หลินเมิ้งหยากลับยิ้มให้ซูหลาน
“บางทีเจ้าเองก็น่าจะพอรู้บ้างแล้วใช่หรือไม่ ตอนนี้เหลือเพียงพวกเราสามคนแล้ว เช่นนั้นเจ้าลองบอกข้อสันนิษฐานของเจ้าให้สาวใช้ซื่อบื้อของข้าฟังเถิด”
แม้จะเอ่ยเช่นนี้ แต่นางคิดว่าซูหลานจะต้องเข้าใจเหตุการณ์ในเวลานี้แล้วอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น หลินเมิ้งหยายังอยากทดสอบไหวพริบของซูหลานอีกด้วย
ตัดสินใจแน่วแน่ ก่อนจะเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว
“หนู่ปี้เข้าวังมาตั้งแต่เด็ก แม้จะไม่เคยรับใช้เจ้านายคนใดมาก่อน แต่ถึงกระนั้นก็เคยได้ยินเรื่องเล่ามาบ้าง เมื่อห้าปีก่อนวังหลวงเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ หนู่ปี้เคยเห็นมากับตาว่าของที่พวกขันทีและนางในใช้ล้วนถูกกำจัดทิ้งเช่นนี้”
หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะ ความรู้สึกดีที่มีต่อซูหลานยิ่งเพิ่มมากขึ้น
สุขุมรอบคอบ กล้าหาญชาญชัย อีกทั้งยังปฏิบัติตัวดีมีมารยาท บางทีอาจมีอีกหลายด้านที่ตนยังไม่ได้เห็น
แต่นางมั่นใจว่าเด็กคนนี้มิใช่คนทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างแน่นอน
ซูหลานมองหลินเมิ้งหยาซึ่งมีรอยยิ้มบางๆ นางรู้ได้ทันทีว่าการคาดเดาของตนถูกเกือบแปดส่วน ความหวาดผวาพลันวาดผ่านสีหน้า
“หากเป็นเช่นนั้นจริง วังหลวง….จะไม่ตกอยู่ในอันตรายหรือเพคะ?”
ภาพแห่งความสูญเสียในคราวนั้นยังคงติดตานางมาจนถึงทุกวันนี้
ตอนนั้นนางยังเป็นเพียงนางในฝึกหัด ดังนั้นจึงได้เห็นเหล่าพี่น้องนางในในวังหลวงล้มหายตายจากเพราะอาการป่วยดังกล่าว สุดท้ายคนเหล่านั้นก็ถูกส่งตัวออกไปและไม่เคยกลับมาอีก ความเจ็บปวดพลันปรากฏขึ้นในใจ
อันที่จริงสถานการณ์ตอนนี้หาได้ย่ำแย่ดั่งที่ซูหลานว่าไม่
ตอนนี้ระบบเซินหนงมิได้รับรู้เพียงเรื่องของยาพิษเท่านั้น แม้แต่แบคทีเรียอันตรายก็สามารถจำแนกชนิดออกมาได้
โรคระบาดในคราวนี้คล้ายคลึงกับโรคคอตีบ เพียงแต่ระยะฟักตัวและความอันตรายรุนแรงกว่ามาก
หากเป็นสมัยปัจจุบันคงมีการรักษาอย่างทันท่วงที ขนาดตัวนางเองยังได้ฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันตั้งแต่เด็ก
ทว่าตอนนี้นางอยู่ในยุคโบราณ ฉะนั้นโรคระบาดในคราวนี้จึงไร้ซึ่งทางรักษา
“อะไรนะ? นายหญิง เช่นนั้นท่านจะบอกคนอื่นๆ หรือไม่?”
