บทที่ 880 ต้องเคลื่อนไหวเงียบๆ

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

สามวันต่อมา เช้าวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสและปลอดโปร่ง เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งบินขึ้นเหนือท้องฟ้าของค่ายปาฏิหาริย์

ในห้องโดยสารมีคนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ โดยมีกลุ่มของพวกหลิงม่อ สมาชิกทีมปาฏิหาริย์ รวมถึงมู่เฉินที่ทำหน้าที่เป็นครูฝึก และยังมีสวี่ซูหานที่เงียบไม่พูดไม่จาด้วย นอกจากนี้สำหรับหลิงม่อ คณะเดินทางนี้ยังต้องนับรวมเสี่ยวป๋ายกับอวี๋ซือหรานที่กำลังวิ่งฝ่าดงหญ้ารกร้างอยู่เบื้องล่างนั่นด้วย…แน่นอนว่าต้องนับเฮยซือด้วย

เดิมทีหวังหลิ่นและหลันหลันโวยวายจะมาด้วยให้ได้ แต่กลับถูกเหล่าเจิ้งและเหล่าหลันลากกลับไปก่อน

เหตุผลของเหล่าเจิ้งคือพวกเขาต้องรอฟังข่าวจากทางค่ายกลาง ส่วนเหล่าหลันนั้นยัดกระดาษที่เขียนรายการของที่ต้องการใส่มือหลิงม่อ จากนั้นก็ลากหลันหลันหายตัวไปอย่างคนหวงลูกสาวทันที

ค่ายปาฏิหาริย์ไม่มีห้องทดลองที่พร้อมใช้งาน พวกเขาต้องเริ่มสร้างใหม่ตั้งแต่ต้น ดังนั้นใบรายการในมือหลิงม่อจึงยาวเหยียดกว่าปกติ…

ส่วนลูซี่ที่พาคนมานั้นพักอยู่ที่ค่ายปาฏิหาริย์ก่อนชั่วคราว ขณะเดียวกันก็เข้าไปมีส่วนร่วมกับการวางแผนและจัดการความปลอดภัยในฐานะพันธมิตร ในช่วงที่พวกหลิงม่อไม่อยู่ ความร่วมมือระหว่างกองกำลัง F กับค่ายปาฏิหาริย์ถือเป็นสิ่งรับประกันความปลอดภัยของค่ายน้องใหม่แห่งนี้

ตอนนี้ ในมือหลิงม่อมีใบรายการอยู่ทั้งหมดสองแผ่น คิ้วของเขาขมวดเป็นปมแน่น

ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็หายใจยาวๆ “ล้อกันเล่นชัดๆ…อีกอย่าง นายจะตามมาทำไม?” คู่สนทนาที่หลิงม่อพูดด้วย คือผู้ช่วยนักบินที่นั่งอยู่ในตำแหน่งข้างคนขับนั่นเอง…

“อุวะฮ่าฮ่าฮ่า อย่าเย็นชากันนักสิ ฉันก็แค่อยากอยู่กับพวกนายให้มากขึ้นเท่านั้นเอง…” ผู้ช่วยคนขับหันหน้ามา ยกหน้ากากของหมวกกันน็อคขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครารุงรัง และทำหน้าเหมือนไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด

“ค่ายปาฏิหาริย์กำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ แต่ลูกพี่ใหญ่อย่างพวกคุณสองคนกลับไม่อยู่ที่ค่าย จะไม่เกิดปัญหาอะไรหรอ?” คนถามคือจางซินเฉิง ชายคนนี้เห็นชัดว่ามีวิธีการคิดที่สุขุม น้ำเสียงแฝงแววประหลาดใจ

หัวหน้าค่ายที่ปลอมตัวเป็นนักบินเพื่อหนีออกมา…เขาเพิ่งจะเคยได้ยินได้เห็นเป็นครั้งแรก…

