ตอนที่ 97 เดินไปร้องไป

Perfect Superstar

ตอนที่ 97 เดินไปร้องไป

เพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ โด่งดังมากแล้ว

ติดอันดับในเว็บไซต์ผลงานเพลงแห่งชาติของสัปดาห์แรกเดือนกรกฎาคม เพลงนี้อยู่ในอันดับที่ 17 ขึ้นมา 26 อันดับจากสัปดาห์ที่แล้ว

สัปดาห์นี้แม้ว่าการจัดอันดับจะยังไม่ประกาศผล แต่เชื่อว่าอันดับน่าจะขึ้นไปอีกหลายอันดับ

การติดอันดับหนึ่งไม่ได้เป็นเรื่องไกลเกินฝัน!

ดังนั้นในรอบคัดเลือกความสามารถของรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ จะมีผู้เข้าแข่งขันเลือกร้องเพลงนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา

แต่การร้องเพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ ของเกาเฟิงไม่เลวเลย

ด้วยประสบการณ์ของนักร้องหลงกรุงคนนี้ ทำให้เขาเข้าถึงอารมณ์ ความเข้าใจ ความรู้สึกในเพลงซอฟท์ร็อกที่มีเนื้อหาแสดงถึงความเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้อย่างลึกซึ้ง เขาใช้น้ำเสียงแหบห้าวเป็นเอกลักษณ์เปล่งเสียงร้องได้บาดจิตบาดใจ แสดงออกถึงการต่อสู้ดิ้นรนและกระวนกระวายอย่างรุนแรงในจิตใจ ซึ่งสะกดอารมณ์ผู้ชมในที่นั้นได้อย่างลึกซึ้ง

“หากมีวันหนึ่ง ฉันจากไปกะทันหัน ช่วยฝังฉันไว้ ในฤดูใบไม้ผลิ ในฤดูใบไม้ผลิ…”

หลังจากร้องจบประโยคสุดท้ายของเพลง ผู้ชมกว่าพันคนในห้องส่งลุกขึ้นยืนแล้วปรบมือให้เสียงดังสนั่น

“ดี!”

ในคณะกรรมการทั้งสี่ ถานหงเป็นคนแรกที่ยืนขึ้น พร้อมกับตะโกนว่า “ดีมาก!”

ตามด้วยหลินจื้อเจี๋ย เจินเจิน และเฉินเฟยเอ๋อร์ก็ลุกขึ้นยืนปรบมือเช่นกัน

เมื่อได้เสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหวกับคำชื่นชมของถานหง เกาเฟิงผู้มีหนวดเครารุงรังขอบตาแดง

“ขอบคุณครับ!”

เขากอดกีตาร์และก้มโค้งลงต่ำ แสดงความซาบซึ้งและประทับใจของตัวเองกับทุกคน

ในฐานะนักดนตรีชั้นล่างที่พเนจรไปทั่วและดิ้นรนชีวิต เกาเฟิงไม่เคยเข้าร่วมในเวทีขนาดใหญ่เช่นนี้ เมื่อได้รับการชื่นชมต้อนรับอย่างสูง ถ้าไม่เข้มแข็งพอ เขาคงน้ำตานองหน้าไปแล้ว

ในเขตรอด้านหลัง ลู่เฉินปรบมือให้เกาเฟิงเช่นกัน

เพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ เป็นเพลงในตำนานเพลงหนึ่ง แต่สำหรับลู่เฉินแล้ว เพลงนี้มีประสบการณ์โชกโชนในเนื้อเพลงมากเกินไป คนที่ยังฝึกฝนไม่เพียงพอจะร้องให้เข้าถึงแก่นไม่ได้

ลู่เฉินร้องเพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ เองก็ยังร้องไม่ดี เขาต้องขอยืมความทรงจำของสวีป๋อ จินตนาการว่าตัวเองกลายเป็นนักร้องผู้มากความสามารถในโลกแห่งความฝัน จึงจะเข้าถึงอารมณ์เศร้าโศกโดยแก่นแท้ตั้งแต่ต้นจนจบของเพลง ทั้งการคร่ำครวญหมดหวัง และการกล่าวโทษตัวเอง