คำว่าโรคระบาดสำหรับหลินเมิ้งหยาเป็นเพียงศัพท์ทางการแพทย์คำหนึ่งในตำราเรียนเท่านั้น แต่ในสายตาของป๋ายซูและซูหลานนั้นมิต่างอะไรจากหายนะ
เหตุเพราะในสมัยปัจจุบันมีวิทยาการทางการแพทย์และวัคซีน ดังนั้นจึงพบเห็นโรคนี้ได้น้อยมาก แต่ในยุคสมัยนี้กลับเปรียบเสมือนหายนะ หากได้รับเชื้อขึ้นมา เช่นนั้นสิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็คือประตูสู่ยมโลก
แม้แต่ซูหลานที่เคยมีท่าทางสงบนิ่งก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา สายตาที่มองไปยังหลินเมิ้งหยาเปี่ยมไปด้วยความร้อนรนกระวนกระวาย
“เจินจูไม่มีทางมีชีวิตรอดจนถึงวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้พวกเราบอกทุกคนตอนนี้ก็คงสายไปเสียแล้ว”
แม้จะไม่รู้ว่าเจินจูติดเชื้อได้อย่างไร แต่นางมั่นใจว่าทันทีที่เชื้อโรคแพร่กระจายไปทั่วทั้งร่าง เจินจูจะต้องตายภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงอย่างแน่นอน
หรืออาจพูดได้ว่าลมหายใจของเจินจูคงหมดไปทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้น
ทว่าท่าทางของเจินจูทำให้นางนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ตอนพบนางในสวน นางมิได้พยายามไอออกมาเลยแม้แต่น้อย แต่หลังจากที่นางโขกศีรษะกับพื้นแล้ว นางกลับพยายามแค่นไอออกมาอย่างหนัก
ดูเหมือนความเป็นไปได้จะมีเพียงอย่างเดียว
เจินจูจะต้องรู้ว่าตนเองติดเชื้อแล้วอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น นางยังพยายามไอเพื่อแพร่เชื้อให้หลินเมิ้งหยา
แววตาเผยความเย็นชาเล็กน้อย
ตอนนี้นางเพิ่งจะรู้ว่าเจินจูใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตมากขนาดไหน หากมิใช่เพราะร่างกายของนางมีภูมิคุ้มกันป้องกันเชื้อโรคนี้อยู่แล้วล่ะก็ คาดว่านางเองก็คงติดเชื้อไปแล้ว
ครุ่นคิด สมองของหลินเมิ้งหยาพลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“บางที…เจินจู…อาจจะตั้งใจทำให้ตัวเองติดโรค”
หลินเมิ้งหยาลองเล่าข้อสันนิษฐานของตนเองออกมา
ทั้งป๋ายซูและซูหลานต่างหันมาจ้องนางตาไม่กระพริบ เป็นไปได้อย่างไร?
“ไม่มีทางหรอกเจ้าค่ะนายหญิง ท่านอาจคิดมากไปเอง แม้เจินจูจะเกลียดท่าน แต่นางก็คงไม่ถึงกับใช้วิธีนี้หรอกเจ้าค่ะ ต่อให้นางทำให้ท่านติดเชื้อได้ แต่…แต่นางเองก็ต้องจบชีวิตลงเช่นเดียวกัน”
คิ้วของป๋ายซูขมวดเข้าหากันแน่น วิธีนี้ไม่ต่างอันใดจากการสละชีพไปพร้อมกับศัตรู
ซูหลานเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของป๋ายซู ยิ่งไปกว่านั้น นางเองก็มีเหตุผลเช่นเดียวกัน
