บทที่ 595 ล้างภาพติดตา
หนิงเมิ่งเหยาครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ “พยายามสืบหาช่วงเวลาที่แน่นอนมาให้ได้”
“องค์หญิงหมายความว่าอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” หนึ่งในพวกเขาเบิกตากว้าง พร้อมกับเบะมุมปาก เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันคือสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่
“ใช่ ถ้าไม่เสี่ยงก็ไม่มีวันรู้ ในเมื่อพวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอพวกเราอยู่แล้ว พวกเราเองก็เป็นฝ่ายไปจับตัวพวกเขาได้เช่นกัน” วิธีนี้สะดวกกว่าการโจมตีตอนกลางคืน นอกจากนี้ คนเหล่านั้นยังไม่ทันคิดอีกด้วยว่าพวกเขาจะลงมือเช่นนี้
เฉียวเทียนช่างขมวดคิ้วและต้องการจะคัดค้าน แต่ก็ไม่มีความคิดอื่นที่ดีกว่านี้ เขาจึงทำได้แค่เงียบโดยมิได้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
กลุ่มคนที่อยู่ด้านข้างต่างตกตะลึงหลังจากเห็นว่าชายหนุ่มไม่ปฏิเสธ เกิดอะไรขึ้นกับนายน้อยที่พวกเขาต่างรู้จักกันดี ทำไมตอนนี้เขาคนนั้นถึงหายไป
หลังจากที่พวกเขาออกไปสำรวจ หงอิงและคนอื่นๆ ก็มาถึง อย่างไรก็ตาม เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เฒ่าไกว้ ทั้งไป๋อีและคนอื่นๆ ต่างเชื่อฟังเขาอย่างดี เพราะทุกคนต่างมองว่าชายชราผู้นี้เป็นดั่งหอยเม่นเก่าแก่ที่คอยทิ่มแทงพวกเขาเป็นครั้งคราว ทุกคนจึงไม่กล้าที่จะแข็งขืน
หงอิงเล่นผมยาวสลวยของตนเอง พร้อมกับยิ้มมุมปาก “เหตุใดจึงต้องลำบากเช่นนั้น ทำไมพวกเราไม่จับตัวคนๆ นั้นมาเลยเล่า”
“นั่นสิ ข้าลืมไปได้อย่างไร” หงอิงเชี่ยวชาญการสะกดจิต หากไม่ทันสังเกต ไม่ว่าใครก็สามารถตกอยู่ในน้ำมือของนางได้ทั้งสิ้น
“หมายเลขหนึ่ง เจ้าจัดการเรื่องนี้ พี่ไป๋อีไปกับพวกเขาด้วย” หนิงเมิ่งเหยาไตร่ตรอง ก่อนจะตัดสินใจให้พวกเขาไปด้วยกัน
“ตกลง”
ไป๋อีเป็นคนที่ทำตามคำพูด หลังจากได้รับมอบหมายภารกิจแล้ว ชายหนุ่มก็พาพวกเขาไปที่บ้านหลังนั้น
เมื่อมาถึง ไป๋อีกลับหายตัวไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่หมายเลขหนึ่งและคนอื่นๆ ยังไม่ทันจะเคลื่อนไหวอะไร
หมายเลขหนึ่งมองความว่างเปล่าข้างๆ ตัวด้วยความตกใจ หากก่อนหน้านี้ ไป๋อีไม่บอกให้พวกเขารออยู่ตรงนี้ เขาก็คงคิดว่าไป๋อีมิได้มากับพวกเขาด้วย จึงหายตัวไปกับสายลมเช่นนี้ได้
ไป๋อีเดินไปยังห้องที่อยู่ด้านในสุดโดยใช้สันชาตญาณของตนเอง ก่อนจะได้ยินเสียงจากด้านใน ชายหนุ่มยืนอยู่ด้านนอกและเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นภายในนั้น และแล้วสายตาของเขาก็เผยให้เห็นถึงความเกลียดชัง
