ตอนที่ 23 ทำอะไรไว้ก็ต้องยอมรับในผลกรรมที่ตามมา

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

บทที่ 23 ทำอะไรไว้ก็ต้องยอมรับในผลกรรมที่ตามมา

“เลวร้ายมากเสียขนาดต้องทุบตีกันเลยหรือ!?”

ฮวงชุนหยวนรีบเข้าไปหมายช่วยพยุงน้องสาวของตนให้ลุกขึ้น ทว่ากลับถูกตาเฒ่ายกไม้เท้าขึ้นมาขว้างเอาไว้ “หากเจ้าคิดที่จะให้ความช่วยเหลือแก่นาง ข้าจะให้นางหย่ากับลูกชายของข้า!”

“นี่มัน…” ฮวงชุนหยวนมองน้องสาวของตนที่นอนอยู่บนพื้นด้วยสายตาหดหู่ แผ่นหลังของนางยังเต็มไปด้วยบาดแผลและคราบเลือดแห้งเกรอะกรัง เสียงของชาวบ้านที่มุงดูอยู่พากันพูดถึงเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างออกรส

“ไหนท่านลองบอกข้ามาเถิดว่ามันเกิดอันใดขึ้น เหตุใดจึงมาทุบตีน้องสาวข้าเช่นนี้!”

“ก็นางขโมยอาหารของบ้านข้าไป!” เสียงของพ่อเฒ่าซูดังขึ้นมาพร้อมกับฟาดไม้เท้าของตนเข้าที่กลางหลังของฮวงชุ่นเจินอย่างรุนแรง

“แค่ขโมยอาหารไปเล็กน้อยก็ไม่ถึงกลับต้องฆ่าต้องแกงกันเลยหรือเปล่า?”

“ท่านก็ใจเย็นก่อนแล้วค่อยสั่งสอนนางอีกครั้ง เพียงไม่กี่วันทุกอย่างก็จะดีขึ้น”

“…”

แท้จริงแล้วหากฮวงชุ่นเจินเพียงแค่ขโมยอาหารไปเล็กน้อยนางคงไม่โดนด่าทอทั้งยังโดนทุบตีถึงขนาดนี้ ทว่านี่นางกลับขโมยมันไปทั้งหมด! อาหารที่นางขโมยมาซ่อนอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในห้องนอนของนางเอง รวมถึงที่ซ่อนด้านหลังบ้านด้วย ช่างน่าอายเสียจริง ๆ

แม้พ่อเฒ่าซูจะใช้ไม้เท้าทุบตีฮวงชุ่นเจินจนเลือดอาบหลังขนาดไหน ความโกรธของเขาก็ยังไม่จางหาย เขาจึงชี้หลักฐานที่บ่งบอกว่าฮวงชุ่นเจินเป็นขโมยให้ชาวบ้านได้เห็น ทั้งยังพาชาวบ้านไปดูหลักฐานในห้องของฮวงชุ่นเจินอีกด้วย เมื่อชาวบ้านได้เห็นหลักฐานก็ไม่มีผู้ใดเห็นใจหรือสงสารฮวงชุ่นเจินอีกต่อไป

ลูกสะใภ้เช่นนี้ พวกเขาควรทำอย่างไรกับนางดี?

หากนางขโมยมันไปเพียงเล็กน้อยพ่อเฒ่าซูคงทำเพียงดุด่าตำหนิฮวงชุ่นเจินเพียงเล็กน้อยเช่นกัน ทว่าในครั้งนี้กลับไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ความผิดครั้งนี้ของนางคือการขโมยอาหารของบ้านตระกูลซูไปทั้งหมด ความผิดครั้งนี้มันใหญ่หลวงเกินไป!

ในขณะที่ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปากในเรื่องของบทลงโทษ ฮวงชุ่นเจินที่ยังพอมีสติอยู่เล็กน้อยก็โต้ตอบมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “ข้าไม่ได้เป็นคนขโมยมันไปจริง ๆ ข้าไม่ได้เป็นคนขี้ขโมย จู่ ๆ ของพวกนั้นก็มาอยู่ในห้องของข้าเอง!”

แม้ฮวงชุ่นเจินจะปฏิเสธ แต่หลักฐานที่มีมันรัดกุมนางเสียแน่นหนา ดังนั้นจะให้ทุกคนเชื่อได้อย่างไรกัน?

ตอนนี้มีเพียงแค่ผู้เป็นพี่ชายของนางเท่านั้นที่เชื่อคำพูดของนาง “น้องสาวของข้าก็บอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่านางไม่ได้เป็นคนทำ! พวกเจ้าพูดจาไม่เข้าเรื่องอีกแล้ว! น้องสาวของข้าไม่ได้ต้องการได้อาหารพวกนั้นมาครอบครองเสียด้วยซ้ำ!!”

