บทที่ 26 วิกฤต

แม่เฒ่าเจี๋ยอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ใครจะไปคิดว่าคนอย่างซูหวานหว่านจะมีแรงเยอะถึงเพียงนี้!

แม่เฒ่าเจี๋ยชี้นิ้วไปที่หน้าซูหวานหว่านและตะโกนออกมาด้วยความโมโหสุดขีด ก่อนจะพุ่งตัวเข้ามาหาเด็กสาวที่ยังนั่งอยู่บนก้อนหิน โดยซูหวานหว่านก็ได้หลบแม่เฒ่าเจี๋ยที่พุ่งเข้ามาหานางด้วยความโกรธอย่างทันท่วงที ทำให้ฟันหน้าของหญิงชราหักลงอีกหนึ่งซี่

“ท่านย่า ระวังหน่อยสิเจ้าคะ เดี๋ยวฟันก็หักอีกซี่หรอก” เมื่อซูหวานหว่านพูดจบก็รีบวิ่งออกไปในทันที

“นังเด็กสารเลว!!”

แม่เฒ่าเจี๋ยลืมความเจ็บปวดที่มีแล้วหยิบไม้แถวนั้นวิ่งไล่ตีตามหลังซูหวานหว่าน ตาเฒ่าซูที่เหมือนเพิ่งตั้งสติได้เลยวิ่งไปสมทบกับผู้เป็นภรรยา

ซูหวานหว่านหันหลังกลับไปมองแล้วตะโกนออกมาว่า “ท่านปู่ ท่านย่า พวกท่านบ้าไปแล้ว”

ดูจากสภาพอันแก่ชราของทั้งสองแล้ว พวกเขาจะตามซูหวานหว่านทันได้อย่างไร?

เมื่อวิ่งไปได้สักพักแม่เฒ่าเจี๋ยเกือบจะเป็นลมจึงต้องหยุดพักก่อน ทว่าเมื่อหันไปอีกทีก็ไม่เห็นวี่แววของซูหวานหว่านอีกแล้ว

ซูหวานหว่านวิ่งกลับบ้านอย่างสบายใจ ทว่าเมื่อนางมาถึงบ้านและเปิดประตูเข้ามาก็พบกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของแม่เจิ้น และหลังจากถามไถ่เรื่องทั้งหมดแล้ว นางจึงรับรู้ถึงสิ่งที่ผู้เป็นแม่กังวล

แม่เจิ้นกำลังคิดไม่ตกเรื่องอาหารที่เหลืออยู่ตอนนี้ เพราะหลังจากแบ่งอาหารส่วนของแม่เฒ่าเจียงคืนไปแล้ว อาหารของครอบครัวนางจึงเหลืออยู่ไม่มาก อย่างมากก็มีพอสำหรับ 5 วัน นางไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป อีกทั้งไม่มีที่ดินทำไร่แล้ว ดังนั้นพวกนางจะหาเงินมาจากที่ใดได้?

“ท่านแม่! ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิน่าจะต้องมีผักป่ามากมายให้เก็บเกี่ยว! เมื่อก่อนพวกเราก็กินผักป่ากันมาตลอดมิใช่หรอกหรือ ถึงจะไม่อร่อยเหมือนข้าวหรือบะหมี่ แต่นั่นก็ทำให้เรามีชีวิตรอดมาสิบกว่าปีเลยนะ!” ซูหวานหว่านพูดพร้อมกับรอยยิ้ม หวังคลายความกังวลใจให้ผู้เป็นแม่

แม่เจิ้นเงียบอยู่สักพักก่อนจะเงยหน้าขึ้นและสังเกตเห็นซูต้าเฉียงกำลังเดินเข้ามา

ซูต้าเฉียงมาพร้อมกับกระสอบใส่บะหมี่แห้งกระสอบหนึ่งที่แบกอยู่บนหลัง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด แม่เจิ้นเมื่อเห็นของที่สามีนางถือมาด้วยก็มีสีหน้าดีขึ้น พลันวิ่งเข้าไปถามอย่างตื่นเต้น “ท่านพี่! ท่านไปได้มันมาจากที่ใด!” น้ำเสียงของแม่เจิ้นเต็มไปด้วยความปีติยินดี

“…” ซูต้าเฉียงยืนเกาคออย่างทำตัวไม่ถูกและไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

แม่เจิ้นจึงมองไปที่กระสอบเส้นบะหมี่แห้งอีกครั้งพลันใบหน้าเปลี่ยนสี

นางจำมันได้…นั่นมันเส้นบะหมี่แห้งที่ซูหวานหว่านซื้อมาไม่ใช่เหรอ?