ด้านในห้องนั้นมีเด็กน้อยสองคนที่ดูเจ็บปวดอย่างมาก มีชายคนหนึ่งกำลังทรมานร่างกายของพวกเขาอยู่ และนั่นทำให้ดวงตาของไป๋อีค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างเห็นได้ชัด
ทันใดนั้น ไป๋อีก็เผยตัว และชายผู้นั้นก็สังเกตเห็นเขาในทันทีที่ปรากฏตัวขึ้นในห้อง
“เจ้าเป็นใครกัน”
ไป๋อีไม่มีเวลามาสนใจชายผู้นี้ เขาพลิกฝ่ามือก่อนจะฟาดใส่ลำคอของอีกฝ่ายด้วยกำลังภายในจนชายผู้นั้นหมดสติลงบนเตียง
ไป๋อีมองเด็กสาวทั้งสองคนนั้นที่มีอายุประมาณ 11-12 ปี และเมื่อชายหนุ่มเห็นแววตาอันว่างเปล่า รวมถึงร่างกายที่สะบักสะบอมราวกับเป็นตุ๊กตาผ้าขี้ริ้ว เขาก็ถอนหายใจอย่างหมดทางเลือก เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าถึงจะช่วยเหลือเด็กทั้งสองคนนี้ แต่พวกเขาก็จะต้องเสียชีวิตลงอยู่ดี
สุดท้ายแล้ว ไป๋อีก็อุ้มชายอีกคนออกมาเท่านั้น โดยมิได้พาเด็กสาวทั้งสองคนออกมาด้วย
หมายเลขหนึ่งและคนอื่นๆ กำลังวางแผนที่จะบุกเข้าไป ก่อนจะเห็นว่าไป๋อีกำลังอุ้มชายคนหนึ่งออกมาพอดี พวกเขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“กลับกันเถอะ” ไป๋อีโยนร่างชายผู้นั้นลงตรงเท้าของหมายเลขหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวจากไป ทั้งนี้ หากไป๋อียังต้องอุ้มชายคนนี้ต่อ เขาก็เกรงว่าตนเองจะฆ่าอีกฝ่ายทิ้งอย่างอดไม่ได้
หมายเลขหนึ่งและคนอื่นๆ มองไป๋อีด้วยความเคารพนับถือ พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าผู้คนที่อยู่เคียงข้างองค์หญิงจะเก่งกาจถึงเพียงนี้
“ข้ายกคนๆ นี้ให้กับพวกเจ้า และข้าขอตัวไปล้างตาก่อน” หลังจากพูดจบ ไป๋อีก็เดินจากไปทันที โดยมิได้อธิบายอะไรให้หนิงเมิ่งเหยาฟัง
หญิงสาวขมวดคิ้วขณะมองเขาเดินจากไป หากพูดกันตามตรงแล้ว นางแทบไม่เคยเห็นไป๋อีมีท่าทีเช่นนี้เลย
ในความทรงจำของนาง เขามักจะทำตัวเลอะเทอะ และไม่เคยขึงขังขนาดนี้มาก่อน เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
“เกิดอะไรขึ้น” หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้วขณะมองและเอ่ยถามองครักษ์สองสามคนตรงหน้า
หมายเลขหนึ่งส่ายหน้า เพราะเขาเองก็ไม่มั่นใจนักว่าเกิดอะไรขึ้นภายในบ้านหลังนั้น
“เหยาเหยา ประเด็นสำคัญคือคนๆ นั้นถูกจับตัวมาแล้ว” เฉียวเทียนช่างเข้ามาขวางภรรยาที่กำลังจะเดินไปตามไป๋อี
ดูเหมือนว่าไป๋อีจะไม่ต้องการให้ใครไปรบกวน ดังนั้นการไปตามหาเขาตอนนี้ จึงไม่มีประโยชน์อะไร พวกเขาอาจจะต้องปล่อยให้เขาได้สงบสติอารมณ์ลงก่อน
