียนโหรวและซูเหิงแปรเปลี่ยนเป็นความเยือกเย็นอย่างช้าๆ
ดังนั้นแล้ว การขอแต่งงานที่ซาบซึ้งกินใจที่ซูเหิงทำให้เฉินเชียนโหรวเมื่อกี้นี้ ตอนนี้กลายเป็นเรื่องตลกไปในชั่วพริบตา
เฉินฝานซิงพูดเพียงไม่กี่ประโยค บรรยากาศภายในงานทั้งหมดก็ถูกทำให้เปลี่ยนไปคนละทิศคนละทางอีกครั้ง
เดิมทีควรจะเป็นการขอแต่งงานที่ใครๆ ต่างก็ต้องอิจฉา ปรากฏว่า กลายเป็นดั่งความตั้งใจของเฉินฝานซิงโดยที่ทุกคนไม่รู้ตัวอย่างสิ้นเชิง
ร่างที่สูงโปร่งเพรียวยาวร่างนั้นยืนอยู่บนเวทีตัวคนเดียวถู กทุกสายตาจับจ้อง ท่าทางเด็ดเดี่ยว สงบนิ่ง และดูถ่อมตัว ความแข็งแกร่งและเฉยชาเปล่งประกายความสูงส่งและสง่างามออกมา
เมื่อใดที่ใครก็ตามได้เห็นเธอ ก็ล้วนแต่ไม่อาจละสายตาออกมาได้
ในตัวของเธอมีออร่าที่ถูกกำหนดไว้ว่าเป็นที่จับตามองจากทุกคนอยู่
ทุกสายตาจับจ้องไปที่เฉินฝานซิงที่อยู่บนเวที ภายในแววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม
ป๋อจิ่งชวนเม้มริมฝีปาก ใบหน้าที่เย็นชาแผ่ซ่านไอเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็งออกมามากกว่าเดิม
เผยอวิ๋นเจ๋อที่อยู่ข้างๆ จากที่นิ่งสงบมาตลอด ตอนนี้แววตาได้ฉายประกายออกมาอย่างชัดเจน
“ผู้หญิงแบบนี้ ถูกทิ้งได้ยังไงกันแน่”
สีหน้าของป๋อจิ่งชวนเยือกเย็นขึ้นกว่าเดิม
คำถามนี้ เขาเองก็เคยสงสัยมาก่อน
ก่อนจะหันหน้าไปเล็กน้อย สายตาที่แหลมคมตกไปอยู่บนใบหน้าของเผยอวิ๋นเจ๋อ ความดุดันนั้นไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย
การมีตัวตนที่รับรู้ได้ข้างกายนี้แรงกล้ามาก จนทำให้เผยอวิ๋นเจ๋อค่อยๆ ยกมุมปากขึ้นมาช้าๆ ออร่าความสว่างไสวบนใบหน้าที่หล่อเหลามืดดำลงไปในพริบตา
ในที่สุด ป๋อจิ่งชวนก็ขมวดคิ้วมุ่น