ตอนที่ 22 งานประกวดราคา

Mars เจ้าสงครามครองโลก

“อ้อ ที่แท้คือสุนัขเย่เซิ่งเทียนนี่เอง? ทันทีที่คุณเกิดมา แม่ของคุณก็ถูกชายชู้ทอดทิ้ง แล้วตอนนี้คุณยังกล้ามาขวางทางกูอีกหรือ?”

เมื่อผู้คนที่อยู่ด้านข้างเห็นคุณชายเฉินก็รีบหลีกทางทันที

เมืองเฉียนถัง นอกจากตระกูลหมิงแล้ว ยังมีหนึ่งอภิมหาอำนาจสี่ใหญ่หนึ่งมืดอีกด้วย

มีดนั้นหมายถึงตระกูลเฉิน

ตระกูลเฉินเริ่มจากธุรกิจที่ผิดกฎหมาย และเลี้ยงพวกอันธพาลโหดเหี้ยมไว้มากมาย

ว่ากันว่าถึงแม้ตระกูลเฉินจะไม่ใช่ตระกูลร่ำรวยที่สุดในเมืองเฉียนถัง แต่เป็นตระกูลแรกที่ไม่สามารถล่วงเกินได้อย่างแน่นอน

“ไอ้สุนัขสารเลว อาศัยว่าตนเองรับกระสุนแทนเจ้าเทพ! แล้วก็ให้ผมคุกเข่า ตอนนี้เจ้าเทพตอบบแทนบุญคุณของคุณหมดแล้วใช่ไหม?”

“ดูท่าทางคุณแล้ว จะมาประจบคนใหญ่คนโตที่นี่หรือ? และหาโอกาสที่จะทำให้ชีวิตเฟื่องฟูขึ้นไปชั่วพริบตาหรือ? คนอย่างคุณนั้นผมเคยเห็นมามากมายแล้ว”

เฉินเฟิงกล่าวเหยียดหยามและเอื้อมมือไปตบหน้าเย่เซิ่งเทียนเบา ๆ “เพื่อเห็นแก่ความเป็นเพื่อนร่วมชั้น ผมจะให้โอกาสคุณคุกเข่าและยอมรับผิด และต่อไปก็เป็นสุนัขรับใช้ผมด้วยความซือสัตย์ และผมจะไว้ชีวิตคุณ!”

เย่เซิ่งเทียนสะบัดมือออกและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไสหัวออกไป”

“ไอ้สุนัขสารเลว ในเมื่อพูดด้วยดี ๆไม่ยอมทำตาม ก็คงต้องใช้กำลังบังคับ”

สีหน้าของเฉินเฟิงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และกล่าวด้วยความโมโหว่า “ไอ้สุนัขสารเลว ผมให้โอกาสคุณแล้ว แต่คุณไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี คุกเข่าลงแล้วเลียรองเท้าของผมให้สะอาด ผมยังสามารถไว้ชีวิตคุณได้”

หวางซีกลัวจะเกิดเรื่อง จึงดึงเย่เซิ่งเทียนและกล่าวว่า “พวกเราเข้าไปข้างในเถอะ”

เฉินเฟิงขวางหวางซีเอาไว้ กลืนน้ำลายและกล่าวว่า “ไม่คุกเข่าก็ได้ ภรรยาของคุณสวยขนาดนี้ ถ้านอนกับผมหนึ่งคืน ผมอาจพิจารณาไว้ชีวิตของคุณได้”

“คนที่ดูหมิ่นคุณเย่ ให้อภัยไม่ได้”

ทันใดนั้น มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมา แล้วเตะไปที่เข่าของเฉินเฟิง

กรอบแกรบ

ขณะที่เฉินเฟิงร้องเสียงดัง เข่าอีกข้างก็ถูกเตะจนกระดูกแตกหัก

ขาทั้งสองข้างของเขาเกือบจะหักในเวลาเดียวกัน และทันใดนั้นเขาก็คุกเข่าลงต่อหน้าเย่เซิ่งเทียน

คนรอบข้างต่างอกสั่นขวัญหาย

ไม่นึกว่าคุณชายเฉินจะถูกทำร้าย!

