หัวใจของหลินเมิ้งหยาราวกับถูกหมอกควันแห่งความสงสัยปกคลุม
สมองประมวลผลหลายพันหลายหมื่นรอบ
ฮ่องเต้ประชวรหนัก หากอิงตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว ทั้งพระสนมและองค์ชาย หรือแม้กระทั่งญาติสนิทก็ควรเข้าวังเพื่ออวยพรขอให้ฮ่องเต้หายจากพระอาการประชวร
แม้พวกเขาจะไม่ได้เข้าวัง แต่ถึงกระนั้นฝ่ายในก็ควรตระเตรียมสิ่งของที่ใช้สำหรับจัดพิธีถวายพระเพลิงพระศพ
หนึ่ง เพื่อป้องกันมิให้เกิดการล่าช้า
สอง เพื่อเตรียมงานเฉลิมฉลอง
เหตุเพราะทันทีที่ฮ่องเต้สวรรคต ไท่จื่อจะต้องขึ้นครองราชย์ ฉะนั้นพวกเขาไม่มีเหตุผลต้องปิดบังเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
พวกเขาไม่คิดจะจัดเตรียมงานศพอย่างนั้นหรือ?
คาดว่าจะต้องมีเรื่องราวบางอย่างที่ไม่อาจเปิดเผยแก่ผู้คนได้อย่างแน่นอน
“แต่ข้าพบอะไรบางอย่าง”
เมื่อเห็นท่าทางเคร่งขรึมของหลินเมิ้งหยา อวี้เฉียงนึกถึงรายละเอียดเล็กๆ ขึ้นมาได้ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่น
“ฮ่องเต้มักฝึกฝนร่างกายอยู่เป็นประจำ ฉะนั้นลมหายใจควรสม่ำเสมอมั่นคง แต่คืนวันนั้นข้ากลับพบว่าฮ่องเต้หายใจรวยริน ทว่าชีพจรกลับมิได้อ่อนแรงตาม”
คำพูดของอวี้เฉียงทำให้ดวงตาของหลินเมิ้งหยาเปล่งประกาย
ผู้ป่วยโรคเรื้อรังส่วนใหญ่ภายนอกมักดูแข็งแรง แต่ภายในกลับอ่อนแอ
ยกตัวอย่างเช่น แม้คนบางคนจะมีใบหน้านวลแดง แต่อันที่จริงร่างกายอ่อนแอมาก เวลาปกติอาจมองไม่ออก แต่หากได้เดินไปไม่กี่ก้าวก็มีเหงื่อซึมเต็มหน้าแล้ว
แต่พระอาการของฮ่องเต้กลับตรงกันข้าม อาการภายนอกดูอ่อนแอ แต่อวัยวะภายในกลับไม่ถูกทำลาย
นั่นหมายความว่ามีคนจงใจทำให้ฮ่องเต้หลับใหลมิได้สติ
หากสามารถล่วงรู้ถึงเป้าหมายของคนคนนั้นได้ เช่นนั้นเรื่องราวทั้งหมดจะคลี่คลายมิใช่หรือ?
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็มีลางสังหรณ์บางอย่าง
บางทีฮ่องเต้ที่กำลังบรรทมไม่ฟื้นอยู่ในตำหนักอาจจะ ไม่สิ พระองค์จะต้องไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครใช้ตัวเองเป็นหุ่นเชิดง่ายๆ อย่างแน่นอน
“ช่างเถิด ถึงอย่างไรพรุ่งนี้ข้าก็จะได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นข้าอาจจะสังเกตเห็นความผิดปกติก็ได้ กลับกันกับท่านอาอวี้ ท่านวางแผนจะทำเช่นไรต่อไปอย่างนั้นหรือ? คนพวกนั้นหมายเอาชีวิตท่าน หากท่านยังอยู่ในวังหลวง เกรงว่าคนเหล่านั้นจะต้องไม่ยอมเลิกราง่ายๆ อย่างแน่นอน”
หลินเมิ้งหยามองอวี้เฉียงด้วยสายตาเป็นกังวล นางไม่อยากให้บุรุษผู้ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อต้าจิ้นคนนี้ต้องตายหรือถูกทรมาน
หากนางสามารถขอร้องหลงเทียนอวี้ได้ล่ะก็ บางทีอวี้เฉียงอาจจะออกจากวังหลวงได้อย่างปลอดภัย