แล้วซูต้าเฉียงไปเอามันมาได้ยังไง!

แม่เจิ้นรู้สึกมีลางสังหรณ์ว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับข่าวลือที่แพร่ไปทั่วหมู่บ้านเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลซู นางจึงเอ่ยปากถามสามีด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล “เจ้าจะเอาไปให้ท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้างั้นหรือ…?”

“ชะ…ใช่” ซูต้าเฉียงพยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจนัก เขารู้สึกได้ว่าสิ่งที่เขาทำลงไปไม่ถูกต้องกับครอบครัวของเขาเอาเสียเลย ทว่าอีกใจหนึ่งก็กลัวว่าพ่อกับแม่ของเขาจะอดตาย จึงลดสายตาลงและพูดกับผู้เป็นภรรยาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “มันเป็นอะไรที่ยากมาก …สำหรับข้า กับพ่อแม่ของข้า ถึงแม้เขาจะไม่ได้ให้กำเนิดข้ามาก็ตาม แต่เขาก็เลี้ยงดูข้ามาจนโตถึงทุกวันนี้ และถึงแม้ว่าข้าจะแยกตัวออกมาแล้ว…ข้า…”

นี่มันอะไรกัน! เจ้าไม่เห็นสิ่งที่พ่อกับแม่ของเจ้าทำกับครอบครัวของพวกเราเมื่อวานหรือไง? ทำไมวันนี้ทำมาเป็นคนจิตใจอ่อนไหว ไม่คิดหรือไงว่าครอบครัวตนเองน่าสงสารกว่าตระกูลซูนั่นเสียอีก!

แม่เจิ้นคิดพลางมองไปยังสามีที่กำลังหลบหน้านางเพื่อหนีความผิด

สายตาของผู้เป็นภรรยาเต็มไปด้วยความผิดหวัง “เอาล่ะ… หากท่านอยากจะเอาไปให้พวกเขามากนักก็เชิญ! แต่หากนำมันไปให้พวกเขาแล้วก็ไม่ต้องกลับมานะ เมื่อวานข้าไม่ได้พูดเรื่องหย่ากับท่าน ก็เพราะว่าเราแยกครอบครัวออกมาแล้ว ข้าคิดว่าท่านจะตาสว่างแล้วเสียอีก มองออกมาว่าสิ่งไหนถูก สิ่งไหนผิด ทว่าสุดท้ายแล้วท่านก็ยังเป็นลูก ‘กตัญญู’ อยู่วันยังค่ำ!”

ดวงตาของซูต้าเฉียงเบิกกว้างอย่างไม่คาดคิด “แบบนี้ไม่ได้นะ!”

เขาแยกครอบครัวออกมาแล้ว หากว่าเขาต้องแยกทางกับภรรยาของเขาแล้วล่ะก็ เช่นนั้นตัวเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร!

“ท่านแม่ของข้า สุดยอดไปเลย!”

ซูหวานหว่านชื่นชมในความกล้าของแม่ในการพูดความจริงและสิ่งที่คิดออกมา แม่เจิ้นพื้นฐานแล้วเป็นคนที่ดูสง่างามและถือตน ดูไม่เหมือนกับผู้หญิงในหมู่บ้านธรรมดา ๆ คนอื่น ทว่าผู้เป็นแม่ไม่เคยแม้แต่จะคิดที่จะกลับไปเยี่ยมบ้านแม่ของตนเลย ทำให้นางสงสัยในตัวตนของแม่เจิ้นไม่น้อย

หรือว่าท่านแม่จะเป็นคุณหนูที่หนีออกจากบ้านมากับผู้ชายจน ๆ อย่างท่านพ่อกันนะ?