เพลงนี้เขาร้องเพียงรอบเดียวก็พอแล้ว หากว่านำมาเป็นเพลงของตัวเองจะถูกคนอื่นต่อต้านโจมตีเอาได้ง่ายๆ

เมื่อเห็นว่าเพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ ทำให้ผู้คนประทับใจได้มากขนาดนี้ แม้แต่นักร้องซูเปอร์สตาร์อย่างถานหง ลู่เฉินก็ยังมองเห็นความพึงพอใจมากเป็นพิเศษของเขาด้วย

แม้ไม่ใช่ผลงานเพลงของตัวเอง แต่ทำให้เพลงคลาสสิคเพลงนี้เปล่งประกายอย่างเต็มที่ในโลกนี้ได้…

ก็ไม่เสียดายแล้ว!

ในแกรนด์สตูดิโอ เสียงปรบมือกระหึ่มยาวนานถึงครึ่งนาที

หลังจากทุกคนนั่งลงแล้ว กรรมการหลินจื้อเจี๋ยพูดขึ้นว่า “ถ้าผมจำไม่ผิดละก็ เพลงนี้เป็นเพลงของวงเฮสิเทชั่น? ผมได้ฟังเพลงซาวด์แทร็กอยู่ เทคนิคการร้องของคุณอาจจะยังด้อยไปเล็กน้อย แต่เรื่องอารมณ์การแสดงออกนั้นซื่อตรงกว่าของต้นฉบับ ดังนั้นผมให้คุณผ่านด้วยคะแนนเต็ม!”

“ขอบคุณอาจารย์หลินจื้อเจี๋ย!”

เกาเฟิงข่มความตื้นตันในใจ ตอบว่า “เพลงในฤดูใบไม้ผลินี้เป็นเพลงเปิดตัวในอัลบั้มแรกของวงเฮสิเทชั่น ผมชอบเป็นการส่วนตัวอย่างสุดซึ้ง ผมรู้สึกว่าเพลงนี้ร้องออกมาแล้วเหมือนเสียงในใจของนักร้องแบบผม ผมไม่อาจเอื้อมเปรียบเทียบกับวงเฮสิเทชั่น แต่ผมรู้สึกอยากขอบคุณผู้ที่เขียนเพลงนี้ขึ้นมามากๆ”

“ถ้ามีโอกาสได้พบกับนักแต่งเพลงที่ไม่ธรรมดาคนนี้ ผมอยากจะบอกกับเขาว่า ขอบคุณครับ!”

ทั้งห้องสตูดิโอปรบมือเสียงดังอีกครั้ง

คนที่อ่อนน้อมถ่อมตน มักจะได้รับความรู้สึกอันดีและการยอมรับจากผู้อื่นได้ง่ายที่สุด

ถานหงตอบว่า “ผมเห็นด้วยกับคุณ ผมคิดว่าผลงานเพลงที่มีพลังและให้อารมณ์ความรู้สึกแบบนี้มีไม่มากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวงเฮสิเทชั่นร้องหรือคุณที่นำมาร้อง ผมหวังว่าจะมีคนได้ฟังเพลงนี้มากขึ้นเรื่อยๆ”

“ผมคิดว่านี่คือความหมายที่สำคัญที่สุดของ ’ขับร้องให้ก้องจีน’ ผมให้คุณผ่านด้วยคะแนนเต็มเหมือนกัน!”

เสียงปรบมือที่เพิ่งเบาลงกลับมาโหมขึ้นใหม่อีกครั้ง บรรยากาศในสตูดิโอราวกับขึ้นสู่จุดสูงสุด

เกาเฟิงโค้งตัวคำนับอีกครั้ง “ขอบคุณอาจารย์ถานหง!”

จากนั้นเจินเจินกับเฉินเฟยเอ๋อร์ชมเชยเพียงไม่กี่ประโยคแล้วก็ให้ผ่านทั้งหมด

เกาเฟิงได้รับบัตรผ่านเข้าสู่รอบต่อไป

“อันดับต่อไป ผู้เข้าแข่งขันหมายเลข 0030 ลู่เฉินขึ้นเวที!”