หนิงเมิ่งเหยาผงกศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ เฉียวเทียนช่างและมองคนที่อยู่บนพื้น “พี่หงอิง”
บทที่ 596 สะกดจิต
หงอิงผงกศีรษะ ก่อนจะปลุกชายที่นอนอยู่บนพื้นให้ตื่นขึ้นมา
หลังจากเขาลืมตาขึ้น ก็ตระหนักได้ว่าตนเองอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย จึงมีอาการวิตกกังวลในทันที “พวกเจ้าเป็นใครกัน”
“เป็นคนที่ต้องการชีวิตของเจ้า” หงอิตอบอย่างเยือกเย็น
เมื่อชายคนนั้นกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ท่าทีอันเย็นชาของหงอิงก็เปลี่ยนไปในทันที ท่าทีและวาจาของนางนั้นดูอ่อนโยนจนผิดปกติ น้ำเสียงที่นางพูดจานั้นฟังดูยั่วยวนอย่างมาก
ไม่นานหลังจากนั้น ชายผู้นั้นก็มองตรงไปข้างหน้าอย่างเหม่อเลย หนิงเมิ่งเหยาที่อยู่ด้านข้างจึงถามคำถามต่างๆ เมื่อได้รับคำตอบ หญิงสาวก็ขมวดคิ้ว
ดูเหมือนว่าท่านพ่อของนางจะอยู่ในบ้านหลังนั้นจริงๆ นางยกมือขึ้นมานวดขมับของตนเอง คนพวกนั้นรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาจะมาที่นี่ และห้องศิลาที่สร้างจากหินแห่งนั้นก็เต็มไปด้วยกับดักมากมาย
แม้ว่าหนิงเมิ่งเหยาจะรู้ดีว่าการช่วยเหลือท่านพ่อในครั้งนี้จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่นางก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะยุ่งยากถึงเพียงนี้
หงอิงมองหญิงสาวที่กำลังขมวดคิ้ว “หากมีข่าวก็ขอให้เป็นข่าวดี”
“ข้าเข้าใจ เพียงแค่กำลังคิดหาวิธีที่จะเข้าไปในนั้นโดยไม่ให้มีใครสังเกตเห็น” หนิงเมิ่งเหยาพูดพลางขมวดคิ้ว ราวกับกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด
หงอิงยิ้มกว้างก่อนจะชี้ไปที่ชายที่กำลังถูกสะกดจิตคนนั้น “ไม่ใช่เรื่องยาก ให้ชายผู้นี้พาพวกเราเข้าไปสิ”
หนิงเมิ่งเหยาอึ้งขณะที่มองหงอิง และเมื่อเห็นว่านางมิได้พูดเล่น หญิงสาวจึงพิจารณาถึงความเป็นไปได้อย่างรอบคอบ
“อย่ากังวลเลย ไม่เป็นอะไรหรอก”
หลังจากนั้น หงอิงก็พาคนๆ นั้นออกไป และใช้เวลาหนึ่งวันสะกดจิตเพื่อปรับเปลี่ยนจิตใต้สำนึกของเขา
“เตรียมตัวให้พร้อม เราอาจจะต้องไปที่นั่นในไม่ช้านี้”
หนิงเมิ่งเหยาผงกศีรษะอย่างเคร่งขรึม ก่อนจะเรียกไป๋อีและคนอื่นๆ ให้มารวมตัวกัน
วันรุ่งขึ้น ชายที่ถูกสะกดจิตก็พาพวกเขาไปที่บ้านหลังนั้น
หนิงเมิ่งเหยาก้มหน้าอยู่ตลอดเวลาเพื่อแสร้งว่าตนเองนั้นกำลังรู้สึกหวาดกลัว โดยที่ดวงตาของนางนั้นมองกวาดไปทางซ้ายและขวาเพื่อสำรวจสิ่งต่างๆ รอบตัว
เฉียวเทียนช่างลูบมือของภรรยาอย่างสุขุมเพื่อไม่ให้นางเป็นกังวล ก่อนจะเข้าไปด้านในด้วยกัน
