“เจ้าหมายความว่าอวี้เฉียงเคยเป็นทหารมาก่อนอย่างนั้นหรือ? เพราะเหตุนี้ข้าจึงมักรู้สึกว่าเขามิใช่คนธรรมดา ที่แท้เขาก็มีวรยุทธ์นี่เอง”
ตอนที่ได้เจออวี้เฉียงเป็นครั้งแรก หลินเมิ้งหยารู้สึกคุ้นหน้าเขาอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้นางนึกออกแล้ว สหายร่วมรบของท่านพ่อก็คือคนตรงหน้านางคนนี้มิใช่หรือ?
หลินเมิ้งหยาพูดไม่ออก เพราะเหตุนี้ตอนที่นางถูกขังอยู่ในวังหลวงจึงไม่ค่อยได้พบเจอท่านพ่อ อีกทั้งท่านพ่อยังไม่ไปขอเข้าเฝ้าฮองเฮาอีกด้วย
แต่ถึงกระนั้นหลินเมิ้งหยาก็ยังอดห่วงไม่ได้ว่าสาเหตุที่ผู้อาวุโสอวี้ถูกปองร้ายหมายชีวิตในวันนี้เพราะอีกฝ่ายรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างท่านพ่อและเขา
สถานการณ์กำลังคับขัน แม้อวี้เฉียงจะมีฝีมือในการต่อสู้ แต่เพราะอายุที่มากขึ้น ฉะนั้นเรี่ยวแรงจึงอ่อนลงตาม
ร่างกายและปฏิภาณไหวพริบเริ่มถดถอยลง ทว่าในสายตาของป๋ายซู พวกเขาต่อสู้กันเพียงสิบกว่านาทีเท่านั้น
หากเอาแต่มองก็คงจะมิใช่เรื่อง เท่าที่หลินเมิ้งหยาดู คนกลุ่มนี้จะต้องไม่ปล่อยอวี้เฉียงไปอย่างแน่นอน เปลวเพลิงกำลังโหมกระหน่ำ คาดว่าคนเหล่านี้คงตัดสินใจเอาไว้แล้วว่าจะต้องฆ่าอวี้เฉียงให้ตายแล้วโยนร่างของเขาลงกองเพลิงให้มอดไหม้
โหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนัก!
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังหาทางออกไม่เจอ
แต่เมื่อสายตาพลันเหลือบไปเห็นเปลวเพลิง ความคิดพลันจุดประกาย ยกมือขึ้นป้องหูของป๋ายซูก่อนจะออกคำสั่ง
หลังจากป๋ายซูมองหลินเมิ้งหยาด้วยความสงสัยแล้วจึงรีบปฏิบัติตาม
ก้มตัวลง ขยับเท้าเข้าไปใกล้ทะเลเพลิง ก่อนจะหยิบท่อนไม้ซึ่งกำลังติดไฟขึ้นมา
ชายชุดดำสิบกว่าคนกำลังประมือกับอวี้เฉียง คาดว่าพวกเขาจะต้องวางแผนมาอย่างดีแล้ว ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาล้วนถูกปิดล้อม ดังนั้นอวี้เฉียงจึงถูกพวกเขาล้อมเอาไว้ตรงกลาง
ป๋ายซูเล็งไปทางกลุ่มชายชุดดำที่ตั้งสมาธิอยู่กับการโจมตีอวี้เฉียง ท่อนไม้ที่ถืออยู่ในมือพลันถูกโยนลงไปตกบนเสื้อคลุมของชายชุดดำคนแรก
จากนั้นคนที่สอง คนที่สาม… น้ำหนักมือของป๋ายซูค่อนข้างเบา ในจังหวะที่ไม่มีคนสนใจ ชายเสื้อของพวกเขาค่อยๆ โดนไฟลามเลียอย่างช้าๆ