เมื่อฮวงชุนหยวนหันไปเห็นสภาพที่น่าเวทนาของน้องสาว เขาจึงร้องไห้โอดครวญอย่างรวดร้าว “โถ…น้องผู้น่าสงสารของพี่ เจ้าช่างมีช่วงชีวิตที่ขมขื่นเสียจริง… หากเป็นเช่นนี้แล้วเจ้าไปกับพี่เถิด มาใช้ชีวิตที่สุขสบายและดีกว่านี้กัน”

สิ้นเสียงโอดครวญของฮวงชุนหยวน ชายชราที่ยังคงอยู่ในโทสะอยู่ก็หันมาพูดใส่ทั้งสอง “งั้นดี! ไปใช้ชีวิตของเจ้าให้มีความสุขเสีย! ครอบครัวของเราคงเลี้ยงเจ้ามาไม่ดีเองถึงทำให้เจ้ากลายเป็นคนขี้ขโมยเช่นนี้ และนับจากวันนี้เป็นต้นไป ตระกูลของข้าจะไม่มีลูกสะใภ้อย่างฮวงชุ่นเจินอีกต่อไป!! หากลูกชายของข้ากลับมา ข้าจะให้เขาส่งจดหมายหย่าไปให้ก็แล้วกันนะ…”

“เช่นนั้นก็ย่อมได้!” ฮวงชุนหยวนตอบรับแทนน้องสาวของเขา

ฮวงอี๋ฮวนที่เพิ่งมาถึงได้ยินคำกล่าวของชายชราและคำตอบที่มั่นใจของผู้เป็นพ่อ ความรู้สึกบางอย่างก็พลันแล่นเข้ามาในหัว นางไม่อยากให้ผู้เป็นอากลับมาอยู่ที่บ้านเดียวกันกับนางเลยสักนิด “ไม่! ไม่! ข้าไม่เห็นด้วย!!”

“ยังไงข้าก็ไม่เห็นด้วย!” เด็กสาวกล่าวย้ำเมื่อเห็นว่าทุก ๆ คนกำลังดูตกใจกับคำพูดของนาง

“ถึงเจ้าจะไม่เห็นด้วยมันก็ไม่มีประโยชน์อันใดหรอก! ตั้งแต่นางอยากกลับบ้านนางก็ไม่ใช่คนของตระกูลซูอีกต่อไปแล้ว! เรื่องหย่าไม่ต้องห่วงข้าให้ลูกชายของข้าหย่าแน่นอน” พ่อเฒ่าซูที่กำลังโกรธจัดพูดพร้อมมองไปที่ฮวงชุ่นเจินด้วยสายตารังเกียจ

“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ข้าหมายความว่า…” ฮวงอี๋ฮวนพยายามหาข้ออ้างที่ดีเพื่อตอบกลับพ่อเฒ่าซู “ข้าแค่ไม่เห็นด้วยที่จะให้อาของข้ากลับมาอยู่ที่บ้านด้วยก็เท่านั้นเอง!”

แม้ว่าการหย่าร้างของท่านอาของนางจะเป็นเรื่องน่าเจ็บปวด แต่อย่างไรก็ตามนางทำใจให้ฮวงชุ่นเจินกลับมาอยู่ที่บ้านไม่ได้จริง ๆ ก็ดูขนาดตัวของน้าสิ! ทั้งอ้วนท้วม ทั้งกินจุ แน่นอนว่านางจะต้องแย่งอาหารที่บ้านของฮวงอี๋ฮวนเป็นจำนวนมากแน่!!

“อี๋ฮวนเจ้าพูดจาไร้สาระอันใดของเจ้า! อาของเจ้าก็คือน้องสาวของข้านะ!! เจ้ามีเหตุผลอะไรถึงไม่อยากให้นางมาอยู่ที่บ้านของเรา!?” ฮวงชุนหยวนถามพร้อมเข้าไปกระชากผ้าคลุมหน้าของฮวงอี๋ฮวนออก ก่อนจะตบหน้าลูกสาวเตือนสติไปทีหนึ่ง ซึ่งทำให้ใบหน้าของฮวงอี๋ฮวนที่เดิมทีก็บวมอยู่แล้วตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นอีก รอยแดงบนหน้าเด่นชัดจนผู้คนรอบข้างพากันหัวเราะเยาะ

ท่านพ่อไม่เคยตบข้าสักครั้งเลย!

มันเป็นเพราะฮวงชุ่นเจินแท้ ๆ เลย!

