“เอาล่ะ เจ้าออกไปได้”
หลินเมิ้งหยาไม่แม้แต่จะปรายตามอง นางสาวเท้ายาวๆ ไปดึงตัวป๋ายซูกลับเข้าห้อง
ทันทีที่เข้ามาในห้อง ท่าทางของนางเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง สาวเท้าวิ่งเข้าไปหยิบขวดหยกสีขาวบนหัวเตียงออกมา
“รีบกินเข้าไป อีกเดี๋ยวจงนำไปให้องค์ชายสิบ รวมถึงพวกสาวใช้เหล่านั้นคนละเม็ด เจ้ารีบออกไปตามซูหลานมาเร็วเข้า”
หลินเมิ้งหยาเทยาลูกกลอนจากขวดหยก ป๋ายซูไม่แม้แต่จะคิดหรือสงสัย นางยื่นมือไปหยิบยาแล้วกลืนลงคอทันที
ดวงตาของหลินเมิ้งหยาเคร่งขรึมลงกว่าเดิมมาก คิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้
ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก
ดึงสติกลับมา ซูหลานถูกป๋ายซูพาตัวเข้ามาแล้ว
หลินเมิ้งหยารีบเข้าไปจับมือของนางเพื่อตรวจชีพจร ก่อนจะสั่งให้นางกินยา
ความสงสัยพลันบังเกิดขึ้นในใจของซูหลาน
“พระชายา นี่ท่าน….”
ไม่รอให้ซูหลานเอ่ยถาม หลินเมิ้งหยาออกคำสั่งทันที
“จากนี้ไป พวกเจ้าห้ามหยิบจับสิ่งของที่เจินจูแตะต้องเป็นอันขาด หากเป็นของส่วนรวม ถ้าสามารถเปลี่ยนได้จงเปลี่ยน ถ้าเปลี่ยนไม่ได้จงใช้น้ำร้อนต้มราวครึ่งชั่วโมง พรุ่งนี้ข้าจะสั่งให้หมอหลวงส่งสมุนไพรอ้ายเยี่ยมาที่นี่ พวกเจ้าจงนำอ้ายเยี่ยไปจุดทุกซอกทุกมุมของเรือน หากข้าไม่สั่งให้หยุด พวกเจ้าห้ามแอบอู้งานเป็นอันขาด เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของพวกเราทุกคน ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้องค์ชายสิบไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป จงส่งเขากลับไปอยู่กับพระสนมเสียนเฟย คาดว่าตอนนี้พระสนมเสียนเฟยน่าจะเอะอะโวยวายเพียงพอแล้ว ฉะนั้นองค์ชายจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน”
หลินเมิ้งหยากำชับเสียงเข้ม ทว่าท่าทางของซูหลานและป๋ายซูเหมือนยังย่อยข้อมูลที่ได้รับไม่ทัน
แต่โชคดีที่หลินเมิ้งหยาจัดแบ่งงานอย่างสมเหตุสมผล ดังนั้นทั้งสองจึงเริ่มทำหน้าที่ของตนเองทันที
ภายในห้อง สีหน้าของหลินเมิ้งหยาเคร่งขรึมและหวาดกลัว
เมื่อครู่ เพียงนางได้เจอกับเจินจู ระบบเซินหนงพลันร้องเตือน คราวนี้สิ่งที่นางต้องเจอหาใช่ยาพิษง่ายๆ อีกต่อไป
“เจินจู หมาหน่าว นายหญิงของข้าบอกว่าช่วงนี้ต้องทำสมาธิในการศึกษายาจึงไม่จำเป็นต้องมีคนรับใช้มากมายนัก ฉะนั้นพวกเจ้าจงกลับไปก่อนเถิด”
ป๋ายซูยังคงรักษาท่าทางให้เป็นปกติดังเดิมเพื่อมิให้เจินจูและหมาหน่าวเกิดความสงสัย
ตอนแรกคิดว่านางในทั้งสองจะดีใจ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสีหน้าของเจินจูจะเปลี่ยนไป นางเอ่ยคัดค้าน
“ให้หมาหน่าวกลับไปเถิด พระชายามีฐานะสูงส่ง หนู่ปี้เกรงว่าแม่นางป๋ายซูเพียงคนเดียวจะดูแลพระองค์ไม่ทั่วถึง ถึงอย่างไรหนู่ปี้ก็คุ้นชินกับงานที่นี่แล้ว เช่นนั้นหากหนู่ปี้อยู่ที่นี่จะไม่เป็นการทำให้พระชายาสะดวกสบายขึ้นหรือ?”