“นายท่านขอรับ ทำไมวันนี้ท่านถึงกลับมาเร็วขอรับ” ‘ก่อนหน้านี้ เขามักจะกลับมาตอนที่ฟ้ามืดแล้วมิใช่หรือ แล้วทำไมวันนี้เขาถึงเดินแบบนี้เล่า’ องครักษ์ที่เฝ้าประตูรู้สึกสงสัย
“ไร้สาระ วันนี้ข้าได้ตัวหญิงงามเช่นนี้ ก็ต้องรีบกลับอยู่แล้ว ที่นี่ไม่มีปัญหาอะไรใช่หรือไม่”
หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้วทันที เพราะไม่ชอบใจในคำพูดของพวกเขา
“นายท่าน อย่ากังวลเลยขอรับ พวกเราทำตามแผนและจะไม่มีปัญหาอย่างแน่นอนขอรับ”
“ดี จับตาดูนางไว้”
“ขอรับ”
หลังจากที่พวกเขาจากไป องครักษ์ที่เฝ้าประตูก็ถ่มน้ำลาย แววตาของเขาดูเหยียดหยาม “เขาจะภาคภูมิใจอะไรนักหนา เรื่องทั้งหมดเป็นเช่นนี้เพียงเพราะว่าเขามาเร็วกว่าพวกเราและได้งานที่ดีกว่ามิใช่หรือ แล้วเขาจะทำท่าหยิ่งผยองขนาดนั้นทำไมกัน”
“พอเถอะ วรยุทธ์ของเขานั้นแข็งแกร่งนัก เจ้าอย่าหาเรื่องใส่ตัวจะดีกว่า” หลังจากที่ได้ยินอีกฝ่ายบ่นเสียงดัง คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้น
“ข้ารู้ แต่เจ้าไม่รำคาญเขาหรืออย่างไรกัน”
คนๆ นั้นขี้คร้านจะสนใจอีกฝ่าย เขาจึงยืนนิ่งอยู่ตรงทางเข้าโดยมิได้ตอบกลับใดๆ
หลังจากที่หนิงเมิ่งเหยาและคนอื่นๆ เข้ามาด้านในแล้ว หงอิงก็เอ่ยขึ้น “พาพวกเราไปยังห้องศิลา”
ชายผู้นั้นพาพวกเขาไปยังกระท่อมหลังหนึ่งที่ดูไม่โดดเด่นอะไร ก่อนจะเปิดทางเดินให้กับพวกเขา
แต่ก่อนที่หงอิงและคนอื่นๆ จะได้เดินสำรวจมัน จู่ๆ ชายที่ถูกสะกดจิตก็ได้สติขึ้นมา ในขณะที่เขากำลังจะโจมตี เฉียวเทียนช่างก็สังหารเขาทันทีที่สังเกตเห็นความผิดปกตินั้น
หงอิงตบหน้าอกของตนเองด้วยความหวาดกลัว ชายผู้นี้ช่างเด็ดเดี่ยวเสียจริงๆ
เฮยอีมองนาง “เขาถูกฝึกฝนมาอย่างดี”
“อย่างนี้นี่เอง”
“เอาเถอะ เข้าไปด้านในกัน ต่อจากนี้ไป พวกเราจะต้องระมัดระวังตัวให้ดี” เฉียวเทียนช่างพูดขัดบทสนทนาของทั้งคู่ ก่อนจะเดินนำลงไปด้านล่าง โดยมีหนิงเมิ่งเหยาเดินตามหลังสามีไป
ทันทีที่พวกเขาเดินเข้าไปด้านในอย่างระมัดระวัง ประตูของทางเดินลับนั้นก็ปิดตัวเองลง
ทันใดนั้น บรรยากาศรอบตัวก็กลายเป็นสีดำสนิท หนิงเมิ่งเหยาก็ไม่คุ้นชินกับความมืดที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันเช่นนี้ หญิงสาวจึงหลับตาลงเพื่อปรับแสงให้กับสายตา ทำให้นางสามารถเห็นสภาพแวดล้อมรอบตัวได้มากขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์นักก็ตาม
ด้านในทางเดินลับแห่งนี้ หญิงสาวได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าและลมหายใจของพวกเขา นางแทบจะทนความรู้สึกที่กดดันเช่นนี้ไม่ไหว
“เหยาเหยา ไม่ต้องกังวล”