ตอนที่ 300 เสียใจจนทำอะไรไม่ถูก โควต้ามอบให้วังจือเฟิงแล้ว!

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ที่สมาคมไวโอลินฉินอวี่ยังคงนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ดูการจัดอันดับหน้าคอมพิวเตอร์ ผ่านไปพักหนึ่ง โทรศัพท์ดังขึ้น เธอได้สติกลับมาเมื่อมีสายเรียกเข้าจากตระกูลเสิ่น

เธอปิดหน้าจอการจัดอันดับบนคอมพิวเตอร์ลงอย่างอารมณ์เสีย

ลุกขึ้นเดินออกประตูไป ในช่วงสองวันที่ผ่านมาคนของสมาคมไวโอลินส่วนใหญ่พูดคุยกันถึงเรื่องของนิทรรศการงานแข่งขัน

หัวข้อหลักคือกลุ่มคนทั้งสามของฉินหร่าน โดยหลักคือฉินหร่าน

อันที่จริงฉินอวี่ไม่อยากได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพวกเขาทั้งสามคนเลย เธอรู้ว่าอันดับหนึ่งสามารถไปที่สมาคมรัฐ M…

เมื่อลงลิฟต์มา ยังไม่ทันเดินออกจากอาคาร ก็เห็นกลุ่มคนยืนล้อมรอบกันอยู่หน้าประตู เสียงโหวกเหวก ดูครึกครื้นมาก

ฉินหร่านไม่สนใจพวกนี้มากนัก แต่เธอเห็นกลุ่มคนของวังจือเฟิงกับคุณเอินเก๋ออยู่ที่ทางเดิน

“พวกเขากำลังมองอะไร” เธอมอง ถามขึ้นอย่างสงสัย

ไต้หรานเคยแนะนำเธอให้คุณเอินเก๋อ ฉินอวี่รู้ว่าว่าเขามีสถานะอย่างไรต่อรัฐ M เพียงแต่ทำไมวังจือเฟิงถึงได้อยู่กับคุณเอินเก๋อล่ะ

ถ้าเป็นฉินหร่านเธอจะเข้าใจได้ แต่วังจือเฟิงไม่ใช่นักเรียนระดับห้าหรอกเหรอ!

“รุ่นพี่” เถียนอี้อวิ๋นที่อยู่ด้านข้างส่ายหัวไปมา ไม่ค่อยเข้าใจ “ดูเหมือนพวกเขาจะพูดถึงเรื่องโควต้าอะไรสักอย่าง…”

เถียนอี้อวิ๋นเข้าร่วมสมาคมช้าไป จึงไม่รู้เรื่องสมาคมรัฐ M

เธอรู้สึกตงิดใจในบางอย่าง หัวใจราวกับจะเต้นออกมาเสียอย่างนั้น น้ำเสียงตึงเครียด แม้แต่ตัวเองยังไม่รู้เลยว่ากำลังสั่นอยู่ “โควต้า? ฉินหร่าน?”

นักเรียนเก่าที่อยู่ด้านข้างคิดไปว่าฉินอวี่รอใครอยู่ ได้ยินว่าพวกเธอก็สนใจเช่นกัน หันกลับมาอย่างตื่นเต้นทันที “ไม่ใช่ฉินหร่าน แต่เป็นวังจือเฟิง! โควตาไปรัฐ M ตอนแรกเป็นของฉินหร่าน แต่ได้ยินอาจารย์เว่ยพูดว่าฉินหร่านต้องการมีสมาธิกับการเรียน เธอเลยมอบโควตาให้วังจือเฟิงแล้ว!”

เขามองไปทางวังจือเฟิงด้วยความอิจฉา “ใช่แล้ว พวกคุณรู้ไหมว่าสมาคมรัฐ M เป็นสถานที่แบบไหน ในตำแหน่งทางสากลเปรียบเหมือนตำแหน่งของสมาคมเมืองหลวงในประเทศของพวกเราเลย เป็นสถานที่ที่อำนาจไม่มีทางสั่นคลอน!”

