อวี้เฉียงทำเพียงชำเลืองมองพวกเขาเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า
“พวกเจ้าไปดับไฟเถิด คนแก่เช่นข้าไม่ตายง่ายๆ หรอก”
ขณะที่พวกขันทีคิดจะเอ่ยโน้มน้าว สายตาพลันเหลือบไปเห็นศพชายชุดดำราวเจ็ดแปดคนนอนกองอยู่บนพื้น เหล่าขันทีตัวน้อยๆ เบิกตากว้าง อ้าปากค้างด้วยอาการตื่นตะลึง
ใบหน้าขาวซีด สิ่งต้องห้ามในวังหลวงคือการเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น
“ท่านหัวหน้าอวี้ พวกเรา…”
โชคดีที่คนไม่มาก อวี้เฉียงหันหลังให้ก่อนจะเอ่ย
“คืนนี้พวกเจ้าไม่ได้มาที่เรือนของข้า”
พวกเขารู้ดีว่าควรทำเช่นไร ดังนั้นจึงรีบวิ่งหนีออกจากเรือนของอวี้เฉียงให้เร็วที่สุด
อวี้เฉียงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพิงร่างกับกำแพงและพยายามสูดอากาศหายใจ
“ท่านผู้อาวุโส พวกเราไปจากที่นี่กันเถิด”
มือเล็กๆ คู่หนึ่งยื่นเข้ามาประคองแขนของเขา
อวี้เฉียงหันไปสบตากับแววตาที่จริงใจของหลินเมิ้งหยา ก่อนจะผงกศีรษะลง
“ป๋ายซู พวกเราไปกัน ระวังด้วย”
เปลวเพลิงทางด้านหลังโหมกระหน่ำ คนทั้งสามอาศัยความมืดอำพรางตัว
ขณะที่พวกเขาออกจากเรือนเล็กไป ชายชุดดำสองสามคนกลับมาอีกครั้ง ทว่าคราวนี้พวกเขาเข้าไปในเรือนเล็กของอวี้เฉียงเพื่อนำศพของชายชุดดำออกไป
“เร็วเข้า ดับไฟเร็ว”
ทันที่ที่พวกชายชุดดำลับหายไป ทหารองครักษ์รีบพุ่งเข้าไปยังสวนดอกเหมยเพื่อดับไฟ
โชคดีที่พวกเขาพุ่งความสนใจไปที่เปลวเพลิง ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นทั้งสาม
คนทั้งสามกลับมาถึงเรือนเล็กอย่างปลอดภัย
ซูหลานเดินวนไปวนมาอยู่หน้าเรือนหลายรอบ ทันทีที่ได้เห็นเจ้านายของตน นางคิดอยากไถ่ถามเหตุการณ์ทั้งหมดให้ชัดเจน
“นี่….ท่านหัวหน้าอวี้มิใช่หรือ?”
ซูหลานมองคนที่หลินเมิ้งหยาและป๋ายซูประคองเข้ามาด้วยอาการตกตะลึง
ตอนนี้อวี้เฉียงกำหมัดแน่น ลมหายใจติดขัด สีหน้าขาวซีด
ซูหลานรีบเข้าไปพยุงเขาเข้าไปในเรือนเล็ก
“รีบไปต้มน้ำและนำผ้าสะอาดมา ท่านหัวหน้าอวี้ได้รับบาดเจ็บ”
หลินเมิ้งหยาออกคำสั่ง ขณะที่ป๋ายซูและซูหลานออกไปเตรียมของ นางจึงรีบตรวจสอบบาดแผลของอวี้เฉียง
อาการบาดเจ็บภายนอกไม่สาหัส เหตุที่อวี้เฉียงมีสภาพอ่อนแอเช่นนี้ก็เพราะการต่อสู้ที่ต่อเนื่องกินเวลานาน ดังนั้นเรี่ยวแรงของเขาจึงเหือดหายไปหมด
“วางใจเถิด ตาแก่อย่างข้าไม่ตายง่ายๆ หรอก แต่ทำไมเจ้าถึงไปปรากฏตัวที่นั่นได้?”