ป๋ายซูเองก็คิดไม่ถึงว่าเจินจูจะไม่อยากไปจากที่นี่
น่าแปลกเหลือเกิน พวกนางหวังมาตลอดให้นายหญิงจากไปมิใช่หรือ? เหตุใดวันนี้จึง….
ทว่านายหญิงกำชับเอาไว้แล้วว่าต่อให้เจินจูไม่ยินยอม แต่ป๋ายซูจะต้องอ้างว่านี่เป็นคำสั่งของพระชายาที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม
เจินจูก้มหน้าลง ดวงตาเผยให้เห็นความอำมหิต
กรอกตาไปมาราวกับกำลังคิดหาวิธีการที่จะได้อยู่ต่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแสดงสีหน้าเสมือนมิอาจทำใจจากไปได้
“ในเมื่อเป็นคำสั่งของพระชายา เช่นนั้นหนู่ปี้ก็มิอาจคัดค้าน แต่หนู่ปี้เองก็มาอยู่ที่นี่นานแล้ว เช่นนั้นขอให้หนู่ปี้ได้ทำความเคารพพระชายาก่อนจากไปสักครั้งเถิด สิ่งนี้ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของวังหลวง คงมิอาจทำให้ประเพณีอันดีงามเช่นนี้เสื่อมเสียได้ หวังว่าแม่นางป๋ายซูจะเข้าใจ”
ป๋ายซูแสดงท่าทางลังเล ก่อนจะหันไปสบตากับหลินเมิ้งหยาซึ่งจ้องนางอยู่ตลอดเวลาจากในห้อง
เมื่อเห็นนายหญิงผงกศีรษะลง ป๋ายซูจึงอนุญาตด้วยน้ำเสียงแกมไม่พอใจเล็กน้อย
“ก็ได้ ในเมื่อเป็นกฎ เช่นนั้นเจ้าจงเข้าไปเถิด แต่จงระวังตัวเอาไว้ด้วย อย่าทำสิ่งใดให้นายหญิงของข้ามิพอใจเด็ดขาด”
แม้จะเอ่ยเช่นนั้น แต่ป๋ายซูก็ยังคงระมัดระวังทุกการเคลื่อนไหวของเจินจู
หากนางกล้าทำอะไรนายหญิงแม้แต่เพียงนิดเดียว ป๋ายซูคนนี้ไม่มีวันปล่อยนางเอาไว้แน่
เหตุเพราะมาอยู่ที่นี่เพียงชั่วคราว ดังนั้นเจินจูและหมาหน่าวจึงมิได้นำของสิ่งใดมามากมายนัก
เมื่อเก็บของจนหมดแล้ว พวกนางถือเพียงห่อผ้าคนละห่อเท่านั้น
จากนั้นพวกนางจึงเข้าไปในเรือนเพื่อถวายการคำนับหลินเมิ้งหยา
“แค่ก แค่ก แค่ก…”
ยังไม่ทันเดินเข้าประตู หลินเมิ้งหยาซึ่งกำลังนั่งอยู่พลันได้ยินเสียงไอค่อกแค่กจากทางด้านนอก
ทำเพียงปรายตามองใบหน้าแดงก่ำของเจินจู ก่อนจะจิบชาบนโต๊ะต่อ
“เข้ามาได้”
หลังจากได้รับการอนุญาตจากหลินเมิ้งหยา ทั้งสองจึงเข้ามาคุกเข่าลงบนพื้น
เมื่อโขกศีรษะลงกับพื้นแล้ว อยู่ๆ เจินจูก็เงยหน้าขึ้นพร้อมทั้งพยายามไอออกมาอย่างหนัก
เสียงไอของนางดังมากจนทุกคนคิดว่าปอดของนางกำลังจะหลุดออกมา หลินเมิ้งหยาเลิกคิ้วขึ้นสูงพลางมองนางด้วยความสงสัย
“เจ้าป่วยหนักขนาดนี้ เช่นนั้นจงกลับไปพักผ่อนให้มาก อย่าได้กังวลเรื่องข้าเลย ป๋ายซูและซูหลานจะดูแลข้าอย่างดี หมาหน่าวจงตามหมอหลวงมาดูอาการของนางด้วย ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนที่อยู่ในการดูแลของข้า ส่วนค่าใช้จ่ายข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง เอาล่ะ เจินจูต้องการการพักผ่อน พวกเจ้าจงออกไปเถิด”