แม้นอกวังหลวงจะไม่สบายเหมือนอย่างในวังหลวง แต่ถึงอย่างนั้นก็ปลอดภัยกว่าวังหลวงมาก
ทว่าอวี้เฉียงกลับส่ายหน้า สายตาสงบนิ่ง เขา…มีแผนการของตนเองแล้ว
“ขอบพระทัยในความปรารถนาดีของพระชายา แต่คนสกุลอวี้หาได้รู้จักคำว่าถอยหนีไม่ ในสงครามคราวนั้น ข้าได้ให้สัญญากับสหายร่วมรบเอาไว้แล้วว่าพวกเราจะตายด้วยกัน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายแล้วข้าจะกลายเป็นพวกทหารหนีทัพ หลานสาวเอ๋ย หากเจ้าปรารถนาดีต่อข้า เช่นนั้นเจ้าจงดูแลตัวเองให้ดี วังหลวงแห่งนี้ยังมิได้อยู่ในการควบคุมของคนเหล่านั้นทั้งหมดเสียทีเดียว คืนนี้ข้าเพียงแต่ถูกลอบโจมตีเท่านั้น วางใจเถิด ต่อจากนี้ไปข้าจะระมัดระวังตัวให้ดี”
หลินเมิ้งหยายังคงรู้สึกไม่สบายใจ ทว่าอวี้เฉียงกลับหัวแข็งกว่าที่นางคิดเอาไว้มาก
ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ หลินเมิ้งหยาจึงผงกศีรษะลง
ถึงอย่างไรอวี้เฉียงก็อาศัยอยู่ในวังหลวงมานานแล้ว เช่นนั้นเขาจะไม่มีเขี้ยวเล็บเชียวหรือ
“ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว หลานสาวของข้า ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ต้องการจะบอกเจ้า เจ้าต้องจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ คนในวังหลวงแห่งนี้ล้วนมีสองหน้า ก่อนที่เจ้าจะทำอะไร เจ้าต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ เหตุเพราะบ่าของเจ้าแบกสกุลหลินและอ๋องอวี้เอาไว้”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดของอวี้เฉียงมีความนัยแฝง
หลินเมิ้งหยาพยักหน้ารับคำอย่างหนักแน่น แม้อวี้เฉียงจะไม่พูด แต่นางก็รู้เรื่องนี้ดี
หันหน้าไปมองท้องฟ้าสีส้มทางทิศตะวันออก
หัวใจของคนในเรือนล้วนบีบตัวเข้าหากันแน่น
ไม่ว่าค่ำคืนที่ผ่านมาจะเกิดเรื่องเช่นใดขึ้น แต่เมื่อราตรีลับหายไปและรุ่งอรุโณทัยเข้ามาแทนที่ เช่นนั้นพวกเขาจะต้องทำราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น
“นายหญิง เมื่อคืนท่านมิได้นอนทั้งคืน แต่วันนี้กลับไปสำนักหมอหลวงแต่เช้า ท่านจะไม่เป็นอะไรหรือเจ้าคะ?”
ป๋ายซูเอ่ยถามหลินเมิ้งหยาด้วยความกังวลขณะเดินทางไปยังสำนักหมอหลวง
อ้าปากหาวเล็กน้อย ก่อนจะยกนิ้วขึ้นนวดขมับแล้วส่ายหน้า
“ไม่เป็นไร เกรงว่าคนที่ไม่ได้นอนทั้งคืนหาใช่ข้าเพียงคนเดียวไม่ จริงสิ หากถึงสำนักหมอหลวงแล้ว เจ้าห้ามพูดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนออกมาแม้แต่คำเดียว หากมีคนแอบมาสอบถาม เจ้าจงบอกว่าเมื่อคืนพวกเราหลับเป็นตายจึงไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น”
ป๋ายซูผงกศีรษะลง แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่กำชับ แต่นางก็รู้เรื่องนี้ดี
หลังจากที่เข้าวังมา แม้นางจะโง่ แต่นางก็รู้ดีว่าการหาเหาใส่หัวไม่ใช่เรื่องดี