ใครกันแน่?

ช่างกล้าจริง ๆ ไม่กลัวตระกูลเฉินจะแก้แค้นคืนหรือ?

เวินเฉินนั่นเอง

มารับเย่เซิ่งเทียนโดยเฉพาะ

ขาทั้งสองข้างของเฉินเฟิงหัก และยังไม่ทันมองว่าใครเป็นคนที่ทำเตะขาตนเองจนหัก เขาด่าด้วยความเจ็บปวดว่า “แม่งฉิบหาย กล้าทำร้ายผม ผมจะฆ่าล้างตระกูลของคุณ ผมจะทำให้พวกคุณ ……”

เย่เซิ่งเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ปากของเขาเหม็นเกินไป ไม่อยากเห็นเลือด”

เวินเฉินตบไปที่ปากของเฉินเฟิง ทำให้เฉินเฟิงไม่ทันได้พูดข่มขู่ เขากำลังจะอ้าปากและคายฟันที่เปื้อนเลือดออกมา แต่เวินเฉินปิดปากของเขาเอาไว้ แล้วบังคับให้เขากลืนเลือดและฟันลงไป

“คุณเย่บอกว่า ไม่อยากเห็นเลือด”

โหดเหี้ยมจริง ๆ

มีคนกลืนน้ำลายด้วยความสยดสยอง

เขาคือคุณชายใหญ่ตระกูลเฉินเชียวน่ะ แต่นึกไม่ถึงว่าจะถูกทำร้ายจนเป็นสภาพเช่นนี้

“เย่เซิ่งเทียน ผมผิดไปแล้ว ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วยเถอะ พวกเราเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นนะ”

ขณะนี้ เฉินเฟิงถึงได้รู้ว่าเป็นเลขาเวิน ดังนั้นเขาจึงเริ่มร้องไห้และเริ่มขอความเมตตา “เลขาเวิน ยกโทษให้ผมด้วย ผมผิดไปแล้ว ต่อไปผมจะไม่ด่าเย่เซิ่งเทียนอีกแล้ว ผมจะเลียรองเท้าให้เย่เซิ่งเทียน”

หลังจากนั้น เฉินเฟิงคลานไปเลียรองเท้าของเย่เซิ่งเทียน!

“คุณไม่คู่ควร”

เย่เซิ่งเทียนเตะเฉินเฟิงกระเด็นออกไป

เวินเฉินหันหน้าไปทางเย่เซิ่งเทียนด้วยความนอบน้อมว่า “เชิญคุณเย่ และคุณหวางซี”

เย่เซิ่งเทียนกล่าวกับหวางซีด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ซีเอ๋อร์ พวกเขาเข้าไปข้างในกันเถอะ”

เฉินเฟิงที่ล้มอยู่บนพื้นและอาเจียนออกมาเป็นฟอง เมื่อเห็นว่าเวินเฉินแสดงความเคารพเย่เซิ่งเทียนเป็นอย่างมาก

เฉินเฟิงรู้สึกตกใจจนตัวสั่น

เวินเฉินเป็นบุคคลอันดับสองรองลงมาจากเจ้าเทพ เธอเคารพเย่เซิ่งเทียนมากขนาดนี้ หรือว่าบุญคุณที่เย่เซิ่งเทียนมีต่อเจ้าเทพนั้นยังใช้ไม่หมด?

เป็นไปไม่ได้!

ถึงแม้เฉินเฟิงจะเป็นเพลย์บอย แต่เขาไม่ได้เป็นคนโง่เขลา!

ถ้าหากเขาเป็นเจ้าเทพจริง ๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะตอบแทนบุญคุณของเย่เซิ่งเทียนไปตลอด

งั้นมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว!