เหตุเพราะไอออกมาอย่างรุนแรง เจินจูเกือบจะหายใจไม่ออก
หมาหน่าวรีบโขกศีรษะลงกับพื้น ก่อนจะประคองเจินจูเดินออกจากเรือนเล็กไป
เมื่อทั้งสองเดินจากไปแล้ว สีหน้าของหลินเมิ้งหยาพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที
ถ้วยชาหยกขาวถูกปาลงพื้นอย่างไร้ความปรานี
‘เพล้ง’ เสียงดังขึ้น ถ้วยชาแหลกละเอียด ป๋ายซูหันไปมองนายหญิงของตนเองด้วยอาการตกตะลึง เหตุเพราะแม้นายหญิงจะมีเสื้อผ้าหรือของใช้ราคาแพง แต่นางไม่เคยใช้ของสิ้นเปลือง
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือภายในตำหนักหลิวซินมีสิ่งของล้ำค่ามากมาย แต่นายหญิงหาใช่คนออกเงินซื้อพวกมันมา
ขณะที่คิดจะเข้าไปเก็บ หลินเมิ้งหยากลับร้องห้าม
“อย่าจับ เจ้าจงไปนำเตาอั้งโล่มา”
แม้จะสงสัย แต่นางก็ปฏิบัติตามคำสั่ง
เมื่อป๋ายซูกลับเข้ามาพร้อมเตาอั้งโล่ หลินเมิ้งหยาใช้ผ้าเช็ดหน้าหยิบชิ้นส่วนของถ้วยชาบนพื้นโยนเข้าไปในเตาทีละชิ้น
“หลังจากกลับไปแล้ว เจ้าจงนำชุดชงชาทั้งหมดไปเผา จงเปิดเรือนหลังนั้นให้อากาศถ่ายเทสามวันจึงค่อยให้คนเข้าไปอยู่ ช่างเถิด ข้าทำเองดีกว่า เจ้ากับซูหลานจงรอข้าอยู่ด้านนอก”
พูดจบก็ลุกขึ้นไปจัดการในทันที หลินเมิ้งหยาถลกแขนเสื้อขึ้น ก่อนจะเดินเข้าไปในเรือนของเจินจูและหมาหน่าว ป๋ายซูที่รีบเข้ามารั้งนางเอาไว้ถูกนางดุไปหนึ่งที
ทำได้เพียงยืนรออยู่ในสวน สายตามองทางนายหญิงที่กำลังนำข้าวของของพวกเจินจูและหมาหน่าวออกมาเผา
ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความสงสัย นางไม่เข้าใจเลยว่านายหญิงกำลังทำอะไร
ซูหลานซึ่งส่งองค์ชายสิบและแม่นมกลับไปแล้วจึงเข้ามายืนอยู่ข้างๆ นาง
หลังจากป๋ายซูเล่าเรื่องให้ฟัง อีกฝ่ายแสดงท่าทางสงสัยเหมือนตนไม่มีผิดเพี้ยน
หลินเมิ้งหยาสั่งให้พวกนางนำสิ่งของของเจินจูและหมาหน่าวทั้งหมดไปเผา
ยิ่งไปกว่านั้นยังสั่งให้พวกนางจุดอ้ายเยี่ยให้ทั่วทั้งเรือน
ซูหลานซึ่งอาศัยอยู่ในวังหลวงมานานพลันนึกข้อสันนิษฐานบางอย่างขึ้นมาได้
เบิกตาโต ราวกับได้เห็นหายนะอยู่ตรงหน้า จ้องสิ่งของของพวกเจินจูเขม็ง ก่อนจะรีบเข้าไปพาตัวหลินเมิ้งหยาออกจากห้องนั้นโดยไม่สนใจคำสั่ง
“พระชายา! ไม่ได้นะเพคะ มันไม่คุ้มเลยเพคะ พระองค์มีฐานะสูงศักดิ์ เรื่องนี้ให้พวกหนู่ปี้จัดการเองเถิดเพคะ”
ทว่าห้องนั้นกลับว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งของแล้ว
