ในยามนี้อวี้เหว่ยอวดดีเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนสิ่งที่พวกเขาสองนายบ่าวไม่รู้ก็คือ เรื่องเอาใจเยี่ยเม่ยตอนนี้มีคนไปทำแล้ว
……
หลังจากหนึ่งวันของเยี่ยเม่ยกำลังจะผ่านพ้นไป ขณะที่นางกำลังเตรียมตัวพักผ่อน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าบนหลังคาห้อง
ผู้มามิได้ปิดบังใดๆ ทั้งนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดจะซ่อนตัว หรือว่าผู้มามีเจตนาไม่ดี วรยุทธ์ต้อยต่ำจึงไม่อาจเก็บงำได้ แต่เยี่ยเม่ยไม่คิดว่าเป็นอย่างหลังแน่นอน
ที่นี่คือจวนแม่ทัพ คงไม่มีคนว่างที่วรยุทธ์อ่อนด้อยคิดเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่น
ในขณะคิด
ได้ยินเสียงฝีเท้าบนหลังคาแล้ว ก็มีเสียงบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นมา นั่นคือเสียงเสินเซ่อเทียน “ขึ้นมาเถอะ ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่นอน!”
เขาที่ยืนอยู่บนหลังคาสามารถรับรู้จากลมหายใจนางที่อยู่ในห้องได้ว่านางยังไม่หลับ เป็นอีกครั้งที่เยี่ยเม่ยตระหนักถึงความห่างชั้นในด้านกำลังภายในระหว่างนางกับเสินเซ่อเทียน
ถึงไม่รู้เจตนาที่เขามา แต่นางก็ยังออกไป ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไว้หน้าเสินเซ่อเทียนบ้าง นางทะยานขึ้นไปบนหลังคาห้อง จากนั้นก็เห็นคนสวมอาภรณ์สีขาวยืนอยู่บนหลังคาห้องตนเอง
ร่างเขาแผ่รัศมีเปล่งประกายคล้ายกับเทพเทวา ทำให้คนที่มองจากที่ไกลๆ ไม่กล้าเข้าใกล้
อีกอย่างบุรุษเช่นนี้ ภายหน้าจะกลายเป็นศัตรูที่เข้มแข็งของตนเอง
นี่คือฐานะของเสินเซ่อเทียนที่เยี่ยเม่ยวางไว้ในใจ ถึงกระนั้นนางยังก็เดินเข้าไปข้างกายเขา ต่อให้ต้องเป็นศัตรูแต่ก็ไม่ใช่ยามนี้ ต่อให้ต้องยกดาบฟาดฟัน ยามนี้นางก็ต้องแสร้งสร้างภาพลักษณ์ภักดีกับราชสำนักเป่ยเฉินก่อน
รอจนเดินมาอยู่ข้างเสินเซ่อเทียนแล้ว
เยี่ยเม่ยเอ่ยปากถามว่า “มาหาข้ามีธุระอะไร”
