ตอนที่ 24 เสียงอึกทึกครึกโครม

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

บทที่ 24 เสียงอึกทึกครึกโครม

ทั้งพ่อเฒ่าซูและแม่เฒ่าเจี๋ยต่างตัดสินใจว่าจะย้ายอาหารทั้งหมดภายในห้องของฮวงชุ่นเจินไปไว้ที่ยุ้งฉางดังเดิม ทว่าแค่พวกเขาคิดก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาแล้ว อีกทั้งในตอนนี้ในบ้านของพวกเขายังไม่มีใครให้เอ่ยสั่งได้อีก เมื่อทั้งสองหันมามองหน้ากันก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้จึงรีบตรงไปยังทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านในทันที

ปึง! ปึง! ปึง!

แม่เฒ่าเจี๋ยทุบประตูเสียงดังจนเจ็บมือ หนำซ้ำยังใช้เท้าอ้วน ๆ ของนางถีบไปที่ประตูจนเกิดเสียงดังโครมคราม ด้วยความที่นางออกแรงเยอะรวมกับขาที่มีน้ำหนักมาก จึงทำให้ประตูบานนั้นพังทะลุ ขาข้างที่เตะประตูจมไปกับรูกว้างและถูกตำด้วยเสี้ยนหนาม หญิงชราที่พบกับความเจ็บปวดจึงร้องโวยวายออกมาเสียงดังราวกับหมูโดนเชือด

“กรี๊ดด ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย!!” แม่เฒ่าเจี๋ยตะโกนสุดเสียง

พ่อเฒ่าซูเห็นภรรยาร้องโวยวายอย่างทรมานจึงออกแรงดึงนางออกมาอย่างรวดเร็ว ชายชราถกชายกางเกงของแม่เฒ่าเจี๋ยขึ้นก็พบว่ามีเสี้ยนจำนวนมากทิ่มอยู่ที่ขาของนาง

เสียงโวยวายของแม่เฒ่าเจี๋ยทำให้แม่เฒ่าเจียงตกใจและรีบวิ่งออกมาดูว่าเกิดอันใดขึ้น เมื่อหญิงชราเปิดประตู และพบว่าเป็นแม่เฒ่าเจี๋ยกำลังนั่งโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ข้าง ๆ กันนั้นมีพ่อเฒ่าซูยืนอยู่ด้วย สีหน้าของแม่เฒ่าเจียงพลันเปลี่ยนไปและปิดประตูใส่หน้าทั้งสองทันที

แม่เฒ่าเจี๋ยที่เห็นแม่เฒ่าเจียงปฏิบัติกับนางเช่นนั้นก็โวยวายออกมาด้วยความไม่พอใจ “นังแก่!! เจ้าไม่มีมารยาทหรืออย่างไรถึงกล้าปิดประตูใส่หน้าข้า ประตูของเจ้ามันทำให้ข้าบาดเจ็บนะ! เร็วเข้า รีบมาชดใช้ข้าซะ!”

เสียงบ่นน่ารำคาญของแม่เฒ่าเจี๋ยทำให้แม่เฒ่าเจียงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาและลุกขึ้นมาเปิดประตูอีกครั้ง พร้อมกับจ้องมองไปยังแม่เฒ่าเจี๋ยเขม็ง “ไม่ใช่ว่าเจ้าพยายามจะพังประตูแล้วโง่พลาดทำตัวเองบาดเจ็บเองหรอกหรือ?”

แม่เฒ่าเจียงที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านฮวงเจี่ยแห่งนี้มาหลายสิบปีจึงเคยได้ยินเรื่องสกปรกต่าง ๆ ของแม่เฒ่าเจี๋ยมาไม่น้อย แม้กระทั่งเรื่องที่นางแต่งงานเข้ามาอย่างสกปรก ซึ่งเรื่องเหล่านั้นทำให้แม่เฒ่าเจียงมีท่าทางเช่นนี้กับแม่เฒ่าเจี๋ย ทว่านั่นไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด

เหตุผลที่สำคัญที่สุดคือแม่เฒ่าเจี๋ยเป็นผู้ที่ทำให้แม่เฒ่าเจียงถือพรหมจรรย์มาจนถึงทุกวันนี้!

ใช่แล้ว… ทั้งสองคนรู้จักกันมาก่อน รู้จักดีเสียด้วย!!

ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วน พ่อเฒ่าซูจึงกล่าวขึ้นเพื่อทำลายความอึดอัดนี้ “ไอ้ลูกชายต้าเฉียงออกมาได้แล้ว ข้ามีอะไรจะคุยกับเจ้า” ชายชราเอ่ยเรียกซูต้าเฉียงด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้น ไม่เหมือนครั้งก่อนที่มาหา

ซูต้าเฉียงไม่อยากจะเดินออกไปพบพ่อเฒ่าซูตามคำเรียกเสียเท่าไร ทว่าอย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องออกจากบ้านทางประตูเพื่อจะไปทำงาน ดังนั้นจึงได้แต่เดินผ่านประตูเพื่อออกไปพบหน้าพ่อของตนอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ท่านพ่อ มีธุระอะไรกับข้างั้นหรือ?”