ฮวงอี๋ฮวนรีบใช้มือปิดบังใบหน้าหลังจากได้ยินชาวบ้านที่มุงดูเหตุการณ์เริ่มซุบซิบกันถึงใบหน้าของนาง ความเสียใจและความผิดหวังถาโถมเข้ามาจนฮวงอี๋ฮวนไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป

“ฮึก” นางร้องไห้ออกมา “ท่านพ่อ ก็ข้าบอกว่า! ข้าไม่อยากให้ท่านอากลับไปอยู่บ้านของเราไง หากนางกลับมาแล้วจะ…จะ…”

ฮวงชุนหยวนฉุกคิดและนึกถึงเหตุผลสำคัญบางอย่างขึ้นมาได้ “หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เจ้าจะให้อาของเจ้าไปอยู่ที่ใดกัน!”

ฮวงชุนหยวนไม่ได้สนใจหรือใส่ใจกับเหตุผลที่ลูกสาวของเขาคิดเท่าใดนัก “น้องสาวของข้ามีชีวิตที่หดหู่และโดนทำร้ายมามากแล้วจากบ้านหลังนี้ ข้าควรพานางกลับบ้าน ไม่เช่นนั้นแล้วนางคงจะโดนทุบตีจนตายเอาเข้าสักวัน”

เมื่อฮวงชุนหยวนพูดจบ เขาก็เดินเข้าไปหาฮวงชุ่นเจินและพยายามจะแบกน้องสาวขึ้นมาจากพื้น เขานั่งลงและทำท่าเหมือนจะให้น้องสาวปีนหลังขึ้นมา ทว่าสักพักสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในพลันใด ด้วยต่อให้จะออกแรงเท่าใดก็ดูเหมือนฮวงชุ่นเจินจะไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย!

เขาต้องหาวิธีพานางกลับไปให้ได้

ชาวบ้านที่กำลังมุงดูอยู่แทบจะหลุดขำออกมาพร้อม ๆ กันเมื่อเห็นชายวัยกลางคนกำลังหาทางแบกหญิงอ้วนราวกับหมูขึ้นหลังของเขา

“เจ้าคิดว่าเจ้าจะแบกนางไปคนเดียวไหวงั้นเหรอ? ขนาดข้ายังต้องเรียกคนมาสองถึงสามคนมาเพื่อจับนางเลย! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!” พ่อเฒ่าซูไม่วายที่จะหลุดหัวเราะให้กับภาพตรงหน้า ชายชราใช้ไม้เท้าเคาะพื้นอย่างแรงพลางเอ่ยว่า “หากเจ้ายังหาวิธีพาน้องสาวของเจ้ากลับไปไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นแล้วเรามาดูกันไหมว่าเจ้าจะชดเชยในสิ่งที่ฮวงชุ่นเจินได้ทำลงไปกับครอบครัวเราได้อย่างไร”

“โอ๊ย…” ฮวงชุนหยวนที่พยายามแบกฮวงชุ่นเจินขึ้นหลังแต่ไม่สำเร็จ ส่งผลให้เขาละความพยายามที่จะแบกน้องสาว และทิ้งหล่อนไว้ตรงนั้นก่อนที่จะหันมาตอบคำถามของชายชรา “แล้ว…พวกท่านต้องการเท่าไรล่ะ?”

“10 ตำลึงเงิน” พ่อเฒ่าซูพูดด้วยใบหน้าขึงขังพร้อมกับจ้องไปที่ฮวงชุ่นเจินด้วยสายตารังเกียจ “ความผิดที่นางได้ทำไปมันมากมายเกินกว่า 10 ตำลึงเงินด้วยซ้ำไป!”

แท้จริงแล้วที่ฮวงชุ่นเจินแต่งงานเข้าตระกูลซูไปนั่นเท่ากับว่านางเป็นคนของตระกูลซูแล้ว นางไม่ควรถูกเรียกเงินชดเชยจากพวกเขามากถึงเพียงนี้! คนตระกูลนี้นี่มันเห็นแก่ตัวจริง ๆ ไม่ใช่ว่าตระกูลซูจะต้องเป็นคนแบกความรับผิดชอบของฮวงชุ่นเจินไว้เองหรอกเหรอ?

ฮวงอี๋ฮวนเหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อนางเห็นฮวงชุนหยวนจ้องมองนางกลับมาด้วยสายตาตำหนิติเตียน จึงทำให้นางกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ กระทั่งน้ำตาพรั่งพรูออกมาอย่างน่าสงสาร

เมื่อได้ยินคำว่า 10 ตำลึงเงิน ฮวงชุนหยวนถึงกับหน้าเสีย

แม้ว่าครอบครัวของเขาจะเคยคุยโวไว้ว่ามีเงินมากกว่า 100 ตำลึง แต่ที่จริงแล้วพวกเขามีอยู่เพียงแค่ไม่เกิน 10 ตำลึงเงินเท่านั้น! ถ้าหากพวกเขามอบมันให้กับตระกูลซู พวกเขาจะไม่มีอะไรเหลือเก็บเหลือไว้ใช้เลย นั่นมันถูกต้องแล้วงั้นหรือ?