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไร ก็แค่หายตัวไปสิบวันครึ่งเดือนเองไม่ใช่หรอ? ไม่มีใครสังเกตเห็นหรอก มีจางอวี่อยู่ทั้งคน อีกอย่างฉันก็ทำไปเพื่อจะสอดแนมความเคลื่อนไหวของศัตรู…” อวี่เหวินซวนโบกมือไปมาอย่างไม่สนใจ

แต่ในขณะที่เขาพูดอย่างไม่สนใจ คนข้างๆ กลับรู้สึกเศร้าแทนเขา

ช่างเป็นลูกพี่ที่ไร้บทบาทและตัวตนจริงๆ…

“นายขับเครื่องบินเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่…” หลิงม่ออดถามไม่ได้

“ผู้ชายที่มีสาวงามอยู่ข้างกายอย่างนายไม่มีวันเข้าใจหรอก” อวี่เหวินซวนพูดพลางแสร้งทำเป็นถอนใจ (ขับเครื่องบิน เป็นคำแสลง หมายถึงการช่วยตัวเองปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศของผู้ชาย)

“เฮ้ย ขอโทษนักบินทั่วโลกเดี๋ยวนี้เลย…”

“เอาใบรายการมาให้ฉัน” ซย่าน่าแย่งใบรายการในมือหลิงม่อไป แล้วก็พูดขึ้นหลังจากกวาดตาอ่านหนึ่งรอบ “ไม่รู้มาก่อนเลยนะเนี่ย ว่ามนุษย์จะกินเยอะขนาดนี้”

“นี่ถือว่าน้อยแล้ว” อวี่เหวินซวนบอก “ประเด็นสำคัญคือต้องคำนึงถึงน้ำหนักที่เฮลิคอปเตอร์จะสามารถบรรจุได้ และถึงอย่างนั้น พวกเราก็ต้องไปกลับอีกหลายรอบกว่าจะขนของกลับไปหมด แต่ไม่ต้องห่วง ขอแค่หาของเจอ ฉันจะส่งเฮลิคอปเตอร์มาเพิ่ม จะได้ลดเวลาในการขนส่งให้สั้นลง”

“แต่ก่อนหน้านั้น เราควรคำนึงถึงเรื่องหนึ่งก่อนไหม? เรื่องอาหารยังไม่ต้องพูดถึง แค่ค้นหาอุปกรณ์เครื่องมือทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากแล้วนะ” เย่ไคหยิบใบรายการของเหล่าหลันไปดู พลางขมวดคิ้วพูดขึ้น “ของพวกนี้ผมไม่เคยเห็นในกองกำลัง F มาก่อน เกรงว่าแม้เป็นฟอลคอนก็ไม่น่าจะมีเยอะขนาดนี้ และดูจากสถานที่ที่ศาตราจารย์หลันทำเครื่องหมายไว้ให้ผมแล้ว…”

กู่ซวงซวงที่อยู่อีกด้านรีบกางแผนที่ออกทันที จากนั้นก็วางมันลงตรงหน้าหลิงม่ออย่างกระมิดกระเมี้ยน แต่หลิงม่อก็ยังคงทำเป็นไม่เห็นท่าทางเขินอายของเธอ…และเลือกที่จะเมินสายตาล้อเลียนของพวกลิงผอมเช่นเดียวกัน

เย่ไคชี้ไปยังจุดสีแดงหลายจุดบนแผนที่ บอกว่า “เขาบอกว่าสถานที่เหล่านี้มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจหาอุปกรณ์ที่คล้ายกันเจอ แต่ปัญหาคือที่นี่เป็นใจกลางเมือง ถึงแม้จะอยู่ขอบชานเมือง แต่ก็อยู่ห่างจากสถานที่อื่นมาก ที่แย่ที่สุดคือ…” เขาลากนิ้วไปยังจุดสีแดงสองจุด “ที่นี่ และที่นี่ อยู่ใกล้ฟอลคอนมาก”

