ตอนที่ 25 ไม่มีอะไรเหลือให้กินแล้ว

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

บทที่ 25 ไม่มีอะไรเหลือให้กินแล้ว!

“ขนสิ! เหตุใดถึงไม่ขนเล่า!”

คนชราทั้งสองคนลุกขึ้นยืนและเดินกลับบ้านตระกูลซูอย่างเลี่ยงไม่ได้

เมื่อเดินไปได้สักพักความรู้สึกเจ็บปวดก็แล่นขึ้นมาที่ฝ่าเท้าของแม่เฒ่าเจี๋ยเนื่องจากถูกเสี้ยนตำ ซึ่งท่าทางเช่นนั้นทำซูหวานหว่านที่เดินตามหลังพวกเขาถึงกับขำออกมาเบา ๆ

เมื่อสองสามีภรรยาเดินมาถึงบ้านตระกูลซูแล้ว ทั้งคู่ก็บอกให้เด็กสาวจัดการภายในห้องของฮวงชุ่นเจินเป็นอันดับแรก จากนั้นพวกเขาก็หยุดที่สวนหลังบ้านเพื่อพักเหนื่อยเล็กน้อย ทั้งสองนั่งลงบนม้านั่งใต้ต้นไม้แล้วหลับตาลงเพราะต้องการพักผ่อน

ซูหวานหว่านที่เพิ่งได้รับคำสั่งจากทั้งสองได้แต่สงสัยว่า จะให้ตนจัดการสิ่งของภายในห้องฮวงชุ่นเจินเองงั้นหรือ? ซึ่งในตอนนี้เมื่อมองเข้าไปยังสวนหลังบ้าน สองสามีภรรยาก็ยังไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาเลย ทั้งยังนั่งพิงม้านั่งอย่างสบายใจอยู่เช่นเดิม เด็กสาวที่ตามมาดูเรื่องสนุกถึงกับเกิดอาการเซ็ง นางเขี่ยปลายจมูกตนเองอย่างใช้ความคิด พลันใดนั้นก็เห็นแม่เฒ่าเจี๋ยที่ลุกขึ้นและบ่นพึมพำกับตัวเอง “ครอบครัวของเขายากจน หากนังเด็กซูหวานหว่านขโมยอาหารไปอีก นั่นคงจะแย่มากกว่าเดิม!”

แน่นอนว่าคำพูดเหล่านั้นได้ยินไปถึงหูของซูหวานหว่านที่อยู่บริเวณนั้น เด็กสาวโมโหขึ้นมา… ผนวกกับอากาศที่กำลังร้อนระอุ นางเลยยิ่งโมโหมากขึ้นไปอีก! จึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “มันก็จริงที่บ้านของข้าจนมาก ที่บ้านข้าตอนนี้ขาดแคลนอาหารมาก ๆ หากพวกท่านไม่จับตามองข้าดี ๆ ล่ะก็ อาหารบ้านท่านอาจจะหายไปจนหมดก็ได้นะ!” พูดจบก็ยิ้มยียวน

สิ้นคำพูดของซูหวานหว่าน คนชราทั้งสองก็คิดได้ว่าพวกเขาไม่ควรไว้ใจและห้ามปล่อยนางให้คลาดสายตา

สองสามีภรรยาเฒ่าเดินนำหน้าซูหวานหว่านเข้าไปยังห้องของฮวงชุ่นเจิน แม่เฒ่าเจี๋ยที่ถึงก่อนผลักประตูเข้าไปอย่างขี้เกียจพร้อมกับไม่ลืมที่จะหันไปออกคำสั่งใส่ซูหวานหว่าน “เร็วเข้า ไปขนข้าวพวกนั้นไปไว้ที่เดิมและอย่าคิดว่าจะขโมยของของข้า หากข้าเห็นเจ้าขโมยมันไปแม้แต่เม็ดเดียวแล้วล่ะก็… เจ้าโดนดีแน่!”