โดยเฉพาะในสถานการณ์อ่อนไหวเช่นนี้
นางที่อยู่ข้างกายนายหญิงรู้ดีกว่าใครว่านายหญิงต้องพยายามมากขนาดไหนจึงจะเดินมาอยู่จุดนี้ได้
คนที่คอยสนับสนุนนายหญิงเองก็ต้องเสียสละมากมายเพื่อที่จะทำให้นางได้เข้าวัง
ฉะนั้นวันนี้นางจะต้องระมัดระวังตัวมากเป็นพิเศษ
เมื่อเดินมาจนสุดทาง ในที่สุดพวกนางก็มาถึงสำนักหมอหลวง
วันนี้แตกต่างจากทุกวัน เหตุเพราะเสียงจากภายในดังเอะอะจนเล็ดลอดออกมาข้างนอก เพียงหลินเมิ้งหยาเดินผ่านประตูเข้ามา นางก็ได้เห็นแพทย์ฝึกหัดถือกล่องยาวิ่งไปมาอย่างวุ่นวาย
“ขอถามหน่อยได้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ? เหตุใดพวกท่านจึงดูยุ่งวุ่นวายถึงเพียงนี้”
หลังจากได้รับสัญญาณจากหลินเมิ้งหยา ป๋ายซูจึงแสร้งทำท่าทีมิรู้เรื่องรู้ราวเข้าไปถามแพทย์ฝึกหัดคนหนึ่ง
สีหน้าของแพทย์ฝึกหัดคนนั้นแสดงออกให้เห็นว่ากำลังหมดความอดทน แต่หลังจากที่เขาได้เห็นใบหน้าของป๋ายซู รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะตอบกลับด้วยท่าทางเคารพเลื่อมใส
“เมื่อคืนเกิดเหตุไฟไหม้ที่กองฝ่ายใน เหตุเพราะเมื่อคืนลมแรง ฉะนั้นคนของวังหลวงจึงได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก นับตั้งแต่ตอนที่เกิดเรื่องจนกระทั่งตอนนี้ คนของสำนักหมอหลวงยังไม่ได้นอนเลย หากแม่นางยังมีเรื่องสงสัย เช่นนั้นได้โปรดไปถามผู้อื่นเถิด ข้ายังมีเรื่องให้ต้องไปทำ เช่นนั้นขอตัวก่อน”
ป๋ายซูไม่อาจห้ามมิให้เขาเข้าไปช่วยเหลือผู้อื่นได้ ดังนั้นจึงพยักหน้าลงแล้วปล่อยเขาไป
คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากัน ก่อนจะหันไปสบตากับป๋ายซู
ทั้งสองเดินเข้าไปในสำนักหมอหลวง ทั้งซูถงและเหอเทียนล้วนอยู่ที่นี่ ส่วนเจียงข่ายนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะเพื่อจัดแจงยาสำหรับช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ
เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อคืนทำให้มีคนได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก เพียงนางเดินผ่านประตูเข้ามา กลิ่นยาเข้มข้นพลันลอยเข้ามาเตะจมูก
คิ้วของป๋ายซูขมวดเข้าหากันอย่างทนไม่ได้ ทว่าหลินเมิ้งหยากลับทำเสมือนเป็นเรื่องปกติ
เดินผ่านผู้ที่ได้รับบาดเจ็บแล้วเข้ามายืนต่อหน้าซูถง
“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากเมื่อคืนเกิดเหตุเพลิงไหม้ ฉะนั้นกระหม่อมจึงคิดว่าพวกเราเลื่อนเวลาการตรวจชีพจรของฮ่องเต้ออกไปก่อนดีหรือไม่ แม้กระหม่อมจะไม่อยากทำเช่นนี้ แต่พระองค์ลองคำนึงถึงผู้บาดเจ็บเหล่านี้ด้วยเถิด ฮ่องเต้เป็นคนจิตใจกว้างขวาง คาดว่าหากฮ่องเต้รู้จะต้องสั่งให้คนของสำนักหมอหลวงช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านี้อย่างแน่นอน พระองค์ลองตรองดู….”