เถียนอี้อวิ๋นไม่รู้ว่าสมาคมรัฐ M เป็นสถานที่แบบไหน แต่ฟังคำอธิบายของนักเรียนเก่าแล้วไม่ใช่สถานที่ธรรมดา เธอมองที่ด้านหน้า มองวังจือเฟิงโดยไม่รู้ว่ากำลังอิจฉาหรือริษยา

ฉินอวี่โซเซไปด้านหลังหนึ่งก้าว

ทำไมเธอจะไม่รู้ว่ารัฐ M เป็นสถานที่แบบไหน ฉินอวี่รู้ถึงกระทั่งเคยไปที่รัฐ M มากกว่านักเรียนเก่าเสียอีกด้วยซ้ำ ที่นั่นเป็นศูนย์รวมอำนาจ สถานที่ที่เธอขยันเพื่อมันอยู่เป็นเวลาหนึ่งปีก็ไม่สามารถไปได้ ฉินหร่านถึงกลับปล่อยมันไปให้ใครไหนก็ไม่รู้น่ะเหรอ

ฉินอวี่ยังครุ่นคิดอย่างบ้าคลั่ง นักเรียนเก่าที่อยู่ด้านข้างพูดต่ออีก “ใช่แล้ว ไม่ใช่แค่โควตารัฐ M ได้ยินว่าอาจารย์เว่ยยังรับเอาเถียนเซียวเซียวกับวังจือเฟิงระบุให้เป็นศิษย์ วังจือเฟิงกับเถียนเซียวเซียวโชคดีมากจริงๆ ฉินหร่านมอบโควตาทั้งหมดให้เขาก็นับว่าพอแล้ว อาจารย์เว่ยยังรับเอาพวกเขาให้เป็นศิษย์ด้วย…”

“แล้วก็…” นักเรียนเก่าพูด ทั้งยังมองเถียนอี้อวิ๋น “ได้ยินว่าอาจารย์เว่ยรับศิษย์เพราะพวกวังจือเฟิง ทั้งสองคนเป็นกลุ่มของฉินหร่าน พวกคุณทั้งสองนี่ช่างโชคดีจริงๆ ถ้ารู้เร็วกว่านี้ก็จะเข้าร่วมช้ากว่านี้สองปี ไม่แน่ว่าอาจได้เป็นคนในกลุ่มฉินหร่าน ไม่เพียงได้โควตาไปรัฐ M อย่างน้อยฉันก็ได้ถูกรับเป็นศิษย์ของอาจารย์เว่ย…”

พูดถึงประโยคนี้ ไม่ต้องพูดถึงคนที่กว่าจะรู้ก็สายไปแล้วอย่างหลี่เสวี่ยที่อยู่ข้างฉินอวี่ และเถียนอี้อวิ๋นตั้งแต่แรก ในใจเหมือนถูกมีดแทงอย่างรุนแรง

คำพูดต่อมา แม้แต่ประโยคเดียวฉินอวี่ก็ไม่อยากได้ยินแล้ว เธอหยิบกระเป๋าของตัวเอง เดินออกประตูไปอย่างไร้ความหวัง

ในหัวยังคงนึกถึงแต่คำพูดของนักเรียนเก่า…

คนธรรมดาในกลุ่มสองคนสามารถทำให้คนอย่างฉินหร่าน…

“อวี่เอ๋อร์ เธอสบายดีไหม” ในรถตระกูลเสิ่น หนิงฉิงมองเห็นฉินอวี่แต่ไกล รีบลงมาจากรถทันที เห็นสีหน้าของฉินอวี่ขาวซีด เธอคว้าที่แขนของฉินอวี่ มองขึ้นลงอย่างประหม่า

สิ้นเดือนแปด อากาศยังคงร้อนมาก แต่ฉินอวี่กลับรู้สึกในใจเหน็บหนาว เธอส่ายหัว ตรงไปนั่งลงที่นั่งหลังคนขับ พวกเขากลับไปที่บ้านตระกูลเสิ่น

ระหว่างทางฉินอวี่ไม่พูดสักคำ เธอเอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่าง และไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่

หนิงฉิงไม่รู้ว่าฉินอวี่เป็นอะไร แต่ก็ไม่กล้ารบกวนเธอ เพียงแค่เดินตามเธออย่างเงียบๆ

ถึงบ้านตระกูลเสิ่น นายท่านเสิ่นรอทุกคนอยู่ รอฉินอวี่กับหนิงฉิงกลับมาทานข้าว

“พวกคุณกลับมาแล้ว” ปกติแล้วเมื่อหลินหว่านเผชิญหน้ากับหนิงฉิง เอาแต่ทำตัวสูงส่ง แสดงออกถึงความเย่อหยิ่ง

ในเวลานี้กลับทักทายหนิงฉิงอย่างอ่อนโยน

ทำเอาหนิงฉิงประหลาดใจในคราวเดียวกัน แถมไม่ชินเอาเสียเลยคนเหล่านี้ของตระกูลเสิ่นเป็นอะไรไปกัน

เธอไม่อยู่ที่เมืองหลวงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ฉินอวี่ทำอะไรอีกแล้วรึเปล่า

คืนนี้ฉินอวี่ไม่อยากอาหาร จึงส่ายหน้า “พวกคุณทานก่อนเลย ฉันไปฝึกไวโอลินด้านบน”