“รับทราบแล้วท่านย่า!” ซูหวานหว่านแสร้งทำเป็นหวาดกลัวและเชื่อฟังคำพูดของแม่เฒ่าเจี๋ยเป็นอย่างดี เด็กสาวมองเข้าไปในห้องของฮวงชุ่นเจินที่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่ข้าวสารสักเม็ดเหลืออยู่… พวกหนูนี่ทำงานดีเกินคาด ไม่เหลือข้าวสารหรืออาหารใด ๆ ไว้ ทว่ากลับทิ้ง ‘บางอย่าง’ เอาไว้ให้ดูต่างหน้า

ซูหวานหว่านกวาดสายตาไปทั่วห้อง ไม่ว่าจะมองไปมุมใดก็เจอแต่ขี้หนูไปเสียทุกซอกทุกมุม

“ไหนล่ะข้าวสาร ท่านให้ข้ามาเก็บข้าวสารไม่ใช่หรือ ข้าไม่เห็นข้าวเลยสักเม็ด” ซูหวานหว่านแสร้งทำเป็นสงสัยและเอ่ยถามออกไป

“พูดอะไรของเจ้าน่ะ! ข้าวมันก็กองอยู่ที่พื้น!” แม่เฒ่าเจี๋ยเกิดอาการตื่นตระหนหลังจากได้ยินคำพูดของเด็กสาว และรีบพาพ่อเฒ่าซูเข้าไปดูให้เห็นกับตา ทว่าทั้งสองก็พบเพียงห้องเปล่า ๆ เช่นเดียวกันกับที่ซูหวานหว่านเห็น

“มะ…มันเกิดอะไรขึ้น!” น้ำเสียงของพ่อเฒ่าซูสั่นเครือ

ถ้าเกิดไม่มีพวกอาหารเหล่านั้นแล้วพวกเขาจะทำอย่างไรกันต่อไป!

ทว่าข้าวทั้งบ้านของพวกเขาก็ถูกเอามาซ่อนไว้ที่นี่ไม่ใช่เหรอ?

“หรือว่าเป็นพวกหนูที่มากินไป …พวกมันใช้เวลาเพียงคืนเดียวเองงั้นหรือ!” เสียงใสของซูหวานหว่านเปล่งออกมาด้วยความเห็นใจ

แม่เฒ่าเจี๋ยที่ยอมรับความจริงไม่ได้ถึงกับจะเป็นลมล้มพับไปเสียให้ได้ ทว่าก็สามารถประคองสติอยู่ได้ นางโอดครวญออกมา “โอ้ สวรรค์! เหตุใดชีวิตของข้าต้องมาเจออะไรเช่นนี้! ทั้งครอบครัวของข้าไม่มีอะไรจะกินแล้ว!”

ผู้คนจำนวนหนึ่งที่มารวมตัวกันบริเวณรอบ ๆ ตระกูลซูได้ยินเข้าถึงกับงุนงงไปชั่วขณะ มิใช่ว่าพวกเขายึดอาหารคืนมาจากฮวงชุ่นเจินได้แล้วหรือ เหตุใดถึงพูดว่าไม่มีอะไรเหลือแล้วในตอนนี้อีกล่ะ?

เป็นอีกครั้งที่ชาวบ้านมามุงดูเหตุการณ์ของบ้านตระกูลซู ทว่าเมื่อเดินมาใกล้ ๆ ห้องของฮวงชุ่นเจิน พวกเขาก็ปิดจมูกแล้วเดินหนีทันที

แม่เฒ่าเจี๋ยและพ่อเฒ่าซูทรุดนั่งอยู่หน้าประตูและร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร จนทำให้ชาวบ้านทั้งหลายเริ่มรู้สึกเห็นใจ ทว่าบางคนกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น พวกเขาไม่ได้เห็นอกเห็นใจหรือสงสารสองคนนี้ ทั้งยังพูดขึ้นมาว่า “เหตุใดเรื่องแปลก ๆ ถึงเกิดขึ้นที่ตระกูลซูตลอดเลยนะ เป็นไปได้ด้วยหรือที่พวกหนูจะมากินอาหารทั้งหมดเพียงชั่วข้ามคืน? และไม่วายที่จะทิ้งขี้และฉี่ไว้อย่างสกปรกและเลอะเทอะเต็มไปหมด เป็นไปได้หรือไม่ว่าตระกูลซูทำเรื่องสกปรกเอาไว้มากมาย?”