ลู่เฉินที่เตรียมตัวนานแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาเอื้อมมือไปรับไมโครโฟนไร้สายจากพิธีกรมา ก่อนก้าวขึ้นบนบันไดเวทีอย่างมั่นคง เดินไปหยุดอยู่ที่ใจกลางเวที

แสงไฟส่องปะทะบนร่างของเขา ลู่เฉินยืนอยู่ต่อหน้าคณะกรรมการทั้งสี่และผู้ชมทางห้องส่ง 1500 คน

ยังมีผู้ชมทางบ้านที่ชมผ่านหน้าจอโทรทัศน์กับคอมพิวเตอร์อีกเป็นหมื่นเป็นแสนคน!

ในใจของเขากลับรู้สึกถึงความสงบอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

“เป็นพี่รูปหล่อนี่เอง…”

บริเวณแท่นที่นั่งกรรมการ เฉินเฟยเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ด้านขวาของถานหงหัวเราะเบาๆ “เชิญคุณแนะนำตัวค่ะ”

“กรรมการทั้งสี่ท่านสวัสดีครับ!”

ลู่เฉินโค้งตัวอย่างมีมารยาท พูดว่า “ผมเป็นผู้เข้าประกวดหมายเลข 0030 ลู่เฉิน ปีนี้อายุ 22 มาจากเจ๋อตงครับ”

เจินเจินถามต่อ “แล้ววันนี้คุณนำเพลงอะไรมาจากบ้านด้วย”

ลู่เฉินตอบ “ผมนำเพลงเพลงหนึ่งชื่อว่า ’เดินไปร้องไป’ มา เป็นเพลงที่ผมเขียนเอง”

“เดินไปร้องไป?”

เจินเจินตกตะลึง “นี่ไม่ใช่สโลแกนของรายการ ’ขับร้องให้ก้องจีน’ หรอกเหรอ”

บรรณาธิการของนิตยสาร ‘ป็อปมิวสิค’ คนนี้อายุปาเข้าไปสี่สิบกว่าแล้ว แต่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี จึงดูไม่เหมือนคนอายุสี่สิบเลย เสียงพูดฟังดูเหมือนเด็กสาวมากกว่า

‘เดินไปร้องไป ขับร้องให้ก้องจีน’ เป็นธีมหลักของรายการประกวดแข่งขันทางสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งนี้

ธีมหลักดังกล่าวเป็นเหมือนขั้นตอนกฎเหล็กของรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ แบ่งเป็นเขตเมืองหลวง เซิ่งจิง ฮู่ไห่ หังเฉิง เทียนฝู่ ฮวาเฉิง และปี้ไห่ทั้งเจ็ดเขตการแข่งขัน ใช้วิธีการคัดเลือกด้วยกติกาอันมีลักษณะพิเศษมาค้นหาผู้ที่จะได้ครองตำแหน่งชนะเลิศคนสุดท้าย

การแข่งขันในที่แรกคือเขตเมืองหลวง ผ่านการคัดเลือกในรอบแรก รอบคัดเลือกความสามารถ และการคัดเลือกซ้ำจนได้ผู้เข้ารอบ 32 คน ถึงค่อยเข้าสู่วงจรการคัดออก การคัดออกคัดจาก 32 คนจนเหลือ 16 คน จาก 16 คนคัดคนที่เก่งที่สุดออกมาสิบคน

จากนั้นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดสิบคนของเขตเมืองหลวง นำผู้เข้าแข่งขันที่เก่งที่สุดสิบคนของอีกหกเขตทั้งเซิ่งจิง ฮู่ไห่ หังเฉิงเป็นต้นมาคัดเลือกแบบใช้กติกาแบบพิเศษ แล้วคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันที่ชนะการคัดออก 10 คนกลับสู่เมืองหลวงเพื่อแข่งขันในรอบสุดท้าย!