เสินเซ่อเทียนมองตะกร้าอาหารที่อยู่ด้านซ้ายของตน เขาหยิบขึ้นมาราวกับหยิบของวิเศษวางไว้เบื้องหน้าเยี่ยเม่ย น้ำเสียงทรงอำนาจค่อยๆ เอ่ยว่า “อาหารพวกนี้เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดของเป่ยเฉิน อาหารที่ข้าเคยกินแล้วยังคิดอยากกินอีกเป็นครั้งที่สองหาได้ไม่มากนัก ส่วนอาหารพวกนี้ล้วนเป็นหนึ่งในนั้น เพราะข้าจะมาพบเจ้าจึงสั่งให้ห้องครัวเล็กทำ เจ้าลองชิมดู”
อ้อ…
ทำไมนางรู้สึกว่าวิธีการของเสินเซ่อเทียนแตกต่างจากคนอื่นนัก
ตอนคนอื่นมาเกลี้ยกล่อมนาง ไม่ใช่ด้วยอารมณ์ความรู้สึกก็ใช้ผลประโยชน์ มีเพียงเสินเซ่อเทียนผู้นี้ที่มาคุยเรื่องของกินกับนาง
ยามนี้เป็นเวลาดึกดื่นค่ำคืนแล้ว เยี่ยเม่ยเองรู้สึกหิวอยู่บ้าง กินมื้อดึกสักหน่อยก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร
นางไม่เกรงใจเสินเซ่อเทียน รับอาหารมากินทันที
นางไม่ถามด้วยซ้ำว่าเป็นอะไร เห็นอะไรก็กินอันนั้น
คำพูดของเสินเซ่อเทียนไม่ผิดเลย อาหารทุกจานเมื่อเข้าปากแล้วให้ความรู้สึกดีมาก รสชาติอร่อย แทบนับว่าเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดมื้อหนึ่งหลังจากเยี่ยเม่ยมาอยู่ในยุคสมัยนี้ อาหารในยุคปัจจุบันไม่เลิศรสเท่ากับอาหารจากครัวเล็กของเขา
ระหว่างนางกินไป เสินเซ่อเทียนเบือนหน้ามองนาง น้ำเสียงทรงอำนาจยังคงแฝงไปด้วยความน่าเชื่อถือ “อร่อยใช่ไหม”
“อืม!”
นี่คือความจริง อาหารอร่อยมากจริงๆ เยี่ยเม่ยไม่คิดปิดบังเขา
เสินเซ่อเทียนพยักหน้า ทำท่าว่าข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องมีสายตาที่ดีพอ หลังจากนั้นเขามองเยี่ยเม่ย เอ่ยว่า “หากเจ้าแต่งงานกับข้า ทุกวันก็ได้กินของอร่อยๆ นานาชนิด ข้าจะเสาะหาของอร่อยทั่วหล้ามาเพื่อเอาใจเจ้า!”
“จากนั้นข้าก็จะกลายเป็นเจ้าอ้วนแล้ว?” เยี่ยเม่ยถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“แค่ก…” เสินเซ่อเทียนถูกคำพูดของเยี่ยเม่ยทำให้สำลัก เขาคิดไม่ถึงเลยว่า สุดท้ายเยี่ยเม่ยจะโพล่งคำพูดประโยคนี้ออกมา
แต่ก็ไม่ผิด กินอย่างนี้ต่อไปก็คงอ้วนเอาได้ง่ายๆ
เพียงแต่…
เสินเซ่อเทียนมองนาง เอ่ยปากว่า “ไม่ต้องกังวล เจ้าก็เห็นว่าข้ากินไปไม่น้อย ไม่อ้วนเลยสักนิด บนร่างก็ไม่มีก้อนเนื้อส่วนเกินเลย อีกทั้งยังมีกล้ามสมส่วนแข็งแรง คนฝึกยุทธ์ ความจริงแล้วอ้วนยากมาก อีกอย่าง…ต่อให้เจ้าอ้วน ข้าก็ยังชอบเหมือนเดิม!”