“นั่นสิเจ้าคะ หนู่ปี้ได้ยินมาว่าเจินจูคนนี้หาใช่คนธรรมดาไม่ ตระกูลของนางกำลังเสื่อมถอย ฉะนั้นหากนางทำให้นายหญิงพึงพอใจได้ เช่นนั้นนางก็จะสามารถแต่งงานกับคนดีๆ ได้เช่นเดียวกัน แต่ต่อให้ยังมิได้แต่งงานออกเรือน อีกไม่กี่ปีนางก็จะได้ออกจากวังแล้ว ครอบครัวของนางยังรอคอยการกลับไปของนางอยู่ แม้ว่า…แม้ว่าจะเพื่อหาผลประโยชน์จากนางก็ตาม”
ยิ่งคิดหลินเมิ้งหยาก็ยิ่งเชื่อมั่นในการคาดเดาของตน
คนที่เกลียดนางที่สุดในเรือนแห่งนี้เห็นจะเป็นเจินจู
ยิ่งไปกว่านั้น ป๋ายซูเคยเล่าให้ฟังว่าเจินจูแอบทำตุ๊กตาสาปแช่งนาง
เห็นได้ชัดว่าเจินจูต้องการให้นางตาย
นางเคยเห็นสายตาอาฆาตมาดร้ายของเจินจูมาก่อน ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นและเสียสติ
แต่หลินเมิ้งหยารู้สึกได้ว่าแรงแค้นของเจินจูมิได้เกิดจากการถูกหลินเมิ้งหยาแก้เผ็ดในสำนักหมอหลวงวันนั้น ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือนั่นไม่ใช่เหตุผลของความแค้นทั้งหมด
หากเจินจูยังมีเหตุผลอื่นที่เคียดแค้นนางเล่า? หรือว่า…
“พวกเจ้าไม่คิดว่ามันแปลกหรือ? ระยะฟักตัวของโรคนี้ยาวนานมาก หากพูดให้พูดก็คือเจินจูมิได้ติดเชื้อเพียงวันสองวัน อย่าว่าแต่พวกเจ้าเลย แม้แต่หมาหน่าวที่กินนอนร่วมกันกับนางเองก็มิได้ติดเชื้อ หรือพวกเจ้าจะบอกข้าว่าร่างกายของหมาหน่าวสามารถทนทานต่อโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างนั้นหรือ?”
คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้สาวใช้ทั้งสองงงงวย
เมื่อคิดตามหลินเมิ้งหยาทัน ทั้งป๋ายซูและซูหลานต่างพากันสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าปอด
“หรือว่า…เหตุที่นางปล่อยให้ตัวเองติดเชื้อก็เพราะ….”
ป๋ายซูพูดไม่ออก ดวงตากลมโตเบิกกว้าง สีหน้าตกตะลึง
หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง จะต้องเป็นไปตามที่พวกนางคาดเดาอย่างแน่นอน
“เพื่อทำให้ข้าติดโรคจากนางอย่างไรเล่า”
สละชีพตนเพื่อดึงหลินเมิ้งหยาให้ลงสู่ปรโลกไปด้วยกัน
บ้าคลั่งสิ้นดี!
“หรืออาจพูดได้ว่าอันที่จริงเจินจูรู้อยู่แล้วว่าตัวเองติดโรค ฉะนั้นจึงพยายามไม่ทำให้หมาหน่าวติดโรคตามไปด้วย ซึ่งนั่นอาจหมายความว่านอกจากนางแล้ว คนอื่นๆ ในวังหลวงก็ไม่มีใครติดโรคจากนางด้วยเช่นกันใช่หรือไม่เพคะ?”
ในที่สุดซูหลานก็เข้าใจว่าเพราะเหตุใดพระชายาจึงไม่มีท่าทีตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย
พระชายารับสั่งถูกแล้ว แม้แต่หมาหน่าวที่อยู่ด้วยกันกับเจินจูเองก็ไม่ติดเชื้อ นั่นเท่ากับว่าเจินจูพยายามปลีกตัวออกห่างจากกลุ่มคน
“ไอหยา ข้าจำได้ว่าก่อนนางจะไป นางพยายามไอใส่นายหญิง นายหญิงได้รับเชื้อแล้วหรือไม่เจ้าคะ?”
