เล่มที่ 11 บทที่ 325 เหตุไฟไหม้ที่แปลกประหลาด

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

ผลปรากฏว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่หลินเมิ้งหยาคาดเดา

บริเวณรอบๆ เรือนของนางไร้ซึ่งเงาของขันทีหรือนางใน

เมื่อก่อนไม่ว่าจะค่ำมืดดึกดื่นสักเพียงไหน พวกขันทีและนางในมักจะแวะเวียนสับเปลี่ยนเดินผ่านไปมาบริเวณเรือนของนาง

ดูท่าคนที่อยู่เบื้องหลังคงจะมั่นใจแล้วว่านางไม่มีทางมีชีวิตรอด

ไม่นานหลินเมิ้งหยาและป๋ายซูก็เดินมาถึงกองจัดสรรนางในของฝ่ายใน ทว่าเพียงก้าวมาถึงหน้าประตู จมูกของนางพลันได้กลิ่นไหม้

“แย่แล้ว นายหญิงดูนั่นสิเจ้าคะ!”

ป๋ายซูรีบกระโดดเข้ามายืนกำบังหลินเมิ้งหยา หลังจากบดบังร่างของนางเอาไว้จนมิดแล้ว หลินเมิ้งหยาจึงมองตามนิ้วมือของป๋ายซูซึ่งชี้ไปยังกลุ่มควันไฟที่พวยพุ่งขึ้นมาจากเรือนเล็กไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นี่

หากทว่ายามนี้ท้องฟ้ามืดมิดอับแสง จึงไร้ผู้คนสังเกตเห็น

หลินเมิ้งหยากลับรู้สึกประหลาดใจ อย่างน้อยคนที่อยู่แถวนั้นก็ควรจะมองเห็นนี่สิ แต่เพราะเหตุใดคนที่อยู่บริเวณนั้นจึงไม่ส่งเสียงเอะอะโวยวายเลยแม้แต่น้อย?

“ระวังตัวเอาไว้ เรื่องนี้ชักจะแปลกๆ เสียแล้ว”

แม้จะยังอยู่ภายใต้การคุ้มครองของป๋ายซู ทว่าหลินเมิ้งหยายื่นมือไปกระตุกแขนของนางพลางกระซิบเตือน

อาศัยความมืดแอบแฝงตัวตามเงาของกำแพง หากไม่สังเกตก็มิอาจมองเห็นพวกนางได้

กลิ่นเหม็นไหม้ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่บริเวณรอบๆ กลับยังคงเงียบกริบ

ทั้งสองสบตากัน ก่อนจะแอบอยู่ด้านหลังประตูใหญ่

สวนของฝ่ายในกว้างขวางอย่างยิ่ง ทว่าห้องหับกลับธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ เท่าที่หลินเมิ้งหยาได้เห็น มันคือห้องที่เรียงกันเป็นทางเดินยาว

ทว่าผู้อยู่อาศัยในห้องเหล่านั้นกลับเงียบกริบ

ทั้งที่เกิดไฟไหม้บริเวณทิศตะวันตกเฉียงเหนือของสวนด้านหลัง แต่ทว่าส่วนหน้ากลับเงียบกริบจนน่าขนลุก

ราวกับว่าเรือนส่วนหน้าไร้เงาสิ่งมีชีวิต

หลินเมิ้งหยาและป๋ายซูไม่กล้าเดินเข้าไป พวกนางทำเพียงยืนอยู่ด้านนอกเพื่อรอดูเหตุการณ์ ราวๆ สิบนาทีต่อมา เสียงแผดร้องพลันดังลั่น

“แย่แล้ว! ไฟไหม้! รีบมาช่วยเร็ว!”