“นั่นหมายความว่าเราอาจปะทะกับคนของฟอลคอนได้” เจ้าลิงผอมพูดด้วยสีหน้าหนักใจ จากนั้นก็พึมพำเสียงเบา “ขอร้องล่ะ ฉันล่ะไม่อยากเจอพวกนั้นเลยจริงๆ…”

“ใช่ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาคับขัน ไม่ว่าพวกเขาจะเจอพวกเรา หรือพวกเราเจอพวกเขา ก็คงไม่มีทางทักทายกันได้อย่างเป็นมิตรหรอก ยิ่งการที่เราพาลูกพี่ใหญ่สองคนออกมาพร้อมกัน ถ้าหากพวกนั้นรู้ เดาว่าเราคงถูกไล่ฆ่าจนตายไปข้าง” มู่เฉินพูดขึ้นอย่างจนใจ

“วางใจ คนที่รู้ว่าฉันมาด้วยมีแค่พวกนายเท่านั้น แล้วก็จางอวี่กับโทมัส” อวี่เหวินซวนหันมาได้จังหวะ “แล้วอีกอย่างปกติฉันมักจะเก็บตัวอยู่ในห้องติดต่อกันเป็นสิบวันไม่โผล่หน้าออกมาให้ใครเห็น ดังนั้นเป็นไปได้น้อยที่จะมีคนนอกรู้เรื่องนี้…นอกจากนี้ ฉันจะกลับไปเมื่อไหร่ก็ได้นี่นา…”

“พวกเราเดินทางอย่างเงียบๆ และเหนือความคาดหมายมาก” หลิงม่อบอก

จางซินเฉิงพยักหน้า “เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่มีใครคิดว่าพี่จะออกมาในเวลาอย่างนี้ แม้แต่พวกผมก็ยังคิดว่าพี่จะรออีกซักหน่อย นี่ถือเป็นการสับขาหลอก ซึ่งน่าจะทำให้ทางฟอลคอนไม่ทันได้เตรียมตัวรับมือ”

“ใช่แล้ว ดังนั้นเรื่องแรกที่พวกเราต้องทำ…” ซย่าน่าหยิบใบรายการอุปกรณ์เครื่องมือแผ่นนั้นขึ้น แกว่งไปแกว่งมาแล้วบอกว่า “คือจัดการเจ้าสิ่งนี้ซะ”

“สับขาหลอก…” เย่เลี่ยนพยักหน้าเหมือนเข้าใจ

ถูกต้อง ในเมื่อจะสับขาหลอกทั้งที ก็ต้องเลือกลงมือในจุดที่อันตรายที่สุดไปเลย…

แต่พอหลิงม่อหันไปดูแผนที่ สายตาของเขาก็ฉายแววครุ่นคิดโดยที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็น

โกดังแห่งนั้น ปลอดภัยจริงๆ หรอ…

หนึ่งชั่วโมงครึ่งผ่านไป ในขณะที่เฮลิคอปเตอร์ลงจอด ณ ลานกว้างแห่งหนึ่ง ทุกคนในห้องโดยสารต่างกระโดดลงมาจากตัวเครื่องอย่างรวดเร็ว

แม้แต่นักบินเองก็ลงมาด้วย เพียงแต่เขาถืออาวุธกับห่อพัสดุไว้ในมือ และไม่ได้เดินไปทางเดียวกับพวกเขา “ผมพักอยู่ที่นั่น ถึงแม้ที่นี่จะเป็นจุดลงจอดลับ แต่ก็ต้องป้องกันคนของฟอลคอนมาตรวจเจอด้วย เอาเป็นว่าก่อนที่พวกคุณจะกลับมา ผมจะเฝ้าเฮลิคอปเตอร์ลำนี้ไว้อย่างดี”

อวี่เหวินซวนหยิบกระเป๋าใบใหญ่ออกมาสองใบ บอกว่า “เพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตาพวกฟอลคอน พวกเราต้องเดินเท้าตั้งแต่ตรงนี้เป็นต้นไป หลังจากหาอุปกรณ์เจอ พวกเราต้องขนขึ้นไปบนดาดฟ้า เพื่อที่จะได้ขนขึ้นเฮลิคอปเตอร์ได้ง่ายๆ ดังนั้นก่อนที่จะไปเอาของ สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือ…รักษาความสงบไว้ให้ดีที่สุด”

“พลั่ก!”