สีหน้าย่ำแย่ของฮวงชุนหยวนนั้นถึงกับแย่ลงไปอีก เขาตัดสินใจหันกลับไปลากฮวงชุ่นเจินถูลู่ถูกังไปกับพื้น โดยที่ไม่สนใจพ่อเฒ่าซูที่ยืนอยู่ตรงนั้น ก่อนจะหยิบเหรียญมาสองสามเหรียญเพื่อใช้เรียกเกวียนวัว แล้วจึงลากฮวงชุ่นเจินขึ้นเกวียนวัวไปอย่างทุลักทุเล เขาผลักน้องสาวขึ้นไปอย่างรุนแรง ซึ่งทำให้ฮวงชุ่นเจินที่มีสติอยู่กึ่งหนึ่งร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

จากนั้นฮวงชุนหยวนก็กระโดดขึ้นเกวียนวัวอย่างไม่รีรอ รวมถึงฮวงอี๋ฮวนด้วย นางจ้องไปยังอาสาวของตัวเองด้วยความโกรธเคือง และรู้สึกเศร้าเสียใจอย่างมากที่จะต้องอยู่กับนังหมูนี่ต่อไปหลังจากนี้

ทางด้านซูหวานหว่าน

ขณะนี้พระอาทิตย์ขึ้นมาได้สักพักหนึ่งเท่านั้น ทว่าก็นับว่าเป็นเวลาที่สายแล้วสำหรับครอบครัวของเด็กสาว เพราะปกติพวกเขาต้องตื่นมาทำงานในเวลาเช่นนี้เสมอ

ซูหวานหว่านที่ตื่นก่อนเป็นคนแรกก็เหลือบเห็นเงาดำ ๆ ที่เคลื่อนผ่านไปทางหน้าต่าง และมีเสียงร้องจี๊ด ๆ ดังลอดออกมาจากมุมกำแพง นางตัดสินใจคลายอ้อมกอดจากแม่และน้องสาวก่อนจะยันตัวลุกขึ้น จากนั้นนางจึงเดินลงจากเตียงไปหาหนูตัวนั้น

แม่เจิ้นรับรู้ได้ถึงความเคลื่อนไหวของลูกสาว จึงเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย “นั่นเจ้าจะไปไหนน่ะ”

“ข้าว่าข้าจะออกไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อยน่ะท่านแม่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก นอนต่อเถอะ” พูดจบเด็กสาวก็รีบผละตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

เงาดำ ๆ นั้นตามซูหวานหว่านออกไปด้วยเช่นกัน เมื่อเดินมาถึงที่ลับตาคนเด็กสาวจึงหยุดเดิน เงาดำจึงหยุดอยู่ข้างเท้าของนาง

อันที่จริงซูหวานหว่านเพียงแค่อยากจะสั่งสอนฮวงชุ่นเจินให้รู้ซึ้งกับสิ่งที่เคยทำกับตนเพียงเท่านั้น ทว่านางไม่มีเจตนาที่จะให้เกิดปัญหาใหญ่หลวงขึ้นถึงขั้นนี้!

อย่างไรเสียซูหวานหว่านยังรู้สึกว่าไม่มีทางที่ฮวงชุ่นเจินจะยอมเซ็นใบหย่า และการที่ฮวงชุนหยวนพาน้องสาวของตนกลับบ้านก็คงเพราะอารมณ์โมโหที่มีในตอนนั้น ซึ่งฮวงชุ่นเจินอาจจะโดนเขาไล่ออกจากบ้านในขณะที่อยู่บ้านเขาไม่ถึง 10 วันแน่ ๆ

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพัก ซูหวานหว่านก็หยิบเมล็ดแตงโมแห้งออกมากำหนึ่งและโยนให้กับหนู จากนั้นก็เดินออกมาจากตรงนั้นทันที นางรู้ว่าแม่เฒ่าเจี๋ยและพ่อเฒ่าซูคงหัวเสียกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

ณ เวลาเดียวกัน

พ่อเฒ่าซูปลุกแม่เฒ่าเจี๋ยขึ้นมาและเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ฟังอย่างละเอียด นั่นทำให้ภรรยาของเขาโกรธจัดอีกครั้ง “ฮวงชุ่นเจิน นังสารเลว! มันออกไปก็ดีแล้ว อย่าได้เสนอหน้ากลับมาที่นี่อีกแล้วกัน! หากมันกลับมาข้าจะฆ่ามันให้ตาย”

ทั้งสองคนลุกออกจากเตียงและเถียงกันจนเดินไปถึงห้องของฮวงชุ่นเจิน และเมื่อมองไปยังพื้นที่มีเศษธัญพืชและข้าวหกเลอะเทอะเต็มไปหมดก็พาลเกิดความสงสัยขึ้นว่า พวกเขาต้องจัดการดีกับของพวกนี้ยังไงดี…