เย่เซิ่งเทียนคือเจ้าเทพ! !

เฉินเฟิงตกใจจนหน้าขาวซีด นึกถึงจ้าวห้าวที่ถูกทำร้ายจนแขนขาหัก และน้องชายถูกฆ่าตาย แต่ตอนอยู่ในงานแต่งงานนั้นสายตาที่จ้าวห้าวมองเย่เซิ่งเทียนเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความเคารพ ทำให้เขาเข้าใจโดยสิ้นเชิง!

ตอนนั้นเขายืนอยู่ข้างจ้าวห้าว และรู้ถึงความหวาดกลัวในสายตาขอจ้าวห้าว!

ร่างกายของเฉินเฟิงสั่นเทาขึ้นมา

เย่เซิ่งเทียนเป็นเจ้าเทพจริง ๆ ข่าวของสำนักงานจ่งตูนั้นเป็นเรื่องหลอกลวง มันคือหลุดพลางที่ขุดเอาไว้!

และศัตรูของเย่เซิ่งเทียนนั้นมีเพียงตระกูลหมิงเท่านั้น ถ้าข่าวที่เย่เซิ่งเทียนรับกระสุนแทนเจ้าเทพนั้นเป็นเรื่องเท็จ งั้นแสดงว่าเย่เซิ่งเทียนกำลังหลอกลวงตระกูลหมิง!

โอ้สวรรค์ เย่เซิ่งเทียนเป็นเจ้าเทพ ผมล่วงเกินเขาแล้ว! !

ผมล่วงเกินเจ้าเทพแล้ว?

เฉินเฟิงกลอกตาด้วยความตกใจและหมดสติทันที!

“เซิ่งเทียน ถึงแม้ว่าคุณจะช่วยเจ้าเทพไว้ แต่เจ้าเทพก็ได้จัดงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ให้พวกเราแล้ว บุญคุณนั้นได้ถือว่าตอบแทนจนหมดแล้ว ตอนนี้เลขาเวินยังช่วยพวกเราขนาดนี้ พวกเราต้องจำน้ำใจไมตรีของเขาไว้ แล้วพวกเราค่อยหาเวลาเชิญเลขาเวินไปทานข้าวสักมื้อ”

หวางซีกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

เย่เซิ่งเทียนยิ้มเมื่อได้ยินประโยคนี้ “เลขาเวินชอบต่อสู้กับความอยุติธรรม แต่วันนี้เฉินเฟิงเป็นคนมาหาเรื่องเอง ถ้าซีเอ๋อร์อยากจะขอบคุณเธอ งั้นค่อยหาโอกาสเชิญเธอไปทานข้าว”

หวางซีพยักหน้า

น้ำใจไมตรีของคนนั้นมันมีไว้สำหรับทั้งสองฝ่าย แต่การอ้างบุญคุณแล้วบังคับให้เขาตอบแทน! จะกลายเป็นศัตรูเท่านั้น

เธอมองผู้คนที่มาประกวดราคา

การที่ตระกูลเหล่านี้สามารถเข้าร่วมการประกวดราคาได้ อย่างน้อยต้องเป็นตระกูลระดับกลางขึ้นไปของเมืองเฉียนถัง

ผู้ที่มีมูลค่าทรัพย์สินน้อยกว่าหนึ่งพันล้านจะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วม

หวางซีรู้สึกไม่สบายใจเมื่อนั่งอยู่ท่ามกลางคนชนชั้นสูงเหล่านี้

“การที่เจ้าเทพมาเมืองเฉียนถังนั่นถือเป็นเกียรติสำหรับเมืองเฉียนถังแล้ว และไม่นึกว่าการมอบของขวัญในงานแต่งงานคราวที่แล้วจะเป็นคนมอบผิดคน คราวนี้ผมได้เตรียมของขวัญที่ล้ำค่าไว้แล้ว มิฉะนั้นจะเป็นการไม่ให้เกียรติเจ้าเทพ”

“ใครบอกว่าไม่ใช่ล่ะ? ไม่คิดว่าเจ้าเทพจะจัดแต่งงานเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ เจ้าเทพเป็นคนที่มีน้ำใจไมตรีและศีลธรรมจริง ๆ แต่เย่เซิ่งเทียนเป็นคนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี! คราวนี้ผมได้นำของที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเป็นของขวัญ แล้วพวกคุณเตรียมอะไรเป็นของขวัญ?”