เสียงตะโกนดังขึ้น ดูเหมือนจะเป็นเสียงของขันที

ราวกับถูกปลดสลักอย่างไรอย่างนั้น พวกขันทีและนางในต่างพากันวิ่งกรูออกมาด้านนอก

หลินเมิ้งหยาเห็นกระจะตาว่าพวกเขาวิ่งออกจากประตูอย่างพร้อมเพรียงกัน

แต่ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่น่าสงสัยยิ่งขึ้นไปอีก สิ่งนี้ทำให้นางมั่นใจในข้อสันนิษฐานของตนเอง

นั่นก็คือการที่พวกเขาล้วนสวมเสื้อผ้าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

แม้กระทั่งเส้นผมก็จัดเป็นทรงเข้าที่ไม่ยุ่งเหยิง

เท่าที่นางเข้าใจ แม้พวกขันทีและนางในจะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อทำงาน แต่อย่างน้อยตอนนี้พวกเขาก็ควรจะเพิ่งตื่นจากความฝันมิใช่หรือ

หากคืนนี้นางมิได้อยู่ที่นี่ เช่นนั้นนางก็คงจะไม่ได้เห็นภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้

คนที่วิ่งออกมานอกห้องต่างพากันหาของที่จะใช้ดับไฟ

วุ่นวายเหลือเกิน หลินเมิ้งหยาและป๋ายซูแอบเข้าไปยังสวนด้านหลัง

สัญชาตญาณบอกนางว่าเหตุการณ์ไฟไหม้ในคราวนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเจินจูอย่างแน่นอน

มิเช่นนั้นจะบังเอิญเช่นนี้ได้อย่างไร เพียงเจินจูกลับมา ฝ่ายในก็เกิดเหตุไฟไหม้

คนพวกนี้คงนัดกันเอาไว้แล้ว บางทีอาจจะรอเพียงสัญญาณจากใครบางคน

เมื่อคิดได้ดังนี้ หัวใจของหลินเมิ้งหยาพลันเย็นเฉียบ หรือคนพวกนี้คิดจะ…

สวนด้านหน้ายังคงวุ่นวาย ขณะเดียวกันสวนด้านหลังก็โชติช่วงไปด้วยเปลวเพลิง

สวนด้านหลังของฝ่ายในกว้างขวางกว่าสวนด้านหน้ามาก แต่กลับมีคนอาศัยเพียงน้อยนิด หลินเมิ้งหยากวาดสายตามอง ก่อนจะพบว่าบริเวณสวนด้านหลังส่วนใหญ่เป็นโรงเก็บของ

พวกนางในและขันทียกถังน้ำเข้าๆ ออกๆ เพื่อดับไฟ แต่เพราะเปลวเพลิงถูกสายลมพัดโหมจึงยิ่งลุกโชนมากกว่าเดิม

แปลก! แม้กองฝ่ายในจะไม่มีพวกเจ้านายอาศัยอยู่ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ควรจะมีอุปกรณ์ดับเพลิงมิใช่หรือ

นี่คือมาตรฐานของสิ่งก่อสร้างภายในวังหลวง แต่ใครจะรู้เล่าว่าตอนนี้นางจะไม่เห็นแม้แต่เงาของเครื่องไม้เครื่องมือเหล่านั้น

มองดูพวกนางในและขันทีไร้ประโยชน์เหล่านั้น พวกเขาทำราวกับว่าน้ำแก้วเดียวสามารถดับเกวียนที่กำลังลุกไหม้ทั้งคันได้

กำลังแสดงละครอยู่หรือ?

“นายหญิง พวกเราจะไปช่วยดับไฟหรือไม่เจ้าคะ?”

หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า เรื่องคืนนี้แปลกประหลาดจนเกินไป

คิ้วของนางขมวดเข้าหากันแน่น ก่อนจะหันมองทางทิศตะวันตกเฉียงเหนืออีกครั้ง

“ไป พวกเรารีบไปหาท่านอวี้เฉียงกันดีกว่า”

มองเห็นท่าทางกังวลใจของหลินเมิ้งหยา ป๋ายซูจึงไม่พูดอะไรมาก

ทั้งสองรีบวิ่งออกจากกองฝ่ายในโดยไม่ทันสังเกตว่ามีดวงตาคมกริบคู่หนึ่งกำลังจับจ้องแผ่นหลังของพวกนางอยู่

หากจำไม่ผิด เรือนของท่านอวี้เฉียงอยู่ด้านในสุดทางด้านนั้น

ลมพัดมาจากทางทิศเหนือ ฉะนั้นเปลวเพลิงจึงเริ่มลุกลามไปทางเรือนของท่านอวี้เฉียง

เหตุใดจึงบังเอิญเช่นนี้นะ? อยู่ๆ ไฟก็ไหม้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ยิ่งไปกว่านั้น พวกคนที่กำลังช่วยกันดับไฟยังมีท่าทางงุนงงไม่รู้ความ

ตอนนี้นางพอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว

บางทีอาจจะทำเพื่อประโยชน์ทางอ้อมบางอย่าง!