หนิงฉิงรับประทานอาหารมื้อหนึ่งเสร็จเรียบร้อยภายใต้การต้อนรับอันอบอุ่นของตระกูลเสิ่น จากนั้นเคาะประตูเปิดเข้าไปยังห้องของฉินอวี่ ของตกแต่งในห้องของฉินอวี่ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับที่เธอมาบ้านตระกูลเสิ่นครั้งก่อน

“มีอะไรรึเปล่า” เธอนำข้าวของฉินอวี่มาให้ทาห้องของฉินอวี่ วางไว้บนโต๊ะแล้วมองดูเธอ

ฉินอวี่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ใช้ผ้าขนหนูเช็ดผม

ได้ยินและส่ายหัว “ไม่มีอะไร”

เธอมีจิตใจที่เข้มแข็ง บนสีหน้าไม่ได้แสดงออกถึงความผิดปกติใดๆ หนิงฉิงมองเธออยู่พักหนึ่ง มั่นใจว่าไม่มีอะไร จึงถอนหายใจออกอย่างโล่งอก

ตอนนี้ชีวิตของเธอมีเพียงฉินอวี่เป็นที่ยึดเหนี่ยว ความใส่ใจของหนิงฉิงที่มีต่อเธอรับรู้ได้อย่างไม่ต้องอธิบาย

“อวี่เอ๋อร์ ฉันรู้สึกว่าวันนี้ท่าทีของพวกพี่สะใภ้ของคุณไม่ปกติ…” หนิงฉิงนั่งลงที่เตียงของเธอ พูดอย่างสงสัย

เป็นเพราะว่าอาจารย์เว่ยรับฉินหร่านเป็นศิษย์แล้ว

มือข้างที่จับผ้าขนหนูของฉินอวี่กำแน่น ก้มหน้า ปลายนิ้วมืออีกข้างแทบจะเจาะเข้าฝ่ามือ

เธอแทบจะนึกภาพออกว่า ตอนนี้หากฉินหร่านกลับมา บ้านตระกูลเสิ่นและตระกูลหลินจะเฉลิมฉลองกันอย่างไร

**

สองวันผ่านไป มู่เสี่ยวอวี๋อวี๋แกะเอาโน้ตเพลงไวโอลินของฉินหร่านออกมา

มู่เสี่ยวอวี๋อวี๋แกะออกมาคร่าวๆ ก่อน นำเอาไวโอลินของฉินหร่านมาวงแบ่งแยกตำแหน่งสำคัญออก รอบแรกเธอไม่ได้ตั้งใจที่จะจำ เห็นได้ชัดเจนว่าจมอยู่กับสถานะนั้นแล้ว

ฟังหลายรอบจึงจำได้เกือบภาพรวม จากนั้นจึงแกะเอาส่วนที่ยากต่อ

ยิ่งทั้งฟังไป แกะไป มู่เสี่ยวอวี๋อวี๋ก็ยิ่งรู้สึกทึ่งกับโน้ตเพลงนี้ของฉินหร่านมากขึ้น

โน้ตเพลงเมื่อหนึ่งปีก่อนของฉินอวี่มู่เสี่ยวอวี๋อวี๋ก็แกะออกมาแล้ว เมื่อเอามาเปรียบเทียบกัน เธอก็พบได้อย่างง่ายดายว่ามีหลายจุดที่คล้ายกันจริงๆ

แต่เห็นได้ชัดว่าของฉินหร่านได้บรรยากาศมากกว่า รูปแบบท่าทางก็มากกว่า ส่วนการแสดงในตอนนั้นของฉินอวี่เมื่อปีที่แล้ว เปรียบกันแล้วเรียบง่ายไม่มีอะไรพิเศษ…

ถ้าเรื่องนี้ไม่อยู่ระหว่าง ‘การสงสัยว่ามีการลอกเลียนแบบ’ ล่ะก็ มู่เสี่ยวอวี๋อวี๋รู้สึกว่าเป็นเรื่องง่ายมากที่ตัวเองจะปันใจ

เธอมองดูโน้ตทั้งสองแผ่น และเปรียบเทียบระดับความเหมือน ไม่ใช่เพียงแค่ใช้ความเหมือนมาเป็นตัวอธิบาย

ในใจของมู่เสี่ยวอวี๋อวี๋ยุ่งเหยิงอย่างเห็นได้ชัด ฉินอวี่เป็นบล็อกเกอร์คนแรกที่เธอเป็นแฟนคลับ ฉินหร่าน…คือคนที่เธอบังเอิญปลาบปลื้มตอนที่แกะโน้ตออกมา…

จากนั้นไม่นาน มู่เสี่ยวอวี๋อวี๋ดูที่บัญชีทางการของสมาคมเมืองหลวง เปิดข้อความส่วนตัว สอบถาม…