อยู่ๆ ป๋ายซูก็ร้องออกมา
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับถลึงตาใส่นาง นับตั้งแต่วันที่เข้าวังมา นางชักจะเริ่มฉลาดน้อยลง
มุมปากกระตุกยิ้มจางๆ ก่อนจะตบบ่าป๋ายซูเบาๆ
“กว่าเจ้าจะนึกได้ข้าก็คงถูกเผาเหลือแต่กระดูกแล้ว วางใจเถิด ข้ามีภูมิคุ้มกันโรคนี้ ฉะนั้นไม่มีทางติดเชื้ออย่างแน่นอน”
ป๋ายซูและซูหลานมองทางหลินเมิ้งหยา ดวงตาของทั้งคู่ฉงนงงงวย
หลินเมิ้งหยากระแอมเบาๆ ก่อนจะหลุบตาต่ำอธิบาย
“ก็…ยาถอนพิษอย่างไรเล่า ข้าเคยกินยาถอนพิษโรคนี้มาตั้งแต่เด็ก ฉะนั้นโรคนี้จึงไม่มีผลต่อข้าเลยแม้แต่น้อย”
แย่แล้ว นางเกือบหลุดคำว่าแอนติบอดี้ขึ้นมา
อาศัยคำพูดที่คล้ายคลึงกันออกมาอธิบาย หลินเมิ้งหยาหัวเราะขมขื่น หากอาจารย์รู้ว่านางที่เป็นนักเรียนแพทย์มิอาจสรรหาคำพูดมาอธิบายได้โดยตรง คาดว่าเขาคงปวดหัวอย่างแน่นอน
“โอ้ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าตกใจแทบตาย เช่นนั้นยาที่นายหญิงให้พวกข้ากินก็คือยาถอนพิษใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
ยาที่พวกนางเพิ่งกินลงไปคือยาป๋ายเฉาหนิงเซียงหวาน มันคือยาที่ท่านอาจารย์ฝากหลงเทียนอวี้นำมาให้นาง แม้จะเป็นเม็ดเล็กๆ กลมๆ แต่สรรพคุณกลับล้ำเลิศ
อันที่จริงโรคระบาดชนิดนี้ทำเพียงส่งผลให้ร่างกายเกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรงเท่านั้น ฉะนั้นระบบเซินหนงจึงวิเคราะห์หายาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาที่สุดออกมา
บังเอิญที่ยาป๋ายเฉาหนิงเซียงหวานมีสรรพคุณเหล่านั้นพอดี
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลินเมิ้งหยาอดที่จะขอบคุณเจินจูไม่ได้ โชคดีที่นางแยกแยะคนที่รักและคนที่เกลียดออก มิเช่นนั้นป๋ายซูและซูหลาน รวมถึงพวกองค์ชายสิบเองก็คงจะติดเชื้อไปแล้ว
ทั้งที่ติดโรคระบาด แต่กลับไม่แพร่เชื้อใส่คนบริสุทธิ์ นอกจากเจินจูจะระมัดระวังตัวเองแล้ว หลินเมิ้งหยาคิดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังนางจะต้องจัดการอะไรบางอย่างด้วยอย่างแน่นอน
คนคนนี้ย่อมไม่ต้องการให้เกิดโรคระบาดในวังหลวง
แต่ทว่า…เมื่อหลายวันก่อนเจินจูยังแข็งแรงเป็นปกติ แล้วเหตุใดวันนี้จึงปรากฏอาการป่วยได้เล่า? คาดว่าต้องเป็นฝีมือของคนที่คอยหนุนหลังนางอย่างแน่นอน
หากนางอยากไขเรื่องนี้ให้กระจ่าง หากอยากรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร เกรงว่านางจะต้องไปง้างปากเจินจูเสียแล้ว
“ป๋ายซู เจ้าไปกับข้า พวกเราไปหาเจินจูกัน”
ตัดสินใจแน่วแน่ หลินเมิ้งหยาหยิบเสื้อคลุมสีม่วงขึ้นคลุมร่างกาย
ท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิท ดังนั้นเมื่อนางสวมชุดสีเข้มจึงทำให้ไม่มีใครจำนางได้ ยิ่งไปกว่านั้น หากเป็นไปตามที่นางคาดการณ์ คนที่คอยหนุนหลังเจินจูจะต้องไม่อยากทำให้คนในวังหลวงติดเชื้อ ฉะนั้นบริเวณรอบๆ เรือนของนางจึงไม่มีใครจับตามอง