“ทำไมถึงชอบข้า” เยี่ยเม่ยมองเขาด้วยความแปลกใจ นางไม่รู้จริงๆ ว่าเสินเซ่อเทียนชอบนางที่ตรงไหน
เสินเซ่อเทียนมองนาง ผ่านไปสักครู่ค่อยยิ้มตอบ “ข้าชอบเจ้าจริงๆ ก็คือตอนนั้นที่ข้าบอกกับเจ้าว่าบางทีหลังจากนี้เจ้าอาจเสียใจที่ทำของกินให้ข้า แล้วเจ้าคิดจะสังหารข้า”
“เจ้าชอบสตรีที่เป็นดังอสรพิษ?” เยี่ยเม่ยถามอย่างไม่เร่งร้อน
การตัดสินใจสังหารคนอย่างตรงไปตรงมาก ไม่ปล่อยให้เล็ดลอดไปได้เพียงคิดฆ่าคนเท่านั้น เสินเซ่อเทียนกลับถูกใจ เขามีรสนิยมแบบไหนกันแน่
เยี่ยเม่ยโพล่งออกมา
เสินเซ่อเทียนหัวเราะ จ้องนาง “ข้าชอบสตรีที่ตัดสินใจเด็ดขาด แบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจน”
“งั้นก็ดีเลย!”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า ไม่ต่างอะไรกับถ้อยคำของนางนัก เพียงแค่การใช้คำพูดของเสินเซ่อเทียนน่าฟังกว่าน่าอยู่บ้างก็เท่านั้นเอง
ระหว่างคนสองคนสนทนา เยี่ยเม่ยกินอยู่ฝ่ายเดียว นางมองเห็นตะเกียบอีกคู่ด้านข้าง ถามเขาว่า “ท่านไม่กินหรือ”
เสินเซ่อเทียนฟังแล้วรู้สึกประทับใจนัก
รีบหยิบตะเกียบกินข้าวพร้อมเยี่ยเม่ย ทั้งยังยิ้มมองนาง “เจ้าก็ชอบข้า ใช่ไหม”
เยี่ยเม่ยสะอึกไปเล็กน้อย
มองเสินเซ่อเทียน ด้วยความฉงน “ไฉนจวินซ่างถึงเอ่ยเช่นนี้”
ทำไมเขาถึงมีข้อสรุปเช่นนี้กันนะ แม้แต่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังไม่กล้าสรุปเช่นนี้เลย เสินเซ่อเทียนก็ดูไม่คล้ายพวกหน้าไม่อายนี่นา!
เสินเซ่อเทียนมองนาง เอ่ยอย่างจริงจัง “เจ้ายินยอมแบ่งปันอาหารอร่อยเช่นนี้เกับข้า ย่อมพอให้เห็นถึงความรู้สึกที่เจ้ามีต่อข้าแล้ว”
“อ้อ!” เยี่ยเม่ยเข้าใจแล้ว ขานรับคำเดียว นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรเอ่ยอีก
ในโลกนี้มีสถานการณ์อย่างหนึ่งเรียกว่าหมดปัญญาสื่อสารด้วย นั่นก็คือยามที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน
เห็นได้ชัดว่าความสนใจที่มีค่าสำหรับเสินเซ่อเทียนนั่นคือการกินสำคัญที่สุด ดังนั้นแนวคิดของเขา นางยิ่งไม่อาจวิเคราะห์ได้ทั้งไม่อาจตามทัน
เมื่อฟังคำว่า “อ้อ” ของเยี่ยเม่ย
เสินเซ่อเทียนมองนาง เสียงทรงอำนาจนั้นถามว่า “ทำไม เจ้าไม่ได้ชื่นชอบอาหารรสเลิศเช่นเดียวกันกับข้าหรือ”
ความจริงเยี่ยเม่ยอยากบอกเหลือเกินว่า ด้วยนิสัยอย่างท่าน ในโลกนี้คงมีไม่กี่คนที่ฝักใฝ่ในของอร่อยเช่นท่านอีกแล้ว
นางไม่ตอบ
เสินเซ่อเทียนก็เข้าใจแล้ว เยี่ยเม่ยไม่เหมือนกับเขา นางไม่ได้ชอบของอร่อยขนาดนั้น เขาขมวดคิ้วเอ่ยปากว่า “เยี่ยเม่ย หากเจ้าแต่งกับข้า ภายหน้าเจ้าจะได้กินของอร่อยจากทั่วสารทิศของเป่ยเฉิน บางทีอาหารพวกนี้ยังไม่ถูกปากเจ้ามากนัก ภายหน้าข้าต้องเฟ้นหาสุดยอดอาหารที่เจ้าชอบกินให้ได้!”
เสินเซ่อเทียนรับปากด้วยความจริงจังเป็นอย่างยิ่ง
ในความคิดของเขา ในโลกนี้ไม่มีใครทนต่อการยั่วยวนของอาหารรสเลิศได้ หากปฏิเสธได้ อย่างนั้นก็เท่ากับว่าอาหารจานนั้นยังไม่อร่อยพอ บางทีเยี่ยเม่ยอาจต้องการของกินที่อร่อยกว่านี้!”