[สอบถาม โน้ตดนตรีของนักไวโอลินที่พวกคุณลงในเวยป๋อล่าสุด เขียนขึ้นครั้งแรกตอนไหน]

บัญชีเวยป๋อของสมาคมเมืองหลวงไม่มีการตอบกลับ

มู่เสี่ยวอวี๋อวี๋มองจ้องไปที่ข้อความส่วนตัว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็คลิกเปิดข้อความส่วนตัวของฉินอวี่ ถามเรื่องคะแนนไวโอลินของเธอ…

**

ฉินหร่านไม่ได้รู้เรื่องต่างๆ ของเธอ

เธอลงจากรถของเหอเฉิน และจงใจเรียกรถแท็กซี่กลับ ครั้งนี้คนขับเป็นชายวัยกลางคน พูดน้อยมาก ระหว่างทางจึงพูดไปแค่สองประโยค

คิ้วขมวดของฉินหร่านคลายลง มองดูกลุ่ม เฉียวเซิงกับพานหมิงเย่ว์และคนอื่นๆ ถึงเมืองหลวงแล้ว

หลินซือหรานเพิ่งไปรับเฉียวเซิง

ในกลุ่มใหญ่เรียกหาหัวหน้า ตอนกลางคืนอยากเพิ่มดาวในเกม

ที่ถิงหลาน นายท่านเฉิงยังไม่กลับบ้านตระกูลเฉิง เพียงนั่งอยู่ที่โซฟา รินชาถ้วยหนึ่ง คิ้วดูจริงจัง ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่

เฉิงเวินหรูนั่งอยู่ด้านข้าง เธอนั่งพิงโซฟา หลังพิงตั้งตรง “หร่านหร่านไปหาเพื่อนแล้วเหรอ เพื่อนคนไหน”

นายท่านเฉิงเพิ่งนึกได้ว่าเขาไม่ได้ถาม ฉินหร่านก็ผลักประตูเข้ามาแล้ว

ได้ยินคำพูดของเฉิงเวินหรู เธอเอื้อมมือไปหยิบหมวกปลายแหลมที่ศีรษะออก วางไว้อีกด้าน “เพื่อนทางอินเทอร์เน็ตที่รู้จักก่อนหน้า”

“ไปหาเพื่อนทางอินเทอร์เน็ตมา?” นายท่านเฉิงนั่งตัวตรง น้ำเสียงจริงจัง “ตอนนี้คนในเน็ตหลอกลวงเยอะ เด็กผู้หญิงคนเดียวไปเจอเพื่อนทางอินเทอร์เน็ตไม่ปลอดภัย ครั้งหาไปเจอเพื่อนทางอินเทอร์เน็ต ต้องพาคนไปด้วย”

เฉิงมู่อยู่ในห้องครัวรินชามาให้เธอถ้วยหนึ่ง วางไว้ตรงข้ามข้างถ้วยชาของนายท่านเฉิง

ฉินหร่านนั่งลง จิบชา น้ำเสียงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน “ไม่มีปัญหา ทุกคนต่างคุ้นเคย มีนักข่าวคนหนึ่งก่อนหน้านี้เคยเจอที่เมืองอวิ๋น”

เฉิงมู่นั่งอยู่โซฟาอีกด้าน และเพิ่งเปิดเบียร์เย็นขวดหนึ่งแล้วดื่มไปอึกหนึ่ง ได้ยินคำพูดของฉินหร่าน เขาแทบจะพุ่งออกมา

นักข่าวในสนามรบหญิงคนนั้นที่หยิบเอายาหลอดละล้านขึ้นมาตามใจชอบอ่ะนะ

เขานึกถึงในปีนั้นที่คำว่า ‘เพื่อนธรรมดา’ ครอบงำด้วยความน่ากลัว

นายท่านเฉิงกับเฉิงเวินหรูไม่ได้ใส่ใจกับสีหน้าของเฉิงมู่ ทั้งสองคนยังคงสอนฉินหร่านไม่ให้ออกไปพบเพื่อนทางอินเทอร์เน็ตตามใจชอบ

ฉินหร่านฟังอย่างเงียบๆ

หลังจากพูดไปสิบนาที รอเฉิงเจวี้ยนและเฉิงจินกลับมาจากข้างนอก ทั้งสองคนจึงหยุดพูด ไปทานข้าวที่โต๊ะกินข้าว

ตอนที่รับประทานอาหาร โทรศัพท์ของนายท่านเฉิงดังขึ้น

เขารับสาย สีหน้าก็เปลี่ยนไป

พ่อบ้านเฉิงถาม “เกิดอะไรขึ้น”