หลินเมิ้งหยาสบายใจขึ้น ดังนั้นจึงเล่าเรื่องที่ตนเองไปยังกองฝ่ายในให้เขาฟัง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ฮึ หากดูจากวิธีการที่คนผู้นั้นใช้ เกรงว่าป่านนี้แม่นางเจินจูคงจะมิได้อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว เท่าที่ฟังจากคำบอกเล่าของเจ้า ข้าพอรู้แล้วว่าจุดที่เกิดเพลิงไหม้คือเรือนพักฟื้นของนางในที่เจ็บป่วย ดูเหมือนแม่นางเจินจูจะจบชีวิตลงที่นั่นแล้ว”
หลินเมิ้งหยาคาดเดาเรื่องนี้เอาไว้แล้ว
โรคระบาดหาใช่เรื่องล้อเล่น ไม่ว่าจะฝังศพหรือปล่อยศพลงน้ำก็ล้วนเป็นการแพร่เชื้อโรคทั้งสิ้น
การเผาดูจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ทว่าผู้บริสุทธิ์จำนวนมากต้องมาจบชีวิตลงไปด้วย
เพียงคิดถึงผู้บริสุทธิ์มากมายในวังหลวง หัวใจของหลินเมิ้งหยาพลันเย็นเฉียบ
คนในวังใจดำอำมหิตยิ่งนัก
“จริงสิ เหตุใดท่านจึงถูกปองร้ายได้เล่า?”
หากคืนนี้หลินเมิ้งหยาไม่บังเอิญไปเจอเข้าแล้วล่ะก็ คาดว่าอวี้เฉียงคงหมดลมหายใจไปแล้ว
อวี้เฉียงครุ่นคิด ก่อนจะเหยียดยิ้มเย็นชา
“คงไม่ต้องอธิบายให้มากความ เห็นทีคงมีคนไม่อยากให้คนแก่เช่นข้ามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว”
หัวใจของหลินเมิ้งหยาบีบรัดเข้าหากัน นางมองอวี้เฉียงด้วยสายตาเชิงขอโทษ
นางทำให้เข้าต้องมาติดร่างแหด้วยเสียแล้ว
อวี้เฉียงเห็นสีหน้าของนางจึงหยักยิ้มก่อนจะเอ่ย
“พระชายาอย่าได้คิดมากเลย เรื่องนี้หาใช่ความผิดของพระองค์ไม่ อันที่จริงทั้งหมดก็เพราะข้า…ข้าแอบเข้าไปในตำหนักของฮ่องเต้กลางดึกแล้วถูกพบเห็นเข้า คนเหล่านั้นจึงคิดจะฆ่าข้า”
แอบลอบเข้าไปในตำหนักของฮ่องเต้? หลินเมิ้งหยาตื่นตระหนก อันที่จริงด้วยสถานะของอวี้เฉียงแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นมิใช่หรือ?
หากดูจากรูปการณ์แล้ว เกรงว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับท่านพ่อหรือไม่ก็หลงเทียนอวี้อย่างแน่นอน
มิเช่นนั้นอวี้เฉียงผู้รักสันโดษและมักหลีกหนีความวุ่นวายจะเข้าไปในตำหนักของฮ่องเต้กลางดึกเพื่ออะไร?
“ท่านผู้อาวุโสอวี้ ไม่สิ ตอนนี้ข้าควรเรียกท่านว่าท่านอาอวี้ หากผู้น้อยจำไม่ผิดแล้วล่ะก็ ท่านกับท่านพ่อเคยเป็นสหายร่วมรบกันใช่หรือไม่?”
คราวนี้ดวงตาของอวี้เฉียงพลันแสดงออกให้เห็นถึงอาการตกตะลึง
แต่หลังจากได้เห็นแววตามั่นใจของหลินเมิ้งหยาแล้ว เขาทำได้เพียงพยักหน้ายอมรับ
“หรือท่านพ่อจะขอร้องให้ท่านทำเรื่องนี้?”
หลินเมิ้งหยาแปลกใจยิ่งนัก สหายร่วมรบของท่านพ่อล้วนกล้าหาญองอาจ แต่เพราะเหตุใดเขาจึงกลายมาเป็นหัวหน้าขันทีในวังหลวงเช่นนี้เล่า?