“ผมเตรียม……”

เมื่อได้ยินการสนทนาของผู้คนที่อยู่รอบข้าง หวางซีรู้สึกประหม่าจนเกือบร้องไห้ และกระซิบว่า “ฉันให้คุณเตรียมของขวัญมา ตอนนี้เป็นไงล่ะ มีแต่พวกเราที่ไม่เตรียมของขวัญมา แล้วควรจะทำอย่างไรดี?”

“หวางซี?”

อู๋เจิงหยง คุณชายใหญ่ตระกูลอู๋ เห็นหวางซีและเย่เซิ่งเทียนอย่างรวดเร็ว และเดินไปด้วยท่าทางที่ไม่เป็นมิตร

“ตระกูลหวางของพวกคุณเป็นเพียงตระกูลระดับสามเท่านั้น ซึ่งไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะเข้าประตูด้วยซ้ำ แล้วพวกคุณเข้ามาได้อย่างไร?”

หนานกงหยู่ คุณชายใหญ่ตระกูลหนานกงจิบชา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ “คงจะอ้างบุญคุณของเจ้าเทพอีกครั้งอย่างไร้ยางอาย? แค่รับกระสุนแทนเจ้าเทพเท่านั้น ซึ่งมันถือเป็นเกียรติ! นึกไม่ถึงว่าจะอ้างบุญคุณแล้วบังคับให้เขาตอบแทน! ช่างไร้ยางอายจริง ๆ”

มีคนกล่าวอีกว่า “เจ้าเทพถือเป็นบุคคลสำคัญที่สุดของต้าเซี่ย การที่สามารถรับกระสุนแทนเจ้าเทพนั้นถือเป็นวาสนาที่สั่งสมมาแปดชาติ อีกอย่างเจ้าเทพได้จัดงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ให้พวกเขาแล้ว ไม่มีบุญคุณอะไรที่ตอบแทนไม่หมดหรอก? ตอนนี้อาศัยชื่อเสียงของเจ้าเทพเข้ามาในงานประกวดราคาอีก พวกคุณอยากรนหาที่ตายหรือ?”

คำพูดของคนพวกนั้นเต็มไปด้วยความถากถาง ทำให้หวางซีรู้สึกละอายใจ

ใบรับรองคุณสมบัตินั้น ได้มาจากการความสัมพันธ์ของเจ้าเทพจริง ๆ จึงทำให้เธอรู้สึกขาดความมั่นใจ

หวางซีกัดริมฝีปาก นิ้วมือเปลี่ยนเป็นขาวซีด

“เป็นอย่างที่คาดไว้ อาศัยชื่อเสียงของเจ้าเทพซ้ำแล้วซ้ำเล่า ควรจะถูกลงโทษอย่างไร!”

อู๋เจิงหยงกล่าวด้วยหน้าตาที่ไม่เป็นมิตรว่า “คนที่ไม่รู้จักความละอาย เมื่อก่อนเป็นชู้ และตั้งครรภ์ก่อนแต่งงาน และถูกแห่ประจานไปตามถนน แม้แต่โสเภณียังมีคุณสมบัติจะยืนอยู่ที่นี่มากกว่าคุณเสียอีก!”

“กรุณาให้เกียรติหน่อย พวกเราเข้ามาพร้อมกับเลขาเวิน”

หวางซีโกรธจนน้ำตาเต็มเบ้า

เย่เซิ่งเทียนตบไปที่หน้าของอู๋เจิงหยง และกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “คุณเป็นตัวอะไร จำเป็นต้องอธิบายให้คุณฟังด้วยหรือ?”

