ชื่อเสียงของแม่หม้ายคนนี้โด่งดังไปทั่วทั้งแคว้น ยิ่งไปกว่านั้นการตายของนางยังค่อนข้างเป็นปริศนา
ขณะที่ชาวบ้านเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับสาเหตุการตายของนาง อยู่ๆ โลหิตพลันไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด
หนังสือเล่มนั้นมีการบันทึกเอาไว้ว่าสาเหตุการตายที่แท้จริงของนางเกิดจากการถูกเข็มเล่มหนึ่งแทงเข้าที่ศีรษะ ซึ่งนอกจากร่องรอยเล็กๆ ที่แทบจะมองไม่เห็นนี้แล้ว ลักษณะภายนอกอื่นๆ มิได้เกิดความเสียหายแต่อย่างใด
หากดึงเข็มก่อนที่ร่างกายของนางจะย่อยสลาย เลือดจะไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด
หากต้องการใช้วิธีนี้ทำร้ายคน เช่นนั้นจะต้องทำอย่างลับๆ แม้แต่พวกอาจารย์ไร้ยางอายเหล่านี้ก็คงนึกไม่ถึงว่านี่เป็นละครตบตาของลูกศิษย์ตัวน้อยๆ ของพวกเขา
คนที่ดึงเข็มออกไปต้องเป็นคนที่เพิ่งสัมผัสกับศพอย่างแน่นอน ดูเหมือนเสี่ยวเฟิงจะมิได้วางแผนใส่ร้ายนางแค่เพียงลำพังเสียแล้ว
คาดว่าคนคนนั้นจะต้องคิดไม่ถึงอย่างแน่นอนว่านางรู้เรื่องกลอุบายเหล่านี้
ตรวจสอบร่องรอยบนศีรษะของศพอย่างละเอียด หลินเมิ้งหยาพบรูเล็กๆ ที่เกิดจากการถูกเข็มปักจริงๆ หากไม่เพ่งมองให้ดีก็คงไม่สังเกตเห็น
“สาเหตุการตายเกิดจากรูเล็กๆ บนศีรษะของเขา นี่เป็นวิธีการอันแสนโหดเหี้ยม เข็มเพียงเล่มเดียวสามารถเอาชีวิตของหลิวอีได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังชี้นำให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงใหญ่โตเช่นนี้ ใต้เท้าซูและใต้เท้าเหอสามารถตรวจสอบด้วยตนเองได้ ลองดูเองเถิดว่าเป็นไปตามที่ข้าพูดหรือไม่”
หลินเมิ้งหยากล่าวเสียบเนิบนาบ สีหน้าของเสี่ยวเฟิงเริ่มไม่น่ามอง
ไม่เพียงแค่ซูถง แม้แต่หมอหลวงคนอื่นเองก็เบิกตากว้างหลังจากได้เห็นรูเล็กๆ บนศีรษะของหลิวอี วิธีการเช่นนี้อย่าว่าแต่พวกลูกศิษย์เลย แม้แต่พวกเขาเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเช่นนี้ พวกเรา…พวกเราไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน”
ซูถงเองก็ตกตะลึง แม้พวกเขาจะเป็นคนฉลาดมีเล่ห์กลแพรวพราว แต่ก็ไม่เคยเห็นการทำร้ายคนเช่นนี้มาก่อน
เมื่อก่อนเคยเห็นเพียงคนถูกวางยาพิษ แต่วิธีการโหดเหี้ยมเช่นนี้เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก
หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะลุกขึ้นจากพื้น
“พวกเจ้าอาจกล่าวอ้างว่าไม่มีใครเก่งกาจในการใช้เข็มมากไปกว่าข้า แต่ถ้าหากข้าเป็นคนทำจริง เช่นนั้นข้าจะดึงเข็มออกมาทำไมเล่า? เอ๋? ข้าโง่ขนาดที่จะปล่อยให้พวกเจ้ารังแกข้าได้อย่างนั้นเชียวหรือ?”