แต่เพราะคนเหล่านั้นกำลังง่วนอยู่กับการโจมตีอวี้เฉียง ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็น
ไม่รู้ว่าเพราะอวี้เฉียงมองเห็นการกระทำนั้นของป๋ายซูหรือไม่ มือทั้งสองข้างของเขาจึงกำหมัดแล้วปล่อยรัวเร็วราวสายฝนโหมกระหน่ำเพื่อดึงความสนใจจากพวกเขา
ป๋ายซูรีบอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครสังเกตเห็นกลับมาอยู่ข้างกายหลินเมิ้งหยา สองนายบ่าวมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตื่นเต้น
บางทีอาจเพราะเปลวเพลิงอันร้อนระอุ ดอกของต้นเหมยซึ่งอยู่บริเวณรอบๆ ต่างหุบกลีบเข้าหาลำต้น
การเคลื่อนไหวของพวกชายชุดดำยิ่งรวดเร็วมากขึ้น บางทีอาจเพราะความร้อนของเปลวเพลิง ทำให้พวกเขาไม่ทันสังเกตเห็นเสื้อผ้าที่กำลังถูกไฟเผาของพวกตน
พละกำลังของอวี้เฉียงเริ่มจะหมดลง ดังนั้นช่องโหว่ของเขาจึงปรากฏให้เห็น ขณะเดียวกัน ชายชุดดำอาศัยจังหวะนี้กระโดดเตะจนร่างของเขากระเด็นไปกระแทกกับหน้าต่างภายในห้อง
“แค่ก แค่ก”
กระอักไอเสียงดัง อวี้เฉียงเลียเลือดบริเวณมุมปาก ดวงตาคมกริบพลันเปล่งประกาย
วินาทีต่อมา ท่าทางของเขาราวกับคนอับจนหนทาง มือเอื้อมไปหยิบหม้อดินหนึ่งใบโยนใส่พวกชายชุดดำ
เห็นได้ชัดว่าหม้อใบนั้นมิอาจหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของพวกคนเหล่านั้นได้
ชายชุดดำซึ่งยืนอยู่ด้านหน้าสุดใช้ดาบในมือฟันหม้อใบนั้นจนแตกกระจาย
กลิ่นเหล้าหอมหวานพลันตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง
หลินเมิ้งหยาอดชื่นชมอวี้เฉียงไม่ได้
สมแล้วที่เป็นจิ้งจอกเฒ่า เขาสามารถฉกฉวยโอกาสทำให้ตนเองกลายเป็นผู้ชนะได้
แววตาของชายชุดดำเปี่ยมไปด้วยความหยิ่งผยองลำพองใจ
ก็แค่เหล้าเท่านั้น อีกไม่นานไอ้แก่นี่ก็จะหมดลมหายใจแล้ว
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเวลาเพียงชั่วพริบตา เสียงกรีดร้องอันแสนทรมานจะดังขึ้น
“โอ๊ย ร้อนนัก ร้อน….ร้อนมากเลย”
อวี้เฉียงหยักยิ้ม ท่าทางพ่ายแพ้เมื่อสักครู่พลันหายไป
“นี่คือเหล้าดอกเหมยที่ข้าบ่มมานานถึงห้าปี วันนี้ข้าขอมอบให้พวกเจ้าดื่มแล้วกัน!”
พวกชายชุดดำตื่นตระหนก อยู่ๆ ลูกน้องบางคนก็เกิดไฟลุกท่วมตัว
เหล้าคือเชื้อเพลิงชั้นดี!