น้อง ๆ ทั้งสองของซูหวานหว่านที่ได้ยินการทะเลาะระหว่างบิดากับมารดาเมื่อครู่ก็วิ่งมาดูเหตุการณ์ด้วยความสงสัย เมื่อได้ยินว่าท่านแม่จะหย่ากับท่านพ่อ จึงวิ่งไปหลบอยู่หลังแม่เจิ้น

ซูจิ่นหมิงน้องชายคนเล็กได้เอ่ยปากถามขึ้นมาก่อน “ท่านแม่ ไม่ต้องการท่านพ่อแล้วหรือ? หากเป็นเช่นนั้นก็ย่อมได้ ถึงแม้จะลำบากเล็กน้อย แต่อย่างไรเสียท่านพ่อก็ไม่เคยดีกับเรา”

“ใช่ ๆ ท่านพ่อไม่เคยให้ค่าเงินกับข้าเลย มีแต่เงินจากสินสอดของท่านแม่เท่านั้น!” ซูเสี่ยวเหยียนน้องสาวคนเล็กกล่าวเห็นด้วย

“ท่านพ่อได้ยินที่น้องของข้าทั้งสองพูดแล้วใช่หรือไม่? ท่านก็รู้ว่าครอบครัวของเราลำบากลำบนมานานหลายปี แต่ท่านก็ยังจะนำเงินที่ท่านได้จากทำงาน ส่งไปให้ท่านย่าเสียหมดจนไม่เหลือให้พวกเรา ดูสิท่านย่าได้กินแต่ของดี ๆ เนื้อหอม ๆ ข้าวหุงสุกสะอาดในทุก ๆ สามวัน แล้วครอบครัวของเราล่ะ ขนาดวันปีใหม่ยังไม่เคยได้กินเนื้อเลยแม้แต่ชิ้นเดียว! น่าสมเพชที่สุด!” ซูหวานหว่านตะคอกอย่างไม่ไยดี พร้อมจ้องไปยังผู้เป็นพ่อด้วยสายตาน้อยเนื้อต่ำใจ จิตใจของนางเต็มไปด้วยความอึดอัด

ซูต้าเฉียงรู้สึกอับอายนัก ขนาดลูกน้อยยังพูดเช่นนั้นกับเขาเลย เขาต้องเป็นพ่อที่แย่เพียงไหนกัน!

แล้วนี่สิ่งที่เขาทำลงไป…ยังมีหน้าจะเอาบะหมี่แห้งที่เหลือเพียงเล็กน้อยไปให้บ้านตระกูลซู …นี่เขาไม่ควรทำเช่นนี้เลย!!

ซูต้าเฉียงตบหน้าตนเองหนึ่งครั้ง และก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด “ขะ…ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่สมควรที่จะทำแบบนี้เลย!!”

“คิดสิ…คิด!! เมื่อวานท่านพูดไว้ว่าอย่างไร แล้ววันนี้ท่านทำอะไรลงไป? ท่านต้องสาบานต่อสวรรค์ในตอนนี้ ไม่เช่นนั้นแล้วพวกข้าจะไม่เชื่อท่านอีกแล้ว!” ซูหวานหว่านกล่าวพร้อมกับวิ่งหนีหายไปหาแม่เฒ่าเจียง เพื่อเรียกมาเป็นพยานให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้

ซูต้าเฉียงรู้สึกผิดมาก เขาสาบานกับสวรรค์ว่าเขาจะไม่ทำเช่นนั้นอีก และจะเอาบะหมี่ไปเก็บ หลังจากนั้นเขาก็นั่งอยู่ใต้ต้นไม้แล้วมองภรรยาที่เย็บผ้าอย่างสำนึกผิด

ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูหวานหว่านก็เดินถือตะกร้าออกมาพอดี เมื่อเห็นพ่อกับแม่ของตัวเองดีกันแล้ว ก็รู้สึกดีขึ้นบ้างเล็กน้อย