หลินเมิ้งหยาผลักซูหลานออกจากห้อง ก่อนที่จะนางจะกระโดดขึ้นไปยืนบนตั่งแล้วเปิดหน้าต่างออก เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีของสิ่งใดตกค้างอีก หลินเมิ้งหยาจึงเดินออกจากห้อง
“ข้าจะต้องรีบอาบน้ำเปลี่ยนชุดทันที พวกเจ้าไม่ต้องเข้ามารับใช้ จริงสิ จงนำชุดที่ข้าเปลี่ยนไปเผาทิ้ง จะเป็นการดีที่สุดหากไม่ใช้มือสัมผัสกับสิ่งของเหล่านี้โดยตรง”
ขณะพูด หลินเมิ้งหยาขยับตัวเว้นระยะห่างจากสาวใช้ทั้งสอง
ทั้งสองพยักหน้ารับคำแล้วรีบทำตามคำสั่งของหลินเมิ้งหยา
กว่าหลินเมิ้งหยาจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเวลาก็ผ่านไปแล้วครึ่งคืน ป๋ายซูและซูหลานเองก็ทำงานที่ได้รับเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ทั้งสองอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย แล้วจึงเข้าไปพบหลินเมิ้งหยา
เรือนที่เคยครึกครื้นบัดนี้เหลือแค่เพียงพวกนางสามนายบ่าว ป๋ายซูและซูหลานเกิดคำถามมากมายขึ้นในใจ แต่ถึงกระนั้นก็ยังพยายามอดทนเพื่อรอให้หลินเมิ้งหยาเป็นฝ่ายอธิบายเอง
ชุดชาถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดแล้ว หลินเมิ้งหยาดื่มน้ำชาเข้าไปอึกใหญ่เพื่อดับกระหาย
หันหน้าไปมองสาวใช้ทั้งสองที่พยายามยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นของพวกตนเองเอาไว้ หลินเมิ้งหยาจึงหลุดขำพรืดออกมา
“นายหญิงยังมีอารมณ์หัวเราะอีกหรือเจ้าคะ ตกลงนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ตอนนี้ท่านสามารถบอกข้า…พวกเราได้แล้วหรือไม่เจ้าคะ?”
ป๋ายซูหันไปสบตาซูหลาน เหตุเพราะนางรู้ดีว่าแม้นายหญิงจะมีตำแหน่งเป็นถึงพระชายา แต่นางกลับไม่เคยถือตัวเลยแม้แต่น้อย
ฉะนั้นซูหลานจึงมักคิดเสมอว่าการพูดกับหลินเมิ้งหยาเช่นนี้เป็นเรื่องไม่เหมาะสม แต่ถึงกระนั้นนางก็พยักหน้าเห็นพ้องกับป๋ายซูเบาๆ
หากทุกอย่างเป็นไปตามที่นางคิดแล้วล่ะก็ เช่นนั้นเหตุการณ์ในคราวนี้จะเลวร้ายเป็นอย่างมาก
“พวกเจ้าอยากรู้จริงๆ หรือ? บางทีการบอกให้พวกเจ้าได้รับรู้ก็ดีเหมือนกัน ช่างเถิด ในเมื่อวันนี้ไม่มีพวกปากยื่นตายาวแล้ว เช่นนั้นพวกเจ้าอยากรู้อะไรก็ถามมาเถิด”
หลินเมิ้งหยาวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ ก่อนจะตั้งท่าเตรียมรอรับคำถามของพวกนาง
หลังจากป๋ายซูและซูหลานสบตากันแล้ว ความอยากรู้อยากเห็นพลันพวยพุ่งขึ้นมา
สุดท้ายคนที่สนิทสนมกับหลินเมิ้งหยาที่สุดอย่างป๋ายซูเป็นฝ่ายถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจ
“นายหญิง เหตุใดท่านต้องขับไล่เจินจูและหมาหน่าวไปด้วยเล่าเจ้าคะ? อีกทั้งยังเผาข้าวของของพวกนางจนหมดด้วย”