ยิ่งไปกว่านั้น เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมถูกอุณภูมิที่สูงขึ้นทำให้แห้งเหมาะแก่การติดไฟ
เสียงร้องโหยหวนอย่างทรมานดังขึ้น เปลวไฟแผดเผาเนื้อหนังจนถึงกระดูก พวกที่ถูกเหล้าสาดใส่ลำตัวท่วมไปด้วยเปลวไฟร้อนระอุ
เสียงกรีดร้องดังลั่นเสมือนคนกำลังจะขาดใจ
ทว่าหลินเมิ้งหยาและป๋ายซูยังคงจ้องไปทางอวี้เฉียง แม้พวกนางจะสามารถกำจัดคนเหล่านั้นไปได้หลายคน แต่ถึงกระนั้นก็ยังเหลือคนอีกมาก
ถือดาบเอาไว้แน่น
หัวหน้าชายชุดดำจัดการลูกน้องตนเองเหล่านั้น
กลิ่นเนื้อไหม้คละคลุ้ง แม้หลินเมิ้งหยาจะรู้สึกอยากอาเจียน แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังจับจ้องไปที่ชายชุดดำที่เหลือ
การได้เห็นมิตรสหายตายลงต่อหน้า คาดว่าพวกเขาจะต้องรู้สึกคับแค้นใจมากอย่างแน่นอน
อวี้เฉียงที่มีโอกาสได้หอบหายใจเอาแรงพยายามรักษาท่าทางให้สงบนิ่งมากที่สุด ทว่าสายตาของเขาเหล่มองทางหลินเมิ้งหยาและป๋ายซูซึ่งกำลังซ่อนตัวอยู่
“เข้ามา ข้าขอดูหน่อยเถิดว่าพวกเจ้ามีฝีมือมากขนาดไหนกันเชียว ฮองเฮาและไท่จื่อดูจะเกลียดชังข้ามากเหลือเกิน ถึงขนาดส่งนักฆ่ามาเอาชีวิตข้าถึงที่นี่!”
อวี้เฉียงมีจิตวิญญาณที่กล้าหาญ แม้เส้นผมของเขาจะขาวโพลน แต่ถึงกระนั้นมันก็มิอาจลดทอนความแข็งแกร่งของเขาได้
หลินเมิ้งหยารู้สึกเลื่อมใสเขายิ่งนัก นางไม่มีวันปล่อยให้ผู้กล้าต้องมาจบชีวิตลงที่นี่อย่างแน่นอน
“ไม่ต้องพูดจาไร้สาระ เข้าไปพร้อมกัน!”
หลังจากถูกกำจัดออกไป ตอนนี้พวกเขาเหลือเพียงหกคน
หกต่อหนึ่ง หากดูจากปริมาณก็นับว่าสร้างแรงกดดันให้อวี้เฉียงพอสมควร
สายตาของพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต แต่อีกวินาทีต่อมากลับแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึง
ขณะที่พวกเขากำลังต้อนอวี้เฉียงอยู่นั้น ร่างชุดดำร่างหนึ่งพลันปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา
ขณะที่พวกเขากำลังตกตะลึง แสงสีเงินวาววับพลันปรากฏอยู่ในลานสายตาของพวกเขา
ขณะที่พวกเขายังตั้งตัวไม่ทัน ศีรษะของชายชุดดำคนหนึ่งพลันกระเด็นหลุดออกจากร่าง
“นังหนู ฝีมือไม่เลวเลย ข้าชื่นชมยิ่งนัก”
อวี้เฉียงเอ่ยชมเสียงดัง พวกชายชุดดำที่เหลือไม่ลังเลเลยที่จะพุ่งตัวเข้ามาพร้อมกัน ราวกับว่าผู้มาใหม่คนนี้อาจทำให้งานของพวกเขาล้มเหลวได้
หลินเมิ้งหยาที่หลบซ่อนอยู่ในพงหญ้าเพียงคนเดียวรู้สึกตื่นเต้นระคนกังวล
โชคดีที่ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งตอนนี้ป๋ายซูยังไม่เคยแสดงความสามารถของตนเองออกมา ส่วนตัวนางทำเพียงรอเวลาให้พวกชายชุดดำหมดแรง จากนั้นจึงปล่อยป๋ายซูที่นั่งไม่ติดพื้นออกไปร่วมการต่อสู้
ยิ่งไปกว่านั้น นางกำชับป๋ายซูว่าตอนที่ปรากฏตัวห้ามหยุดการเคลื่อนไหวเด็ดขาด นางจะต้องฆ่าคนที่อยู่ใกล้ที่สุด