ซูหวานหว่านมาคิดถึงเรื่องเคยไปเก็บผักป่าเมื่อก่อนหน้านี้ นางจำได้ว่าตนเองไม่กล้าเข้าไปยังเขตภูเขาด้านหลังบ้านตระกลูซูเวลาเก็บผักป่า เนื่องจากแถวนั้นอาจจะมีหมาป่าปรากฏตัว อย่างไรก็ตามผักป่าตามหมู่บ้านแถวนี้ก็ถูกขุดขึ้นมาหมดแล้ว อีกทั้งหลังภูเขายังคงอุดมสมบูรณ์อยู่มากเนื่องจากไม่มีคนกล้าเข้าไปข้างใน

บวกกับความสามารถของซูหวานหว่านในตอนนี้ ทำให้นางตัดสินใจจะมุ่งหน้าไปยังด้านหลังภูเขาอย่างไม่เกรงกลัว

ระหว่างทางนางได้ผ่านบ้านของป้าหลี่ และได้สังเกตเห็นบุคคลที่หน้าตาคุ้นเคยอยู่เบื้องหน้าบ้านหลังนั้นอีกด้วย …นั่นมัน แม่เฒ่าเจี๋ยไม่ใช่เหรอ?

ซูหวานหว่านรีบหาที่หลบ และเอาหูแนบกำแพงเพื่อฟังบทสนทนาเหล่านั้น

“หลี่เซินจือ! เปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้นะ! แบ่งอาหารมาให้ข้าหน่อยจะเป็นไรไป!”

ภายในห้องของหลี่เซินจือหรือก็คือป้าหลี่ นางกำลังง่วนอยู่กับการซ่อมแซมเสื้อผ้าของนาง จึงไม่ได้ให้ความสนใจกับเสียงของแม่เฒ่าเจี๋ยสักนิด ทว่าเมื่อแม่เฒ่าเจี๋ยยังพยายามเคาะประตูอยู่เป็นเวลานาน จนนางรู้สึกรำคาญกับเสียงโหวกเหวกโวยวายที่หน้าบ้าน เมื่อนั้นหลี่เซินจือจึงตัดความรำคาญด้วยการหยิบแกลบที่เตรียมเอาไว้เพื่อเป็นอาหารไก่จากตรงมุมห้องออกมา

นางกำลังอยากจะเปิดประตูออกไป ทว่าก็กลัวว่าแม่เฒ่าเจี๋ยจะเข้ามาขโมยของภายในบ้านของตน นางจึงตัดสินใจเปิดหน้าต่างแทนแล้วโยนแกลบพวกนั้นไปให้กับแม่เฒ่าเจี๋ย และพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนที่จะปิดหน้าต่างใส่แม่เฒ่าเจี๋ยด้วยความรำคาญ “เอ้า ๆ เอานี่แล้วไปซะ ไม่ต้องคืนข้าหรอก”

เมื่อเห็นนางทำเช่นนี้กับตน แม่เฒ่าเจี๋ยก็รู้สึกโกรธขึ้น “เมื่อก่อนข้านำอาหารมาให้เจ้าตั้งมากมาย ตอนนี้บ้านของข้าไม่มีอาหารแล้ว เจ้ากลับไม่ช่วยเหลือข้าเลยแม้แต่น้อย นี่มันจะมากเกินแล้วนะ!”

เมื่อพูดจบก็หันมามองกระสอบข้าวที่ถูกโยนออกมาจากหน้าต่าง เมื่อเปิดออกดูและพบกับรำข้าวที่มีหนอนชอนไชเต็มไปหมด นางก็ตกใจมากและโยนมันกลับไปยังหน้าต่างที่ถูกปิดอยู่อย่างอารมณ์เสีย “เจ้าจะบ้าหรือไง! ใครจะไปกินได้ หนอนเต็มไปหมดแบบนี้! ท้องของเจ้าถึงเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลเหม็นเน่าสินะ หากเจ้าคลอดลูกออกมาก็คงจะเห็นแต่อะไรเน่า ๆ เสียละมั้ง!”

ซูหวานหว่านที่ได้ยินถึงกับอยากปรบมือให้กับแม่เฒ่าเจี๋ย ช่างสรรหาคำหยาบคายมาด่าคนอื่นเสียจริง นับว่าเป็นคำแช่งที่รุนแรงจริง ๆ!