“เฮ้อ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้นข้ากับพ่อของเจ้าเป็นแม่ทัพแนวหน้าภายใต้การบัญชาการของปู่เจ้า แต่ทุกสงครามย่อมมีการสูญเสีย ปีนั้นข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้บาดแผลจะสามารถรักษาให้หายได้ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ ฮ่องเต้เมตตาข้า ดังนั้นจึงรับข้าเข้ามารับใช้งานในวังหลวง”
แม้น้ำเสียงของอวี้เฉียงจะยังคงราบเรียบ แต่หลินเมิ้งหยากลับสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้า
ทว่าความคิดหนึ่งแล่นพล่านเข้ามาในสมอง
เกรงว่าสาเหตุที่ทำให้อวี้เฉียงยอมทำงานรับใช้ในวังหลวงจะต้องไม่ธรรมดา
ใยบุรุษผู้อาจหาญชาญชัยในสงครามจึงยอมผันตัวมาเป็นขันทีในวังหลวงได้เล่า? หากมิใช่เพราะจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่ คาดว่าความตายยังไม่น่ากลัวเท่า
“น้ำกับผ้าสะอาดมาแล้วเจ้าค่ะ”
ซูหลานและป๋ายซูหอบข้าวของเข้ามาขัดจังหวะ
ทั้งสองจึงจบบทสนทนา หลินเมิ้งหยาลงมือรักษาแผลให้อวี้เฉียงด้วยความระมัดระวัง
“ท่านอาจารย์ ตกลงใครเป็นผู้ทำร้ายท่านอย่างนั้นหรือ?”
แผลที่สาหัสที่สุดคือรอยถูกดาบฟันบริเวณแขนขวา
พันบาดแผลให้แน่น แม้บาดแผลจะดูน่าหวาดกลัว แต่โชคดีที่เป็นเพียงอาการบาดเจ็บภายนอก
หลินเมิ้งหยาและป๋ายซูมิได้คิดอะไรมาก ผิดกับซูหลานที่รู้สึกเจ็บปวดใจ ดวงตากลมโตเผยให้เห็นความเสียใจที่พยายามปกปิดเอาไว้
“ข้าไม่เป็นอะไร จริงสิ เจ้าได้สร้างปัญหาอะไรให้พระชายาบ้างหรือไม่?”
น้ำเสียงของอวี้เฉียงเจือไว้ซึ่งความอ่อนโยน
ซูหลานเป็นลูกศิษย์ของอวี้เฉียง ดังนั้นหลินเมิ้งหยาที่เพิ่งรู้จึงชะงักไป
ตอนแรกนางคิดว่าซูหลานเป็นเพียงลูกน้องของอวี้เฉียงเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าทั้งสองจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเช่นนี้
“ยังจะพูดอีกว่าไม่เป็นอะไร แม่นางป๋ายซูเล่าให้ข้าฟังหมดแล้ว หากมิใช่เพราะพวกนางไปถึงที่นั่นได้ทันเวลา เกรงว่า…เกรงว่าศิษย์คนนี้คงไม่ได้พบเจอท่านอาจารย์อีก”
น้ำตารินไหลออกจากดวงตาของซูหลาน
ป๋ายซูรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้ซูหลาน หลินเมิ้งหยาเข้าใจความรู้สึกของการได้เห็นคนที่ตนเองรักรอดพ้นจากความตายดี
แต่ถึงกระนั้นซูหลานก็มิได้ส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญ
บางทีนางคงเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ดี ดังนั้นนางจึงทำเพียงแอบร้องไห้เงียบๆ เท่านั้น
“ดูเจ้าเถิด เจ้าทำให้พระชายาและแม่นางป๋ายซูต้องเห็นเรื่องน่าขันเสียแล้ว เหตุใดเจ้าจึงชอบร้องห่มร้องไห้เช่นนี้นะ ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าข้าไม่เป็นอะไร หากไม่เชื่อเจ้าก็ถามชายาอวี้ดูเองเถิด”
มองดูลูกศิษย์ซึ่งกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น อวี้เฉียงรู้สึกทำตัวไม่ถูก
บางทีความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ของพวกเขาคงแนบแน่นยิ่งนัก
หลินเมิ้งหยายิ้มแล้วผงกศีรษะลง ดังนั้นซูหลานจึงวางใจ
ทว่าความรู้สึกสงสัยพลันวาดขึ้นในใจหลินเมิ้งหยา
“จากนี้ไปท่านอาอวี้จะทำเช่นไรหรือเจ้าคะ?”