“ใช่แล้ว ๆ! แม่เฒ่าเจี๋ยปฏิบัติอย่างไรกับครอบครัวสามก็เป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งต่อสายตาทุกคน!”

“ไม่เพียงแค่นั้น ข้ายังเคยเห็นพวกเขาไล่ทั้งลูกชายและลูกสะใภ้ออกไปเพื่อเก็บเนื้อไว้กินกันสองคนอีกต่างหาก!”

“ข้าเห็นด้วย ๆ ทั้งเป็ดและไก่ที่เห็นเลี้ยงไว้ตามสวนหลังบ้าน ก็หายไปบ่อยครั้ง และคนร้ายไม่ใช่ใครที่ไหนได้เลย ก็พ่อเฒ่าซูนี่แหละ!”

“…”

เพียงความคิดเห็นจากคนกลุ่มหนึ่ง ทำให้ชาวบ้านต่างเปิดปากซุบซิบนินทาและคาดเดาเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างออกรส แทบทุกประโยคที่ชาวบ้านกล่าวออกมานั้นมีแต่เรื่องสกปรก ๆ ที่แม่เฒ่าเจี๋ยและพ่อเฒ่าซูเคยทำไว้กับใครหลาย ๆ คน ซึ่งซูหวานหว่านก็อดไม่ได้ที่จะฟังอย่างสนอกสนใจ

สีหน้าของแม่เฒ่าเจี๋ยและพ่อเฒ่าซูที่ฟังอยู่พลันซีดเผือด และเมื่อเห็นทุก ๆ คนเริ่มพูดคุยกันถึงการกระทำแย่ ๆ ของพวกตน ทั้งยังไม่ลืมที่จะพูดถึงลูกชายและลูกสะใภ้ที่เป็นข่าวฉาวมาก่อนหน้านี้

ไม่ใช่ว่าพวกชาวบ้านอยากจะพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับครอบครัวสามของตระกูลซูหรอกนะ ทว่าเป็นเพราะครอบครัวสามไม่มีเรื่องแย่ ๆ ให้พูดถึงต่างหาก เลยไม่มีใครพูดเรื่องไม่ดีของพวกเขาออกมาได้

“หยุด! หยุด! หยุดพูดจาไร้สาระแล้วแยกย้ายกันไปได้แล้ว!!” พ่อเฒ่าซูตวาดด้วยเสียงดังก้อง

แต่นั่นไม่ได้ทำให้ชาวบ้านบริเวณนั้นกลัวท่าทางของชายชราแต่อย่างใด แถมยังจ้องกลับมาที่พ่อเฒ่าซูด้วยสายตาดูถูก “ท่านมีสิทธิ์อะไรมาตะคอกพวกเรา เหอะ!…สมน้ำหน้าแล้วที่ตอนนี้มีหนูมากินอาหารในบ้านจนหมด สวรรค์ได้ลงโทษเจ้าแล้ว!!”

“สมน้ำหน้าพวกมัน!”

“ใช่ ๆ!” ชาวบ้านที่เห็นด้วยต่างเอ่ยออกไปในทิศทางเดียวกัน

“…”

แม่เฒ่าเจี๋ยเสียใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางร้องร่ำไห้ตะโกนออกมาสุดเสียง ไม่นานฝูงชนก็ตกอยู่ในความเงียบ และแหวกเป็นทางเพื่อให้ใครบางคนเดินผ่านเข้ามา ซูหวานหว่านจำได้ทันทีว่านั่นคือท่านหัวหน้าหมู่บ้านนี่เอง!