เขาโยนกระเป๋าใบใหญ่ลงต่อหน้าทุกคน จากนั้นก็เปิดซิปดัง “ฟืดด”

หลิงม่อมองเข้าไปในกระเป๋า พลันอดด่าเขาไม่ได้ “เนี่ยนะที่บอกให้รักษาความสงบ?”

“อย่าเพิ่งโวยวายไปสิ มีเครื่องเก็บเสียงหรอกน่า” อวี่เหวินซวนหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็หยิบปืนกลออกมาหนึ่งกระบอก “เจ้านี่ ใครจะเอา?”

เจ้าลิงผอมยกมือขึ้นเป็นคนแรก…

สุดท้ายแม้แต่หลิงม่อก็ยังเลือกกริชติดมือไปด้วยหนึ่งเล่ม เทียบกับของที่เขาพกมา ของที่อวี่เหวินซวนเอามาดีกว่าหลายเท่าทีเดียว

เย่เลี่ยนนั้นหยิบกระสุนปืนไรเฟิลมาจำนวนหนึ่ง ส่วนซย่าน่ากับหลี่ย่าหลิน กลับดูไม่สนใจกับของพวกนี้เลยแม้แต่น้อย

ความจริงตั้งแต่ลงจากเครื่องบิน พวกเธอก็ถอยไปอยู่อีกทางหนึ่ง เพื่อรักษาระยะห่างกับมนุษย์กลุ่มใหญ่ทันที…

ส่วนสวี่ซูหานนั้นเดินเข้ามาเงียบๆ และหยิบมีดเล็กไปหนึ่งเล่ม จากนั้นก็ก้มหน้าพูดเสียงเบา “ฉันใช้เจ้านี่ก็พอแล้ว”

มู่เฉินกับหลิงม่อมองเธอด้วยสายตาสับสน เพียงแต่สายตาของพวกเขาทั้งสองที่มองเธอกลับมีบางสิ่งที่แตกต่างกันเล็กน้อย

สายตาของหลิงม่อแฝงไปด้วยเครื่องหมายคำถาม แต่มู่เฉินกลับเหมือนเสียดายเล็กน้อย…

“ฉันไม่ต้องใช้ก็ได้…” กู่ซวงซวงพูดเขินๆ “ฉันใช้ของพวกนี้ไม่ถนัด”

“ฉันก็ไม่เอา” เย่ไคตบที่เอวของตัวเอง แล้วบอก

กลับเป็นจางซินเฉิงที่เลือกปืนพกไปสองกระบอกอย่างตั้งใจ ส่วนเจ้าลิงผอมก็กำลังถือปืนกลมือแบบเก็บเสียงไว้อย่างตื่นเต้น

“มีเรื่องหนึ่งที่ฉันต้องชี้แจงให้ชัดเจนก่อน” อวี่เหวินซวนเองก็เลือกปืนพกมาหนึ่งกระบอก และพูดขึ้นหลังจากนำมันไปเหน็บไว้ที่เอว “ปากอาวุธที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กนั้นมีประสิทธิภาพในการสังหารซอมบี้ได้เป็นอย่างดี เพราะในสถานการณ์ที่ไม่สามารถสร้างบาดแผลถึงตายให้มันได้ วินาทีต่อมาคนที่ต้องตายก็คือพวกนาย ดังนั้นอาวุธปืนเหล่านั้นใช้เพื่อก่อกวนซอมบี้ฝูงใหญ่เป็นหลัก หรือพูดอีกอย่างคือใช้กราดยิงเพื่อลดความเร็วของพวกมันลงบ้าง ถ้าหากเป็นไปได้ ให้เล็งไปที่ตาของพวกมัน เพราะจุดนั้นถือเป็นจุดที่ค่อนข้างบอบบาง”