คนทั้งสำนักหมอหลวงถูกหลินเมิ้งหยาหัวเราะเยาะเย้ยใส่
หลินเมิ้งหยารู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่อาจทำให้พวกเขาตั้งสติได้ ดังนั้นนางจึงเหยียดยิ้มพร้อมทั้งเอ่ยต่อ
“เมื่อวานหลังจากที่ข้ากลับไปแล้ว องค์ชายสิบเกิดอาการประชวร ข้าและสาวใช้ของข้าดูแลเขาตลอดทั้งคืน แน่นอนว่าข้าหาได้กุเรื่องนี้ขึ้นมา ขันทีและนางในล้วนเป็นพยานให้ข้าได้ หากพวกเจ้าสงสัย เช่นนั้นจงส่งคนไปสอบถามเถิด ข้าจะนั่งรอพวกเจ้าอยู่ที่นี่เอง ตอนนี้เรื่องราวทุกอย่างคลี่คลายแล้ว ข้าคือผู้บริสุทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้นมีคนนำเรื่องบันทึกชีพจรมาใส่ร้ายข้า”
ครุ่นคิด บางทีคนหนุนหลังของเสี่ยวเฟิงเองก็คงคิดไม่ถึงว่านางจะเอาตัวรอดจากแผนชั่วที่พวกเขาวางเอาไว้ได้
สีหน้าของซูถงพลันขาวซีด ก่อนนั้นเขาเคยเห็นวิธีการที่ชายาอวี้ใช้แล้ว ดังนั้นเขาย่อมรู้ดีว่าอะไรกำลังรอเขาอยู่เบื้องหน้า
คนของสำนักหมอหลวงที่เขาเป็นคนดูแลกล้าใส่ร้ายพระชายา เกรง…เกรงว่าคราวนี้ชายาอวี้ไม่มีทางปล่อยเขาไปง่ายๆ อย่างแน่นอน
“เข้ามา จับตัวเสี่ยวเฟิงเอาไว้! เขากล้าใส่ร้ายพระชายา บังอาจนัก!”
เรื่องราวกลับตาลปัตรอย่างรวดเร็ว เสี่ยวเฟิงหยักยิ้มแข็งทื่อให้หลินเมิ้งหยา ก่อนที่เลือดสีแดงสดจะไหลออกจากมุมปากของเขา
หลินเมิ้งหยาจ้องเขานิ่ง ที่แท้เด็กคนนี้ก็เตรียมตัวเตรียมใจน้อมรับความตายแต่แรกแล้ว เขาเอาชีวิตของตนเองมาเดิมพันกับนาง
“ไม่มีประโยชน์ เขากินยาพิษเข้าไป ข้ารู้ว่าเจ้ายังมีผู้สมรู้ร่วมคิด แต่ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ ข้าจะขุดคุ้ยเรื่องทุกอย่างที่พวกเจ้ากำลังทำและนำออกมาประจาน ข้าจะทำให้พวกเจ้าตายอย่างไม่เป็นสุข”
ใบหน้ายังคงงดงามดั่งดอกฝูหรง ท่าทางยังคงอ่อนโยนอ่อนหวาน ทว่าคำพูดของหลินเมิ้งหยามิต่างอันใดจากมีดซึ่งกำลังเฉือนเนื้อเลาะกระดูกจนร่างของทุกคนสั่นสะท้าน
การตายของเสี่ยวเฟิงมิได้หมายความว่าเรื่องนี้จะจบ
คำพูดของหลินเมิ้งหยาราวกับกำลังประกาศว่านางจะไม่มีวันปล่อยเรื่องนี้ไป ยิ่งไปกว่านั้นจะเปิดโปงแผนชั่วทุกอย่างให้กระจ่าง
พวกคนที่เกือบจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของเสี่ยวเฟิงพลันเหงื่อตก
สวรรค์โปรด พวกเขาจะทำเช่นไรต่อไปดี?
“ใต้เท้าซู นับตั้งแต่วันที่ข้ามายังสำนักหมอหลวงก็เกิดเรื่องไม่หยุดไม่หย่อน ข้าคิดว่าท่านควรจัดการที่นี่ให้เป็นระบบระเบียบดูสักรอบจะดีหรือไม่? แม้ข้าจะเป็นเพียงสตรี แต่ข้าหวังว่าจะไม่มีการใส่ร้ายป้ายสีใดๆ เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง เหตุที่ก่อนหน้านั้นข้าไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งก็เพราะข้าเคารพการตัดสินใจของท่าน แต่นับจากนี้เป็นต้นไป หากยังเกิดเรื่องเช่นนี้อีกล่ะก็ เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าท่านเลย”
สีหน้าเคร่งขรึม เหตุที่มีคนบังอาจคิดทำร้ายนางนับครั้งไม่ถ้วนก็เพราะซูถงดูแลสำนักหมอหลวงได้ไม่ดีพอ
นับตั้งแต่วันแรกที่หลินเมิ้งหยาก้าวเข้ามาที่นี่ ซูถงไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย เขาเป็นผู้นำและทำให้หมอหลวงทั้งหมดคิดว่าหลินเมิ้งหยาเป็นคนอ่อนแอที่สามารถรังแกได้ง่ายๆ
ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้ซูถงเข้าใจทุกสิ่งอย่างถ่องแท้แล้ว
แม้จะมีคนบอกว่าหลินเมิ้งหยาไม่มีทางตอบโต้กลับ แต่….