ท่านหัวหน้าหมู่บ้านที่เดินเข้ามาดูสถานการณ์ด้านในนั้น เอ่ยถามกับแม่เฒ่าเจี๋ยและพ่อเฒ่าซูไม่กี่คำ จากนั้นจึงเดินไปสำรวจสถานการณ์ในบ้านของพ่อเฒ่าซูก่อนจะขอให้ทุกคนช่วยกันจัดการกับสิ่งปฏิกูลที่พวกหนูทิ้งเอาไว้ ทว่าแม่เฒ่าเจี๋ยและพ่อเฒ่าซูไม่แม้แต่จะขอบคุณเขาเลยสักคำ และไม่คิดที่จะเข้ามาช่วยอะไรด้วยสักนิด พวกเขาทำเพียงยืนดูพวกชาวบ้านทำงานอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น

เมื่อสองสามีภรรยาสังเกตเห็นควันลอยมาแต่ไกล ท้องของพวกเขาก็ส่งเสียงออกมา ทั้งคู่เริ่มหิวและกังวลเรื่องอาหารเนื่องจากพวกเขายังไม่ได้กินอะไรเข้าไปเลย แม่เฒ่าเจี๋ยหยิบผ้าเช็ดหน้าที่เต็มไปด้วยหัวหอมที่เคยใช้เมื่อครั้งก่อนออกมาและเช็ดไปที่ดวงตา พร้อมเดินไปยังลานบ้านพลางร้องคร่ำครวญอย่างน่าสงสาร “ฮือ ๆ ดูพวกเราผู้เฒ่าทั้งสองคนที่ถูกลูกสะใภ้ขโมยอาหารไป อีกทั้งนางก็ยังทิ้งพวกเราไปอีก ตอนนี้หนูก็กินข้าวไปจนหมดบ้านแล้ว เราจะทำอย่างไรกันดี! พวกเราทั้งสองจะเอาอะไรกิน!”

ทุกคนต่างรับรู้ได้ว่าการกระทำของแม่เฒ่าเจี๋ยนั้นหมายถึงอะไร เจ้าตัวกำลังแสดงความน่าสงสารเพื่อขออาหารจากชาวบ้านคนอื่นน่ะสิ! พวกชาวบ้านเองก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำหรอกนะ เพียงแต่พวกเขารู้ดีว่านิสัยของสองสามีภรรยาคู่นี้เป็นอย่างไร เลยไม่ค่อยมีใครอยากให้ความช่วยเหลือทั้งคู่

เมื่อชาวบ้านเห็นท่าไม่ดีจึงรีบแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว เมื่อแม่เฒ่าเจี๋ยเห็นชาวบ้านเดินแยกย้ายไปคนละทิศคนละทางก็รีบวิ่งไปคว้าชายเสื้อของชาวบ้านที่อยู่ใกล้นางที่สุด

“ป้าหลี่ ท่านต้องช่วยพวกเรานะ! พวกเราอุตส่าห์ดูแลพวกท่านมานาน ท่านต้องช่วยพวกเรานะ!!”

“เดี๋ยวก่อนนะ พวกท่านดูแลอะไรข้าอย่างงั้นหรือ?” ป้าหลี่มองกลับไปอย่างไม่เป็นมิตร โดยปกติแล้วแม่เฒ่าเจี๋ยจะส่งมันเทศไปให้ครอบครัวของป้าหลี่ เพื่อแลกกับพืชผักในไร่ของป้าหลี่ ซึ่งนั่นไม่ได้เป็นการช่วยเหลือแต่เป็นการแลกเปลี่ยนต่างหาก พวกเขาไม่ได้เป็นฝ่ายให้ฝ่ายเดียวเสียหน่อย! ยังมีหน้าจะมาขอให้ช่วยอีก!!