แม่เฒ่าเจี๋ยที่นึกขึ้นได้ว่าที่จริงแล้วพวกเขาจะมาทำอะไรที่บ้านหลังนี้จึงกล่าวว่า “ต้าเฉียง ช่วยกลับบ้านไปขนข้าวที่บ้านให้ข้าที ตอนนี้ที่บ้านของเราไม่มีข้าวเหลือเลย”

ซูต้าเฉียงได้ยินดังนั้นก็เกิดความลังเลในใจอยู่ชั่วขณะ เวลานี้เขาต้องออกไปทำงาน การไปขนข้าวให้กับพ่อแม่ต้องใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ ๆ ซึ่งมันคงจะเป็นการไม่ดีนักถ้าหากถูกหักเงินเพราะไปถึงช้ากว่ากำหนด

ขณะที่ต้าเฉียงกำลังคิดหาวิธีที่จะปฏิเสธพ่อและแม่ของเขาอยู่นั้น เสียงหวาน ๆ ของเด็กสาวคนหนึ่งก็ดังแว่วมาแต่ไกล และไม่ใช่ใครที่ไหน คือซูหวานหว่านนั่นเอง! “อ๊ะ…ท่านย่า! ท่านลืมไปแล้วหรือว่าตอนที่พ่อของข้าไปขอข้าวจากท่านในตอนนั้น ท่านพูดกับเขาว่าอย่างไร? ไม่ใช่ว่าท่านพูดว่าที่บ้านไม่มีอะไรเหลือให้เขากินแล้วหรอกหรือ แล้ว… ข้าวพวกนั้นมันมาจากที่ใดกัน?” เด็กสาวพูดเสียงใสตอกกลับไป

“จะพูดจาไรสาระอันใด! ข้ากำลังพูดกับพ่อของเจ้าอยู่ เจ้าไม่ต้องสอด!” แม่เฒ่าเจี๋ยเปลี่ยนน้ำเสียงในทันทีที่ได้ยินเสียงของซูหวานหว่าน ทว่าก็ยังไม่กล้าทำร้ายนางเฉกเช่นคราวก่อน เนื่องจากทุกครั้งนางจะโดนซูหวานหว่านสั่งสอนกลับมาตลอด

ซูต้าเฉียงที่ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้พลันส่ายหัวปฏิเสธ และตอบกลับพ่อของตนอย่างใจเย็น “ท่านพ่อ หากต่อไปนี้เกิดเรื่องอะไรที่ขึ้นบ้าน พวกท่านจัดการกันเองเถอะ หรือไม่ก็ให้พี่สะใภ้มาจัดการจะดีกว่า”

สิ่งที่ซูต้าเฉียงได้กล่าวออกไปนั้น ชัดเจนว่าเขาไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับฮวงชุ่นเจินเลยแม้แต่น้อย

แม่เฒ่าเจี๋ยได้ยินลูกชายพูดจาเช่นนั้นก็กระทืบเท้าด้วยความโกรธ ทว่าจำต้องโต้ตอบลูกชายด้วยน้ำเสียงที่พยายามใจเย็น สวนทางกับใบหน้าของนางที่เต็มไปด้วยความฉุนเฉียว “ตอนนี้พี่สะใภ้ของเจ้าไม่อยู่บ้าน พี่ใหญ่ของเจ้าก็ไม่อยู่ มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยได้ ช่วยข้าหน่อยไม่ได้หรือไง?”

แม่เฒ่าเจี๋ยยังคงเอ่ยต่อ โดยไม่เปิดโอกาสให้ต้าเฉียงปฏิเสธ “แล้วก็…เจ้าอย่าลืมให้ภรรยาของเจ้ามาทำอาหารให้พวกข้าด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วพ่อกับแม่ของเจ้าจะไม่มีอะไรกินในวันนี้”

ซูหวานหว่านที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ซูต้าเฉียงมองสองสามีภรรยาด้วยความรังเกียจ นางเกรงว่าถ้าหากแม่ของตนทำอาหารให้พวกนั้นกินจริง ๆ ครอบครัวของนางก็จะไม่มีอะไรกินในวันนี้น่ะสิ!