เฮ้อ เขาลอบถอนหายใจในใจ คิดไม่ถึงเลยว่าอำนาจที่สั่งสมมานานหลายปีจะหมดสิ้นไปในวันนี้
คนสกุลหลินหาใช่คนที่พวกเขาจะเข้าไปยุ่งด้วยได้ไม่
“พระชายาได้โปรดลงโทษกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมผิดไปแล้ว”
หลินเมิ้งหยาปรายตามองเขา คนผิดหาใช่ซูถงเพียงคนเดียว
“เรื่องนี้ข้าจะมอบให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้รับผิดชอบ ใต้เท้าซู ท่านจะต้องดูแลตัวเองให้ดี บันทึกชีพจรของฮ่องเต้ถูกเปิดเผยแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะเป็นคนถวายการตรวจชีพจรแก่ฮ่องเต้ด้วยตนเอง ต่อจากนี้ไปคงไม่รบกวนพวกท่านแล้ว”
หลินเมิ้งหยากล่าวจบจึงเดินจากไป นางทิ้งพวกหมอหลวงเอาไว้เบื้องหลัง พวกเขาทรุดตัวนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรงแล้วหันไปมองหน้ากัน
หากศาลต้าหลี่รับหน้าที่ไต่สวนนั่นเท่ากับว่าคนทั้งราชสำนักจะต้องรู้เรื่องนี้ ในที่สุดดวงตาของซูถงก็มืดสนิท ไร้ซึ่งประกายแสงแห่งความหวัง
คิดไม่ถึงเลยว่า….
ด้านนอกสำนักหมอหลวง สีหน้าของหลินเมิ้งหยาและป๋ายซูยังคงเคร่งขรึม
สีสันของกำแพงยังคงงดงาม แต่ในสายตาของหลินเมิ้งหยากลับรู้สึกว่าน่ารังเกียจ
“นายหญิง เช่นนั้นพวกเราออกจากวังหลวงดีหรือไม่เจ้าคะ?”
ป๋ายซูลองเอ่ยโน้มน้าว นางหาได้กลัวมีดหรือปืนไม่ แต่สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกหวั่นใจคือกลอุบายในวังหลวงที่มีอยู่ทุกหย่อมหญ้าต่างหาก
เล่ห์กลเหล่านั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในวังหลวง ไม่ว่าการทำร้ายเด็กน้อยหรือทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ทุกอย่างล้วนเป็นกลอุบายอันแสนโหดเหี้ยมอำมหิต
“ออกจากวัง? กว่าพวกเราจะมาอยู่จุดนี้ได้ต้องเหยียบเลือดเนื้อของคนอื่นมามากมาย หากพวกเราออกไปตอนนี้แล้วใครจะร้องขอความเป็นธรรมให้แก่คนเหล่านั้นกันเล่า?”
ความตายกลายเป็นฝันร้ายของหลินเมิ้งหยา
นางมักฝันถึงภาพที่พี่เยว่ถิงกระโดดลงจากหน้าผา
ความรู้สึกผิดและความเสียใจวนเวียนหลอกหลอนนางทุกค่ำคืน นางมักตะโกนอยู่ในความฝันว่าจะแก้แค้นให้กับพี่เยว่ถิง แต่ถึงแม้จะฆ่าหูลู่หนานและหมิงเยว่ตายแล้วมันก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
สุดท้ายคนที่เสียใจที่สุดก็คือพี่ชายของนาง
นับจากนี้เป็นต้นไป นางไม่อยากเห็นคนใกล้ตัวต้องเจ็บปวดเสียใจอีก
จะบอกว่านางเห็นแก่ตัวหรือใจดำอำมหิตก็ได้ แต่หากมีใครบังอาจยุ่มย่ามกับคนของนางแล้วล่ะก็ นางจะมอบฝันร้ายให้แก่คนเหล่านั้น!