“สุดท้าย อย่าพยายามลองใช้ปืนยิงซอมบี้ระดับสูง นั่นไม่ได้ช่วยอะไรเลยนอกจากยั่วโมโหมัน” พูดจบ เขาก็ขยิบตาให้หลิงม่อกับหลี่ย่าหลิน “ฉันไม่ได้ได้ตำแหน่งผู้สั่งการมาเปล่าๆ นะ หากมีคำถามที่คล้ายกันนี้สามารถถามฉันได้ทุกเมื่อเลยนะ”

“เป็นผู้สั่งการแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ นั่นแหละ…”

“นายคิดว่าตำแหน่งผู้สั่งการคืออะไรกันแน่…ถ้าฉันเป็นจางอวี่ คงแย่งตำแหน่งนายไปนานแล้ว!”

แม้เผชิญหน้ากับคำพูดจาเหน็บแนมของทุกคน อวี่เหวินซวนก็ยังคงเกาผมยุ่งเหยิงแล้วหัวเราะ “อุวะฮ่าฮ่าฮ่า…จางอวี่เป็นฝ่ายรับไง”

“คำพูดของคุณฟังดูกำกวมนะ…” ซย่าน่าจับคาง แล้วพูดด้วยสีหน้าสงสัย

หลังจากเลือกอาวุธเสร็จ อวี่เหวินซวนก็หยิบอาหารแห้งออกมาอีกกองใหญ่

อาหารแคลอรี่สูงและน้ำสะอาดเหล่านี้ล้วนถูกแบ่งเป็นถุงเล็กๆ แต่ละคนพกไปคนละถุงก็เพียงพอแล้ว

“อาหารพวกนี้พอกินไปได้ประมาณห้าวัน แต่ถ้าหากจะกินเพื่อเพิ่มพละกำลังให้เต็มเปี่ยม ก็จะลดเหลือแค่พอกินได้สามวันเท่านั้น เพราะพวกเราจำเป็นต้องพกของไปน้อยที่สุดเพื่อการเดินทางที่เร็วที่สุด ดังนั้นการพกอาหารไปจำนวนมากจึงไม่สะดวก นั่นก็หมายความว่า…พวกเราต้องหาอาหารเพิ่มระหว่างทาง” มู่เฉินโยนถุงอาหารแห้งในมือขึ้นลงเพื่อกะน้ำหนัก พลางพูดขึ้น

หลิงม่อกลับอดกระแอมเบาๆ ขึ้นมาไม่ได้ ในกลุ่ม มีเขาคนเดียวที่หยิบถุงอาหารแห้งมาสี่ถึง…พอคิดอย่างนี้แล้ว การมีซอมบี้สาวสามตัวอยู่ด้วยนี่ช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ

ในตอนนั้นเอง จู่ๆ เขาก็ถูกหยิกเอวทันที ไม่นานเสียงเล็กๆ หนึ่งก็ดังมาจากข้างหลังเขาเบาๆ “ฉันจะเอาอาหารแห้งแลกก้อนเหนียวหนืดกับนาย…”

ไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้ ว่าเป็นสวี่ซูหาน…

“โอเค มีห้าถุงแล้ว” หลิงม่อยิ้มเหยเก พลางคิดในใจ

“ก็แค่หาอาหารเองไม่ใช่หรอ? ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหนเลย” เย่ไคพูดอย่างองอาจ จากนั้นน้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นหนักแน่น “รอให้ฉันจัดการซอมบี้ตรงหน้าให้เกลี้ยง แล้วค่อยไปค้นหาอาหารช้าๆ…”

“ถ้าอย่างนั้น ก็เริ่มออกเดินทางกันเถอะ” อวี่เหวินซวนฉีกยิ้ม แล้วพูดขึ้น

—————————————————————————–