ป้าหลี่รีบสะบัดตัวและวิ่งหนีไปโดยไม่สนใจหญิงชราที่อยู่เบื้องหลัง แม่เฒ่าเจี๋ยจึงเริ่มวิ่งไปกระชากชายเสื้อคนอื่น ๆ ต่อ ทว่าทุก ๆ คนก็สลัดตัวออกจากแม่เฒ่าเจี๋ยอย่างรังเกียจราวกับนางเป็นเชื้อโรค

ไม่นานนักทุก ๆ คนก็ทยอยออกไปจากลานบ้านของตระกูลซูจนหมด แม่เฒ่าเจี๋ยและพ่อเฒ่าซูที่ตอนนี้หมดหนทางก็ได้แต่นั่งทำหน้าเศร้า หัวหน้าหมู่บ้านเห็นดังนั้นจึงปาดเหงื่อที่เกิดจากการทำความสะอาดห้องของฮวงชุ่นเจินออกจากหน้าผากแล้วหันมาพูดกับทั้งคู่

“เห็นผลลัพธ์จากการกระทำที่น่าละอายและเห็นแก่ตัวของพวกเจ้าแล้วใช่หรือไม่?”

เมื่อพูดจบท่านหัวหน้าหมู่บ้านก็หันหลังและเดินกลับไปในทันที

ซูหวานหว่านที่ซ่อนอยู่หลังต้นไม้ได้หาวออกมาอย่างเบื่อหน่าย นางตัดสินใจกลับบ้านเพราะไม่มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว พลันใดนั้นก็มีแขนอ้วนข้างหนึ่งมาจับและดึงเด็กสาวไว้พร้อมกับร้องไห้ฟูมฟายโวยวายอย่างน่าสงสาร

“ซูหวานหว่าน! ไปเอาของที่พวกเจ้าซื้อมาเมื่อวานมาทำให้ข้ากินสิ เร็วเข้า!”

“ปล่อยข้านะ” ซูหวานหว่านบิดข้อมือที่ถูกแม่เฒ่าเจี๋ยบีบเอาไว้

“เร็วสิพวกข้าหิวแล้วนะ ให้ข้ากินอะไรเสียหน่อยเถอะ หากเจ้าไม่ไปข้าจะไม่ปล่อยเจ้า และข้าจะตีเจ้าให้ตายเลย!” เมื่อขอร้องดี ๆ ไม่ได้ แม่เฒ่าเจี๋ยก็หมดความอดทน และแสดงนิสัยเดิม ๆ ออกมา

นี่มันอะไรกันเนี่ย! การกระทำของพวกเขาคือการกระทำที่สมควรแล้วเหรอ?!

“ท่านยังมีหน้ามาพูดกับข้าเช่นนี้อยู่อีกเหรอ ของที่ข้าได้มาเมื่อวานนั้นมาจากการนำปิ่นปักผมเงินที่เป็นสินสอดชิ้นสุดท้ายของแม่ของข้าไปจำนำ อีกอย่างพวกเราแยกครอบครัวกันไปแล้ว! ตอนพวกเรายังอยู่ในบ้านของพวกท่านพวกเราไม่เคยได้รับอาหารที่เท่าเทียมกับคนอื่น ๆ ในตระกูลเลยด้วยซ้ำ! แต่ตอนนี้พวกท่านยังกล้ามาขออาหารจากครอบครัวเราอีก คิดดูก็แล้วกันว่าพวกท่านต้องเป็นคนแบบไหน หน้าของท่านทำด้วยอะไรกัน มียางอายบ้างหรือไม่!?”

แม้ในใจของแม่เฒ่าเจี๋ยอยากจะด่านางมากขนาดไหน ทว่าเพื่ออาหารที่ต้องการจากซูหวานหว่าน ทำให้นางต้องกัดฟันกรอดอย่างเงียบ ๆ

“ทำไมหรือท่านย่า? ท่านอยากตบตีข้าเหมือนเมื่อก่อนงั้นเหรอ?” นางพูดท้าทายพวกเขาอย่างไม่เกรงกลัว เพียงครู่ต่อมากำปั้นของใครบางคนก็ง้างขึ้นก่อนจะพุ่งแหวกอากาศเข้าไปที่ปากของแม่เฒ่าเจี๋ย หมัดนั้นรุนแรงจนทำให้ฟันซี่หน้าของแม่เฒ่าเจี๋ยหักและร่วงออกมาจากปากของนางเลยทีเดียว