อู๋เจิงหยงจับหน้าตนเองด้วยความโมโห และกล่าวด้วยน้ำเสียงดุร้ายว่า “แม่งฉิบหายกล้าทำร้ายผมหรือ? สารวัตรโจว สองคนนี้มาก่อเรื่องอยู่ที่นี่ ซึ่งเป็นการไม่ให้เกียรติเจ้าเทพ รีบจับพวกเขาไปเร็ว”

หนานกงหยู่และคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึง พวกเขาไม่คิดว่าเย่เซิ่งเทียนจะกล้าทำร้ายอู๋เจิงหยง

กล้ามาก่อเรื่องที่นี่?

สารวัตรโจวผู้ซึ่งรักษากฎหมายและความสงบรู้สึกโมโหมาก พาคนมาและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรว่า “คุณสองคน โปรดแสดงใบรับรองคุณสมบัติด้วย ถ้าไม่มีก็เชิญออกไปกับพวกเรา”

“พวกเราจะไปทันที”

หวางซีจับเย่เซิ่งเทียนเอาไว้ ตกใจจนหน้าขาวซีด เธอไม่มีใบรับรองคุณสมบัติ เพราะมันอยู่ที่หวางเปียว

อู๋เจิงหยงกล่าวด้วยน้ำเสียงดุร้ายว่า “ทำร้ายผม แล้วคิดจะไปแบบนี้หรือ? ไม่มีใบรับรองคุณสมบัติแล้วยังกล้าเข้ามาก่อเรื่องอีก ซึ่งเป็นการไม่ให้เกียรติเจ้าเทพ พวกคุณคิดว่าจะออกไปได้หรือ?”

เย่เซิ่งเทียนมองสารวัตรโจว กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “คุณลองไปถามดูว่าเย่เซิ่งเทียนจำเป็นต้องมีบัตรเชิญหรือไม่?”

อู๋เจิงหยงหัวเราะเยาะแล้วกล่าวว่า “ฉิบหาย ยังเสแสร้งอีก คุณคิดว่าการรับกระสุนแทนเจ้าเทพครั้งเดียว ก็สามารถเสแสร้งได้ตลอดไปหรือ?”

หนานกงหยู่กล่าวอย่างเย็นชาว่า “สารวัตรโจว จับคนประเภทนี้ไปเลย มิเช่นนั้นจะเป็นการไม่ให้เกียรติเจ้าเทพ!”

เมื่อได้ยินชื่อนี้ สารวัตรโจวตัวสั่นสะท้าน เขาถึงรู้ว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคือเย่เซิ่งเทียน และตกใจจนเกือบล้ม

เย่เซิ่งเทียน

เขาทำงานอยู่ในสำนักงานจ่งตูนั้น รู้ดีว่าเย่เซิ่งเทียนก็คือเจ้าเทพ!

เขาเป็นตำนานที่มีชีวิตอยู่ในใจของคนเช่นพวกเขา!

ไม่คิดว่าเขาจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเจ้าเทพด้วยตาตนเอง!

เพราะพวกเขาเคยเห็นแต่เจ้าเทพที่สวมหน้ากากมหาเทพไว้เท่านั้น!

เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น ถ้ากลับไปบอกพี่น้องพวกนั้น พวกเขาต้องอิจฉาตนเองมากแน่นอน!

“สารวัตรโจว รีบนำสองคนนี้ออกไปเร็ว พวกเขา……”

ก่อนที่อู๋เจิงหยงจะกล่าวจบ สารวัตรโจวที่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ชกไปที่หน้าของเขาและกล่าวด้วยความโมโหว่า “คุณกล้าดูหมิ่นเจ้า……คุณเซิ่งเทียนหรือ? แล้วยังเป็นผู้นำในการก่อเรื่องอีก นำตัวออกไป!”