หลินเมิ้งหยาเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ไม่นานพวกนางก็มาถึงเรือนของอวี้เฉียง

ผลักประตูบานเก่าผุพังเข้าไป ใบไม้แห้งในสวนถูกลมพัดจนเสียดสีกันดัง ‘ซา ซา’ ส่งผลให้บรรยากาศในเรือนชวนขนหัวลุก

ทว่าตอนนี้หลินเมิ้งหยาไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย สมองของนางมีความคิดแค่ว่าจะต้องหาอวี้เฉียงให้เจออย่างเร็วที่สุด

“อวี้….”

หลินเมิ้งหยาคิดจะร้องเรียกอวี้เฉียง ทว่ามือหนึ่งกลับยื่นเข้ามาปิดปากของนางเอาไว้

หันขวับ ก่อนจะได้เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของป๋ายซูซึ่งกำลังส่ายหน้าเบาๆ

โชคดีที่บริเวณรอบๆ เป็นต้นหญ้าซึ่งสูงกว่าครึ่งเอว ดังนั้นหญิงสาวร่างเล็กทั้งสองจึงคุกเข่าลงเพื่อซ่อนตัวได้

“มีอะไร?” หลินเมิ้งหยาส่งสายตาเอ่ยถาม ป๋ายซูเป็นคนมีสัญชาตญาณว่องไว หลังจากหันไปมองรอบด้านทั้งสี่ทิศแล้ว นางจึงยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างใบหูของหลินเมิ้งหยา

“ที่นี่มียอดฝีมือจำนวนมากเจ้าค่ะ”

เป็นไปได้อย่างไร? หลินเมิ้งหยาได้กลิ่นของความไม่ชอบมาพากล ดูเหมือนเหตุการณ์ไฟไหม้ในคราวนี้จะถูกสร้างขึ้นเพื่อแผดเผาอวี้เฉียง!

เมื่อคิดได้ดังนี้ โทสะพลันแล่นพล่านขึ้นในหัวใจ

อวี้เฉียงเป็นคนเก่าคนแก่ของวังหลวง แม้จะไม่มีความสามารถเรียกลมเรียกฝนได้ แต่ถึงกระนั้นคนในกองฝ่ายในล้วนเกรงกลัวเขาทั้งสิ้น

ทว่าตอนนี้ยอดฝีมือมากมายกำลังหมายเอาชีวิตของเขา

เช่นนั้นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลจึงมีเพียงอย่างเดียว

นั่นก็คือมีคนจับได้ว่าอวี้เฉียงแอบช่วยเหลือหลินเมิ้งหยาอย่างลับๆ ฉะนั้นท่านผู้อาวุโสอวี้จึงถูกปองร้ายหมายเอาชีวิต

หลินเมิ้งหยากัดริมฝีปากแน่น นางไม่อาจทนมองคนเหล่านี้ทำงานลุล่วงได้

ทว่าตอนนี้เหตุการณ์กำลังคับขัน ยิ่งไปกว่านั้นนางยังมีเพียงป๋ายซูคนเดียว หากมองจากสีหน้าของป๋ายซูแล้ว นางรู้ได้ทันทีว่านักฆ่าเหล่านั้นล้วนมีฝีมือที่เยี่ยมยอด

หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะคิดออกวิธีหนึ่ง

กระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของป๋ายซู ทั้งสองพยักหน้าให้กัน ก่อนจะเริ่มทำตามแผนการ

ป๋ายซูอาศัยพงหญ้าในการอำพรางตัวเข้าไปทางสวนด้านหลังเรือนเพื่อสังเกตการณ์

หลินเมิ้งหยานึกถึงยาพิษชนิดหนึ่งขึ้นมาได้

สายลมหวีดหวิว หญ้าแห้งรายล้อมรอบตัว เช่นนั้นนางลองใช้ไฟบีบพวกคนเหล่านั้นออกมาดีหรือไม่

อดทนรอจนกระทั่งป๋ายซูกลับมา หลินเมิ้งหยาและนางเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังหินก้อนใหญ่ ป๋ายซูหยิบตะบันไฟพกพาของตนเองออกมา ไม่นานเปลวเพลิงขนาดย่อมก็ลุกลามขยายเป็นวงกว้าง

“แย่แล้ว! ไฟไหม้! รีบมาช่วยกันดับไฟเร็ว!”