“เจ้าจะด่าอะไรกันนักกันหนา พูดมากเสียจริง! เจ้าไม่เคยรู้เลยหรือไงว่าครอบครัวของลูกชายเจ้า ซูต้าเฉียงนั่นที่ผ่านมาวัน ๆ เขากินอะไรบ้างเพื่อให้อยู่รอด พวกเขาต้องทนกินแกลบกินรำ กินผักป่าในทุก ๆ วัน ข้าให้แกลบกระสอบใหญ่ ๆ นั่นกับเจ้า หากเจ้าไม่กินมันก็โยนทิ้งไปเสีย อย่าบ่นไปทั่วให้น่ารำคาญนักเลย!”

หลังจากที่พูดไปสักพักหลี่เซินจือก็ถูกคนในครอบครัวจ้องด้วยความสงสัย นางจึงเงียบไป

แม่เฒ่าเจี๋ยที่กำลังบ่นอยู่เป็นเวลานานจนกระทั่งน้ำลายจะแห้งหรืออาจจะเบื่อแล้ว จึงย้ายไปเคาะประตูบ้านอื่น ๆ ซึ่งประตูก็ถูกปิดใส่หน้าก่อนที่นางจะได้พูดอะไรเสียด้วยซ้ำ

แม่เฒ่าเจี๋ยรู้สึกโกรธมาก หญิงชราปากร้ายผู้นี้โดนทุกคนปฏิเสธมาอย่างนับไม่ถ้วน นางจึงตัดสินใจเดินกลับไปหาผู้เป็นสามีและยืนตะโกนหน้าประตูบ้านอย่างโกรธเกรี้ยว “ไอ้แก่เอ๋ย! ไอ้คนใจร้ายใจดำพวกนั้นไม่มีใครที่จะให้อาหารกับพวกเราเลยแม้แต่คนเดียว! เจ้าไปทำแทนข้าบ้างสิ! ถ้าหากเจ้าทำไม่ได้ พวกเราก็จะต้องอดตายแน่ ๆ และพวกเราก็จบกันด้วย!”

ตาเฒ่าซูได้ยินและไม่อยากที่จะทำพฤติกรรมที่น่าอับอายเช่นนั้นเหมือนกับภรรยาของเขา เขารีบตะคอกกลับไปทันที “เจ้าไปทำเองสิ! หากทำไม่ได้ก็ไม่ต้องกลับมาให้ข้าเห็นหน้า! เจ้าคิดเหรอว่าถ้าไม่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้า เจ้าจะมีข้าวกิน!?”

“เหอะ! เจ้ากล้าพูดเช่นนั้นกับข้ารึ? ไม่พูดกับตัวเองก่อนล่ะ? เจ้าอยู่บ้านเฉย ๆ ทั้งวันไม่ทำอะไร เอาแต่สั่งให้ข้าไปทำนู่นทำนี่ ไปขโมยนู่นนี่จากใครต่อใครมาให้เจ้ากินเจ้าใช้! จิตใจช่างต่ำช้าและชั่วร้ายเสียจริง!”

ทั้งสองได้ปะทะฝีปากกันอย่างรุนแรงอยู่ครู่ใหญ่ ซึ่งซูหวานหว่านที่แอบฟังอยู่นั้นได้รู้ถึงข้อมูลต่าง ๆ มากขึ้น นางสังเกตดวงอาทิตย์ที่กำลังค่อย ๆ ลับขอบฟ้าไปทางทิศตะวันตก นางจึงกลับไปเก็บผักมาทำอาหาร ทว่าทางเดินที่นางต้องไปนั้นจำเป็นต้องผ่านหน้าประตูบ้านตระกลูซู เมื่อทั้งสองคนเห็นซูหวานหว่าน พวกเขาก็หยุดด่ากันสักพักและหยิบไม้ขึ้นมาหนึ่งท่อนวิ่งไล่ตามซูหวานหวาน ซึ่งในขณะที่ทั้งสองคนกำลังวิ่ง ปากพวกเขาก็ไม่หยุดที่จะบ่นด่านาง ทำให้ชาวบ้านต่างเปิดประตูออกมาดูว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น