หลินเมิ้งหยากังวลใจเล็กน้อย หากดูจากความโหดเหี้ยมอำมหิตของชายชุดดำแล้ว คาดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังจะต้องหมายมั่นเอาชีวิตของอวี้เฉียงให้จงได้อย่างแน่นอน
แม้ครั้งแรกจะพลาด แต่ครั้งต่อไปอาจจะไม่พลาดก็ได้ เช่นนั้นตอนนี้อวี้เฉียงจึงนับว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย
คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง
“ข้าไม่เป็นไร เจ้าคิดหรือว่าชีวิตของข้าจะตกเป็นของพวกเขาง่ายๆ? คาดว่าตอนนี้ศพของพวกชายชุดดำคงจะถูกเก็บกวาดไปจนหมดแล้ว หากพรุ่งนี้คนพวกนั้นรู้ว่าข้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องหาทางอื่นอย่างแน่นอน แต่การจะเอาชีวิตข้านั้นคงกลายเป็นงานช้างสำหรับพวกเขาเสียแล้ว ฉะนั้นนอกจากพวกเขาจะวางแผนทำให้ข้าหลงกลแล้ว พวกเขาคงไม่มีทางทำอันใดข้าได้อีก”
มองดูท่าทางมั่นใจของอวี้เฉียง แต่ถึงกระนั้นหลินเมิ้งหยาก็ยังคงรู้สึกกังวล
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดบนโลกใบนี้คือหัวใจของคน
แม้นบนโลกใบนี้จะมีพิษเป็นร้อยเป็นพัน แต่ก็ยังมิอาจเทียบได้กับใจคน อย่าว่าแต่อวี้เฉียงเลย แม้แต่นางเองก็มิอาจรับประกันได้ว่าตนจะเอาตัวรอดจากกลอุบายในวังหลวงได้
“จริงสิ ท่านอาอวี้ ท่านเล่าว่าท่านได้ลอบเข้าไปในตำหนักของฮ่องเต้ เช่นนั้นท่านรู้หรือไม่ว่าพระอาการของฮ่องเต้เป็นเช่นไร?”
อวี้เฉียงผงกศีรษะลง สีหน้าเคร่งขรึม
“ข้าได้เห็นฮ่องเต้เพียงชั่วครู่ ฮ่องเต้ยังคงบรรทมมิฟื้น ยิ่งไปกว่านั้นลมหายใจยังรวยริน แม้ข้าจะไม่เข้าใจวิชาแพทย์ แต่ข้ารู้สึกว่าพระอาการของฮ่องเต้ย่ำแย่เต็มทีแล้ว”
ตอนนี้นอกจากฮองเฮาและไท่จื่อ คนที่ยังสามารถเข้าเฝ้าฮ่องเต้ได้ก็คือหมอหลวงของสำนักหมอหลวง
แต่ไม่ว่าจะเป็นซูถงหรือชิวอวี้ พวกเขาล้วนปิดปากมิยอมเผยอาการของฮ่องเต้ให้นางฟัง
แต่หลังจากได้ยินคำบอกเล่าของอวี้เฉียง หลินเมิ้งหยารู้สึกกังวลใจยิ่งนัก
อาการประชวรร้ายแรงของฮ่องเต้จะต้องมีบางอย่างผิดปกติ แต่เพราะเหตุใดสำนักหมอหลวงและวังหลังจึงปิดปากสนิทเช่นนี้
หรือจะยังมีกลอุบายที่พวกเขาเองก็ไม่รู้?
“ท่านแน่ใจหรือ? ลมหายใจของฮ่องเต้รวยรินเสมือนชีวิตกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายกระนั้นหรือ?”
สีหน้าของหลินเมิ้งหยาพลันเคร่งขรึม อวี้เฉียงพยายามครุ่นคิด ก่อนจะผงกศีรษะลงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมไม่แพ้กัน