ทว่า…

ซูต้าเฉียงคิดย้อนไปตอนที่ผู้เป็นมารดาลงมือฟาดแม่เจิ้นอย่างเต็มแรงเมื่อวาน เขาก็กัดฟันและพูดต่อว่า “ท่านพ่อท่านแม่ก็มีสุขภาพและร่างกายที่แข็งแรง หากพวกท่านต้องการอะไร เหตุใดพวกท่านไม่ทำเองเสียล่ะ? ภรรยาของข้าตอนนี้ต้องการพักผ่อนอย่างมากเนื่องจากอาการบาดเจ็บ ร่างกายของนางยังไม่หายดี อย่าให้ภรรยาของข้าต้องลำบากอีกเลย”

“เจ้าจะเอาอย่างนี้ใช่ไหม? เจ้าจะไม่สนใจไยดีพวกข้าแล้วใช่ไหม?!” แม่เฒ่าเจี๋ยเก็บอาการไม่อยู่ หญิงชราระเบิดอารมณ์โมโห นางยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดหางตาของตัวเองถึงแม้ว่าจะไม่มีน้ำตาให้เช็ดก็ตาม จากนั้นนางก็ตีลงไปบนขาตัวเองที่เต็มไปด้วยเศษเสี้ยน และหลังจากนั้นไม่นานก็มีน้ำตาไหลออกมา

ซูหวานหว่านมองแม่เฒ่าเจี๋ยอย่างเอือมระอา นางมองกลับไปยังพ่อของตัวเองด้วยความรู้สึกเดียวกัน นี่พ่อของนางใจอ่อนและสงสารให้กับลูกไม้ตื้น ๆ ของนางจริง ๆ หรือ?

“กะ…ก็ได้ ๆ ข้าจะไปยกข้าวให้ท่านแม่ เพราะฉะนั้น…อย่าได้ร้องไห้ไปเลยนะ” ในขณะที่พูดก็เข้าไปพยุงแม่ตนก่อนจะพากันกลับไปยังบ้านของคนชราทั้งสอง

ตอนนี้ข้าวภายในห้องของฮวงชุ่นเจินคงถูกย้ายออกไปหมดแล้ว อยากจะรู้เสียจริง ๆ ว่าผู้เฒ่าสองคนนั้นจะทำหน้าอย่างไรหากกลับไปแล้วไม่เจออะไรเลยแม้แต่ข้าวเม็ดเดียว!

เพียงแค่คิดซูหวานหว่านก็รู้สึกสนุกขึ้นมาเสียแล้วสิ จึงเอ่ยออกมาว่า

“ถ้าหากว่าท่านพ่อไป งั้นข้าจะไปด้วย”

“หืม…นังเด็กนี่ปากดีเสียจริง ไป ๆ หากจะไปก็ไปเอากับข้าวทั้งหมดของพวกเจ้ามาด้วย! เพราะบ้านของพวกข้าไม่มีอะไรกินเลย”

แม่เฒ่าเจี๋ยพาลใส่ซูหวานหว่าน ทว่าซูต้าเฉียงกล่าวตัดบทและเอ่ยห้ามไว้ก่อน “ท่านแม่ รีบไปได้แล้ว วันนี้ข้าค่อนข้างยุ่งมันอาจจะทำให้ข้าทำงานล่าช้าเอาได้ อย่ามัวช้าอยู่เลย!”

เมื่อได้ยินลูกชายตนเองพูดมาอย่างนั้นก็รู้สึกไม่พอใจ “อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นลูกชายของข้า และมันก็เป็นเรื่องปกติที่เจ้าจะต้องทำงานให้ข้า น่าแปลกที่เจ้ากล้าพูดกับข้าเช่นนั้น ไม่ว่าข้าจะเดินช้าแค่ไหน เจ้าก็ไม่มีสิทธิมาสั่งข้า!” เมื่อพูดจบประโยค นางก็นั่งลงบนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ข้างทาง กอดอกเชิดหน้าอย่างทะนงตนคิดว่าลูกชายจะมาขอร้องอ้อนวอนให้นางลุกขึ้นและเดินไปด้วยกันดี ๆ

“ท่านแม่ ข้าบอกว่าข้ารีบ… ไปกันได้แล้ว!”

“ชิ!” แม่เฒ่าเจี๋ยสะบัดหน้าหนี

พ่อเฒ่าซูในตอนนี้ก็นั่งลงตามแม่เฒ่าเจี๋ยด้วยอีกคน

เวลานี้ซูต้าเฉียงต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว หากไม่รีบก็เขาต้องสายแน่ ๆ!