ซูถงแสดงสีหน้าลำบากใจ ทว่าหลินเมิ้งหยารู้ดีว่าจิ้งจอกเฒ่าคนนี้นำคนเจ็บมาอ้างแต่เพียงเท่านั้น
หากนางเห็นด้วย เช่นนั้นซูถงจะต้องอ้างว่านางอนุญาตให้พวกเขายกเลิกการเข้าเฝ้าฮ่องเต้อย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลานั้น หากเกิดความผิดปกติอันใดกับฮ่องเต้ขึ้นมา คาดว่าคนที่ต้องรับโทษคงเป็นนาง
แต่ถ้าหากนางยังคงดึงดันสั่งให้ทุกคนไปตรวจชีพจรของฮ่องเต้แล้วล่ะก็ คนเหล่านี้อาจจะได้รับการช่วยเหลือไม่ทันท่วงที บางทีพวกเขาอาจจะต้องจบชีวิตลง
ส่วนนางจะได้รับความผิดโทษฐานปล่อยให้คนตาย
สมแล้วที่เป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ เขาวางแผนเอาไว้เป็นอย่างดี ไม่ว่าทางใดเขาก็ได้ประโยชน์ทั้งสิ้น แต่น่าเสียดายที่คนที่เขาต้องเผชิญหน้าคือหลินเมิ้งหยา
คิ้วขมวดเข้าหากัน สายตาแสดงออกถึงความลำบากใจ
ซูถงไม่รีบร้อน เขายังคงยืนตรงหน้านางด้วยท่าทางเคารพเลื่อมใส
ในที่สุดหลินเมิ้งหยาก็เอ่ยออกมา
“ใต้เท้าซูกล่าวถูกต้องแล้ว การช่วยชีวิตคนสำคัญที่สุด แต่พระวรกายของฮ่องเต้มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับต้าจิ้น ส่วนข้าเป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง เช่นนั้นจะตัดสินใจเรื่องใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร? เช่นนั้นพวกเรารอให้พวกใต้เท้าในราชสำนักปรึกษาเรื่องนี้กันก่อนดีหรือไม่?”
ราวกับซูถงเดาทางเอาไว้ก่อนแล้วว่าหลินเมิ้งหยาจะเอ่ยเช่นนี้ เขารีบแสดงท่าทีร้อนใจ
“แต่….เฮ้อ พวกเรามิอาจละทิ้งคนบาดเจ็บสาหัสเหล่านี้ได้ ทว่าสิ่งที่พระองค์รับสั่งมาก็ถูกต้องแล้ว ร่างกายของฮ่องเต้เปรียบเสมือนมังกรล้ำค่า ถ้าหากพวกเราจะเข้าถวายการตรวจชีพจรแล้วล่ะก็ เช่นนั้นจะต้องเตรียมตัวตั้งแต่เช้า แต่ตอนนี้…ถึงอย่างไร ณ ที่แห่งนี้พระชายาก็มีตำแหน่งสูงที่สุด เช่นนั้นกระหม่อมคิดว่าพระชายาควรตัดสินใจเรื่องนี้อย่างเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ”
คำกล่าวของซูถงได้รับเสียงชื่นชมจากทุกคน
ขณะเดียวกัน เสียงสนับสนุนมากมายดังขึ้น พวกเขาต้องการให้หลินเมิ้งหยาเป็นผู้ตัดสินใจ
แค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากันแน่น
ฟันกัดริมฝีปากล่างแน่น ท่ามกลางสายตาของทุกคน ตอนนี้ชายาอวี้กำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก
“ก็ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะขอรับหน้าที่ในการตัดสินใจไว้เอง ใต้เท้าซู ในเมื่อท่านให้ข้าเป็นผู้ตัดสินใจ เช่นนั้นคำพูดของข้าจะมีผลต่อทุกคนใช่หรือไม่?”
ซูถงเห็นว่าหลินเมิ้งหยาติดกับแล้ว เขาจึงรีบพยักหน้าลงอย่างไม่ลังเล
“สำนักหมอหลวงล้วนทำตามพระประสงค์ของพระชายา พระชายาได้โปรดตัดสินพระทัยด้วยเถิด”
สายตาของทุกคนรวมกันอยู่ที่หลินเมิ้งหยา
มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงอ่อนโยน
“ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นพวกเรามาแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่ม พวกเจ้าอยู่ที่นี่รักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ ส่วนข้าจะพาหมอหลวงไปตรวจชีพจรของฮ่องเต้ ใต้เท้าซูได้โปรดวางใจ พระอาการของฮ่องเต้ยังคงที่ ข้าเพียงแต่เข้าไปถวายการตรวจชีพจรแต่เพียงเท่านั้น หากพบสิ่งใดผิดปกติ ข้าจะรีบส่งคนมารายงานทันที ท่านคิดเห็นเช่นไร?”
ซูถงผงะ เขาคาดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะเสนอวิธีนี้ขึ้นมา
ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดของนางยังทำให้เขามิอาจคัดค้าน
เหตุเพราะนอกจากจะมีหมอหลวงเข้าไปถวายการตรวจชีพจรแล้ว อันที่จริงยังมีหมอหลวงที่เป็นเวรประจำคอยเฝ้าพระอาการของฮ่องเต้อยู่ด้วย