เพราะรูปแบบการแข่งที่ไม่เหมือนใคร จึงต้องมีสโลแกนหลักที่เหมาะสม

ลู่เฉินพยักหน้า “ใช่ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มเลย…”

หนึ่งในคณะกรรมการหลินจื้อเจี๋ยบอกกับลู่เฉินอย่างไม่แยแส พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ขอให้โชคดี”

ตอนพูด นัยน์ตาของเขาปรากฏแววดูถูกแวบหนึ่ง

ในความเห็นของหลินจื้อเจี๋ย ลู่เฉินเลือกใช้ชื่อเพลงแบบนี้ดูน่าสงสัยว่าจะฉวยโอกาสเอาเปรียบ เขาไม่คิดว่าลู่เฉินจะเขียนผลงานเพลงออกมาได้ดี มีแต่คนที่เป็นมืออาชีพเท่านั้นถึงจะพูดถ้อยคำแบบนี้

การเป็นผู้อำนวยเพลงของเฟยสือเรคคอร์ดและอยู่ในเมืองปักกิ่งแห่งนี้ หลินจื้อเจี๋ยเคยเห็นคนหนุ่มแบบลู่เฉินมามากมาย หน้าตาดีพอมีพรสวรรค์ ร้องเพลงดีดกีตาร์ เล่นเปียโนได้ แต่มักไม่ยืนหยัดตั้งใจจริง คิดว่าตัวเองจะได้โด่งดังในชั่วข้ามคืน

ในบรรดาคนเหล่านี้มีเพียงส่วนน้อยนักที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงโด่งดังด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม

แต่หลินจื้อเจี๋ยไม่มีความรู้สึกดีใดๆ ไม่ว่ากับความสำเร็จหรือพ่ายแพ้ของพวกเขา!

วงการเพลงในตอนนี้ช่างตื้นเขินนัก

ถานหงพูดว่า “สู้ๆ”

ลู่เฉินพยักหน้า เขานำไมโครโฟนเสียบบนขาตั้ง แล้วหันไปยกนิ้วโป้งให้กับผู้คุมดนตรีด้านข้างเวที

ทำนองเพลงท่อนแรกดังขึ้น

การแสดงครั้งแรกที่เกิดขึ้นบนจอและบนเวที เป็นสิ่งที่ลู่เฉินเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีเพื่อการแข่งขันรอบคัดเลือกความสามารถครั้งแรก

เพลง ‘เดินไปร้องไป’ นี้เป็นเหมือนกับผลงานชั้นยอดที่ได้มาจากโลกแห่งความฝันชิ้นอื่นๆ เพื่อให้ได้ประสิทธิผลสูงสุด เขายอมจ่ายเงินเพื่อทำดนตรีและอัดเสียงกับสตูดิโอเนี่ยผาน เพื่อรอคอยเวลานี้โดยเฉพาะ!

“ชินชามากแล้ว

มองตามลมไปทางใต้

ผ่านทั้งขุนเขาและท้องทะเลไกล

มีสายตาที่ถวิลหารอคอยของเธออยู่ไหม

รู้สึกเสียใจนิดหน่อย

อยู่ๆ ก็รู้สึกวุ่นวายใจ

ลมหนาวบาดเนื้อบนผิวหน้า

น้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้า

…”

ทำนองที่ไพเราะ น้ำเสียงที่โดดเด่น การแสดงของลู่เฉินเต็มไปด้วยความอ่อนโยนลึกซึ้ง เพิ่งเริ่มร้องได้สองประโยค กรรมการด้านล่างทั้งสี่ก็เริ่มแสดงสีหน้าท่าทาง!

“…

ความจริงแล้วอยากรู้เหมือนกัน

ว่าเธออยู่ในอ้อมกอดของใคร

คำที่เคยบอกไป

พวกเราไม่มีใครทำได้อย่างที่พูดเลย

ยังรู้สึกเสียใจกับตัวเอง

ที่หนีจากมาโดยไม่บอกกล่าว

แต่อดีตเหมือนดั่งภาพลวงตา

ทำไมฉันไม่เคยลืมลง!

…”