อีกทั้งยังต้องลงมืออย่างถูกต้องแม่นยำและโหดเหี้ยม เห็นได้ชัดว่าพวกชายชุดดำมีความสามารถในการต่อสู้สูง แต่กลับไม่เก่งเรื่องลอบสังหาร ฉะนั้นตอนที่ป๋ายซูปรากฏตัว พวกเขาจึงตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
กระบี่สั้นในมือของป๋ายซูมิต่างอันใดจากเคี้ยวเล็บอันแหลมคม
ทั้งสองต่อสู้กับชายชุดดำทั้งห้าโดยไม่มีใครเป็นรองใคร
แม้จะต่อสู้ร่วมกันเป็นครั้งแรก แต่ฝีมือในการต่อสู้ของป๋ายซูดุดันและสง่างาม ส่วนการต่อสู้ของอวี้เฉียงสง่าผ่าเผยสมชายชาตรี ยิ่งทั้งสองร่วมมือกัน พวกเขาก็ยิ่งแข็งแกร่ง
ไม่นานเลือดก็พุ่งออกจากร่างของชายคนที่สองและสาม
ทว่าป๋ายซูและอวี้เฉียงได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แม้ตอนนี้จะเหลือสองต่อสอง แต่ถึงกระนั้นก็เป็นการต่อสู้อันแสนทรหด
หลินเมิ้งหยาร้อนใจยิ่งนัก แม้นางจะเป็นห่วงอวี้เฉียง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อยากให้สาวใช้ของตนเองได้รับบาดเจ็บ
อยู่ๆ ความคิดพลันเกิดประกาย หลินเมิ้งหยาบีบเสียงให้แหลมสูง ก่อนจะส่งเสียงร้องแรกแหกกระเชอดังลั่น
“ไฟไหม้! รีบมาดับไฟเร็ว!”
เสียงที่อยู่ๆ ก็ดังขึ้นทำให้ทั้งสี่ตื่นตระหนก
ทว่าชายชุดดำที่เหลืออีกสองคนสบตากัน ก่อนจะกระแทกเท้ากับพื้นเพื่อกระโดดขึ้นไปบนหลังคาเรือนของอวี้เฉียงแล้วหนีไป
เมื่อป๋ายซูและอวี้เฉียงไม่เห็นร่างของพวกเขาทั้งสองแล้ว พวกเขาสบตากัน ขณะที่คิดจะเอ่ยอะไรออกมา ร่างหนึ่งพลันปรากฏต่อหน้าพวกเขา
“ผู้อาวุโสอวี้ หาที่หลบให้พวกข้าเร็วเข้า”
เป็นไปตามคาด ไม่นานก็มีคนเข้ามาช่วยอวี้เฉียงดับไฟ
แม้จะไม่ได้สนใจว่าอวี้เฉียงจะถูกไฟคลอกตายหรือไม่ แต่ถ้าหากไม่มาดับ เกรงว่าไฟจะลุกลามยิ่งกว่าเก่า
หลินเมิ้งหยาไม่อาจเปิดเผยตัวให้ใครเห็นได้ ดังนั้นนางจึงรู้สึกร้อนใจเป็นอย่างมาก
แม้จะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ความเป็นความตายมาได้ แต่ถึงกระนั้นอวี้เฉียงก็เป็นคนมีไหวพริบคนหนึ่ง ฉะนั้นเขาจึงรีบชี้นิ้วไปทางถังใหญ่ใต้หน้าต่าง
ทันทีที่หลินเมิ้งหยาและป๋ายซูซ่อนตัวอยู่ในถัง ร่างของคนสองคนพลันปรากฏขึ้นที่หน้าประตู
เหงื่อผุดพรายบนใบหน้าของหลินเมิ้งหยาเพราะกลัวว่านักฆ่าจะย้อนกลับมาอีกครั้ง
แต่หลังจากที่ได้เห็นชัดเจนแล้ว นางจึงถอนหายใจ คนที่เข้ามาส่วนใหญ่เป็นพวกขันที ใบหน้าของพวกเขาดำเปรอะเปื้อนไปด้วยเขม่าควัน
เสื้อผ้าขาดวิ่นและกลายเป็นสีเทา
หลังจากที่พวกเขาได้เห็นคนที่ยืนอยู่ในเรือน สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นเกรงกลัว
“ท่านหัวหน้า พวกข้าน้อยคือขันทีของกองฝ่ายใน ตอนนี้เปลวเพลิงขยายเป็นวงกว้างมาจนถึงเรือนของท่าน เช่นนั้นท่านออกไปจากที่นี่กับพวกข้าน้อยก่อนเถิดขอรับ”