ไม่กี่วินาทีต่อมา เงาดำสองร่างพลันปรากฏออกมาจากพงหญ้า ท่าทางของพวกเขาเสมือนคนถูกไฟลนก้น ไม่สิ พวกเขากำลังถูกไฟลนก้นอยู่จริงๆ

เปลวเพลิงขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว ไม่นานสวนแห่งนี้ก็กลายเป็นทะเลเพลิง

ชายสองคนต่างตบไฟบนร่างของตัวเอง ไฟเหล่านี้จุดติดอย่างรวดเร็ว แต่ทันทีที่ไฟไหม้หญ้าแห้งจนหมด เช่นนั้นเปลวเพลิงก็จะดับมอดลงด้วย

หลินเมิ้งหยาและป๋ายซูอาศัยจังหวะนี้ผลุบตัวเข้าไปยังสวนด้านหลังของอวี้เฉียง

กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกเหมยลอยตลบอบอวล

หลินเมิ้งหยาและป๋ายซูไม่เสียเวลามาชื่นชม เหตุเพราะเสียงการต่อสู้ดังขึ้นจากภายในห้องของอวี้เฉียง

ไฟเริ่มลุกลามไปยังเรือนของอวี้เฉียง แสงประกายจากเปลวเพลิงเผยให้เห็นใบหน้าของผู้ที่กำลังต่อสู้ห้ำหั่นกันอยู่ไม่ไกล

ชายชุดดำสวมหน้ากากสิบกว่าคนล้อมอวี้เฉียงเอาไว้ตรงกลาง

แม้ชายสองคนจะพุ่งหาอวี้เฉียงพร้อมกัน แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็หาใช่คู่ปรับของอีกฝ่าย สิ่งที่ทำให้หลินเมิ้งหยาตกใจที่สุดก็คือขันทีที่มักทำตัวไม่สะดุดตาผู้อื่นมีฝีมือในการต่อสู้ล้ำเลิศมิต่างอันใดจากจอมยุทธ์

แม้เขาจะตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของศัตรู แต่ดวงตาคมกริบคู่นั้นกลับเปล่งประกายวาววับไร้ซึ่งความหวาดกลัว

“วิทยายุทธยอดเยี่ยมเหลือเกิน ต่อให้เป็นท่านลุงเลี่ยก็คงมิอาจเอาชนะเขาได้”

เมื่อเทียบกับหลินเมิ้งหยาซึ่งมีความรู้ด้านนี้เพียงน้อยนิดแล้ว ดวงตาของป๋ายซูเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม

“เก่งมากเลยหรือ? แต่เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเขาใช้วิชาการต่อสู้แตกต่างจากพวกเจ้าเล่า?”

ป๋ายซูผินหน้าไปทางหลินเมิ้งหยา ก่อนจะเริ่มอธิบาย

หากพูดถึงยอดฝีมือแล้วล่ะก็ หลินเมิ้งหยาเห็นมาอย่างมากมาย ทั้งชิงหูและหลงเทียนอวี้ล้วนเป็นยอดฝีมือที่หาตัวจับยาก แต่อวี้เฉียงกลับใช้วิทยายุทธที่แตกต่างจากพวกเขา

“ท่านผู้อาวุโสอวี้จะต้องเคยเป็นทหารมาก่อนอย่างแน่นอน วิชาหมัดมวยที่เขาใช้หาใช่วิทยายุทธดาษดื่นทั่วไป แต่กลับเป็นวิทยายุทธที่ราชวงศ์จิ้นใช้เพื่อฝึกทหารในกองทัพ”