ซูต้าเฉียงมองไปทางพ่อกับแม่ของตนด้วยสายตาอ้อนวอน หวังว่าพวกเขาจะยอมลุกขึ้นมาและเดินไปกับเขา แต่นอกจากพวกเขาจะไม่สนใจแล้ว ยังไม่ได้แสดงท่าทีอันใดออกมาเลย เมื่อจนปัญญาจริง ๆ จึงหันไปหาผู้เป็นลูกสาวเพื่อขอความช่วยเหลือ

เดิมทีแล้วซูหวานหว่านอยากจะไปดูสถานการณ์สนุก ๆ ด้วยตนเอง ทว่าติดตรงที่คนชราสองคนทำตัวไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่ ทำให้นางขี้เกียจและเริ่มไม่อยากจะไปเสียแล้ว การนั่งรอฟังพวกหนูกลับมาเล่าข่าวให้ฟัง อาจจะดูเป็นเรื่องดีกว่าเสียอีก

“ท่านพ่อ ข้าว่าท่านไปทำงานที่หมู่บ้านหามาให้เสียก่อนเถอะ มันเป็นเรื่องสำคัญกว่า ดังนั้นท่านไปทำงานเถอะ เรื่องที่ท่านปู่ท่านย่าขอร้อง วันหลังค่อยไปทำทีหลังก็ได้” พูดจบสองสามีภรรยาก็เกิดอาการไม่พอใจขึ้นมาทันทีจนแสดงออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจน

“ท่านแม่! งั้นข้าจะถามท่านอีกรอบ พวกท่านต้องการความช่วยเหลือจากข้าหรือไม่ หากต้องการพวกท่านโปรดรีบหน่อยเถิด เพราะว่าในตอนนี้ข้ารีบมาก ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ” ซูต้าเฉียงถามย้ำอีกครั้ง

ทั้งสองสามีภรรยาเฒ่าได้แต่มองหน้ากัน และยังคงทำตัวเหมือนเดิม นั่นทำให้ซูต้าเฉียงเป็นกังวลขึ้นไปอีก หากเป็นเช่นนี้จะเป็นปัญหาใหญ่แก่เขาหากไปสายตั้งแต่วันแรก ซึ่งนั่นทำให้เขาลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจวิ่งจากไปด้วยความเร็ว

สองสามีภรรยาเฒ่าที่เห็นเช่นนั้นต่างตกใจกับการกระทำของซูต้าเฉียง ไม่คิดเลยว่าลูกชายของพวกเขาจะกล้าทำเช่นนี้!

ซูต้าเฉียงไม่คิดที่จะช่วยพวกเขาเลยด้วยซ้ำ! นี่มันจะมากเกินไปแล้ว!

“ไอ้ลูกทรพี!! อย่าคิดว่าแยกครอบครัวกันแล้วจะทำตัวเช่นนี้ได้นะ! เจ้าจะไม่สนใจเลยหรือว่าพวกเราจะอยู่กันอย่างไร!” พ่อเฒ่าซูฉุนเฉียวลุกขึ้นและทำท่าว่าจะไปคว้าตัวซูต้าเฉียงไว้ ทว่าซูหวานหว่านก็วิ่งมาดึงชายเสื้อของชายชราไว้เสียก่อน “ท่านปู่…พ่อของข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเขายุ่งอยู่? นั่นเป็นงานของหมู่บ้านเชียวนะ หากว่าเขาทำมันได้ไม่ดีแล้วล่ะก็ เขาจะทำให้ท่านหัวหน้าหมู่บ้านผิดหวังได้!”

“แล้วเขาไม่กลัวหรืออย่างไรว่าจะทำให้พวกเราผิดหวัง!” ใบหน้าของพ่อเฒ่าซูดูไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่ซูหวานหว่านพูดแม้แต่น้อย

“เช่นนั้นแล้วเขาไม่กลัวทำให้เราผิดหวังงั้นหรือ?”

คนที่มีจิตใจเช่นนี้อย่างพวกเขากลัวอะไรเช่นนี้ด้วยหรือ เดิมทีพ่อของนางก็ใจแข็งพอแล้วที่ตัดสินใจแยกทางออกมา ซึ่งสิ่งที่สองคนนี้ได้ทำมันเกินคำว่าทดแทนบุญคุณตอบแทนความกตัญญูแล้ว

“ท่านปู่ยังต้องการที่จะขนข้าวอีกหรือไม่? หากว่าไม่ ข้าว่าพวกท่านกลับไปเสียดีกว่า” ซูหวานหว่านกล่าวเสียงแข็งและเย็นชาใส่ทั้งสองอย่างไม่ไยดี หากว่านางไม่อยากจะดูความสนุกที่จะเกิดขึ้นแล้วล่ะก็ นางคงไม่มานั่งเสียเวลาอยู่ตรงนี้เพื่อดูการกระทำแย่ ๆ ของคนแก่ทั้งสองนี่หรอก!

ทั้งสองมองหน้ากันก่อนตัดสินใจลุกขึ้นด้วยความโกรธ ตอนนี้ซูต้าเฉียงไปทำงานของเขาแล้ว และซูหวานหว่านก็ช่วยอะไรไม่ได้

ถ้าเช่นนั้นแล้ว…ทั้งสองคนต้องขนข้าวกันเองอย่างงั้นหรือ?