ฉะนั้นนางจำเป็นต้องกลายเป็นคนเลือดเย็น
นางรู้ดีที่สุด หากนางเปิดโปงคนที่อยู่เบื้องหลังได้ เรื่องทุกอย่างจึงจะจบ คนบริสุทธิ์จะไม่ต้องตายอีก
“เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นนายหญิงคิดจะทำสิ่งใดต่อไปหรือเจ้าคะ?”
แม้ป๋ายซูจะไม่เข้าใจความคิดของหลินเมิ้งหยา แต่นางรู้ว่าสิ่งที่นายหญิงต้องทำก็คือสิ่งที่นางต้องทำเช่นเดียวกัน แม้จะต้องสละชีวิตนางก็ไม่นึกเสียดาย
หลินเมิ้งหยาหยุดฝีเท้า ก่อนจะกระซิบ
“กลับไปดูแลอิงฮวาก่อนแล้วกัน หลังจากดูพระอาการของฮ่องเต้แล้วค่อยว่ากัน ข้าคิดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังของเสี่ยวเฟิงไม่มีทางหยุดมือแต่เพียงเท่านี้ ข้ายังไม่ถูกกำจัด เช่นนั้นเขาจะต้องหาทางโจมตีข้าอีกอย่างแน่นอน ข้าจะรีบหาวิธีพลิกสถานการณ์ให้ได้”
แม้นางจะมีผู้อาวุโสอวี้คอยช่วยเหลือ แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นตัวเอกของสงครามนี้
การได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อตรวจชีพจรถือเป็นโอกาสอันดีของนาง แต่ขณะเดียวกันความอันตรายก็จะยิ่งทวีคูณขึ้นอีกหลายเท่าตัว
ถอนหายใจเบาๆ หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าตนเองมิต่างอันใดจากพระถังซัมจั๋งที่ต้องขี่ม้าขาวเผชิญหน้ากับอันตรายร้อยแปดพันอย่างกว่าจะได้พบกับความสงบสุข
หลังจากเกิดเรื่องของเสี่ยวเฟิงขึ้น ซูถงคงมิกล้าห้ามนางมิให้เข้าเฝ้าฮ่องเต้อีก
ตอนนี้สำนักหมอหลวงจะต้องตกอยู่ในอาการหวาดผวาอย่างแน่นอน แต่ก็สมน้ำหน้าแล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเขามีความสุขจนลืมตัว ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องชดใช้
หลินเมิ้งหยาไม่อยากสนใจพวกเขาอีก เหตุเพราะนางได้ยินมาว่าผู้คุมศาลต้าหลี่เป็นคนเก่งกาจยิ่งนัก คาดว่าความสุขของพวกตะเข็บตะขาบเหล่านั้นจะต้องจบลงในอีกไม่ช้า
กลับมายังเรือนเล็กของตนเอง เพียงผ่านประตูเข้ามา นางก็ได้พบกับเจินจูที่ออกมาต้อนรับ
“ถวายพระพรพระชายา”
สีหน้าของเจินจูขาวซีดจนไร้สีเลือด แต่ถึงกระนั้นก็ยังสามารถสังเกตเห็นสีแดงเรื่อเพราะพิษไข้บนใบหน้าของนาง หลังจากได้เจอกับหลินเมิ้งหยา นางรีบก้มหน้างุดแล้วขยับหลบไปอีกทาง
เหมือนแต่ก่อนไม่มีผิดเพี้ยน
“อืม เจ้าออกไปก่อนเถิด ช่วงนี้เจ้ากับหมาหน่าวต้องลำบากแล้ว สองสามวันนี้พวกเจ้าไม่ต้องเข้ามารับใช้ข้าหรอก จริงสิ เมื่อคืนพระสนมเสียนเฟยรับสั่งว่าไม่สบายพระทัยก็เลยส่งคนมาที่นี่ ฉะนั้นสองสามวันนี้พวกเจ้าไปพักผ่อนสักหน่อยเถิด”
น้อยครั้งนักที่หลินเมิ้งหยาจะเอ่ยประโยคแสดงความเป็นห่วงเป็นใย เห็นได้ชัดว่าเจินจูรู้สึกตกใจเล็กน้อย นางจ้องหลินเมิ้งหยาเสมือนคนโง่ ราวกับนางกำลังวิเคราะห์คำพูดของหลินเมิ้งหยาว่าจริงเท็จแค่ไหน