บทที่ 132จับตาดู หนานหว่านเยียนไว้

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

หนานหว่านเยียนรู้สึกว่ากระดูกทั้งตัวของนางกำลังจะแยกออกจากกัน การผ่าตัดที่มีความเสี่ยงสูง บวกกับที่ถูกกู้โม่หานกลั่นแกล้ง

ถ้าไม่มีการกระทำงี่เง่าของกู้โม่หานที่ยืนกรานจะขี่ม้า นางคงไม่เป็นเช่นนี้

หลังจากลากสังขารกลับมาถึงเรือนเซียงหลิน ในที่สุดก็เห็นอวี๋เฟิงกับเซียงอวี้

อวี๋เฟิงกับเซียงอวี้คงจะกำลังรอนางมาตลอด ทั้งสองนั่งอยู่ที่หน้าประตูเรือนเซียงหลิน และกำลังผล็อยหลับพิงกันอย่างไม่รู้ตัว

หนานหว่านเยียนรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาทันที นางกระซิบบอกพวกเขา “ขอบคุณมาก”

จากนั้นนางก็เดินไปที่ห้องพักด้านข้าง แล้วหยิบผ้าห่มมาคลุมให้ทั้งสองคนอย่างห่วงใย

ทั้งคู่คงจะเหนื่อยแล้ว อย่าเพิ่งปลุกพวกนางดีกว่า

เซียงอวี้ไม่รู้ว่ากำลังฝันถึงอะไรอยู่ นางขมวดคิ้วแน่น นอนพิงไหล่อวี๋เฟิง “พระชายา ไม่นะเจ้าคะ…”

ส่วนอวี๋เฟิงที่กำลังนอนน้ำลายยืด เหมือนจะรู้สึกได้ว่าคนด้านข้างกำลังหวาดกลัว เขาจึงจับมือของเซียงอวี้ไว้โดยไม่รู้ตัว “ไม่เป็นไร พระชายาจะต้องไม่เป็นไรแน่นอน อืม…”

หนานหว่านเยียนรู้สึกแปลกๆ “ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าสองคนจะดูเหมาะสมกันเช่นนี้”

แม้แต่ในความฝันยังฝันเหมือนกัน

นางปิดปากพยายามไม่ให้ตนเองส่งเสียงดังออกมา และยกยิ้มอย่างพอใจพร้อมกับเดินเข้าไปในห้องอย่างเบามือเบาเท้า

ตรงหน้าประตูห้อง เผ็ดกับไม่เผ็ดรีบวิ่งออกมา สะบัดหางต้อนรับหนานหว่านเยียน หนานหว่านเยียนยกยิ้มแล้วพูดปลอบใจพวกเขา จากนั้น นางก็เห็นซาลาเปากอดเกี๊ยวน้อยไว้ ด้วยท่าทางง่วงงุน

เกี๊ยวน้อยยังพอจะมีสติ และกำลังลูบหลังกล่อมซาลาเปาอยู่

ทั้งสองไม่ได้เปลี่ยนมาใส่ชุดนอน ตอนนี้กำลังเอนกายนั่งพิงขอบเตียง ดูเหมือนว่าจะรอนางกลับมานานแล้ว

หนานหว่านเยียนรู้สึกหัวใจบีบรัดจนเจ็บ รู้สึกสงสารจับใจ รีบเดินไปตรงหน้าลูกทั้งสอง

พอเกี๊ยวน้อยเห็นหนานหว่านเยียน ดวงตากลมโตของนางก็เป็นประกาย นางพยายามวางซาลาเปาลงนอนอย่างเบามือ แล้ววิ่งเข้าไปในอ้อมกอดของหนานหว่านเยียน “ท่านแม่กลับมาแล้ว!”

เด็กน้อยพยายามข่มเสียงให้เบาที่สุด แล้วมุดตัวอยู่ในอ้อมกอดของหนานหว่านเยียนอย่างออดอ้อน “คิดถึงท่านแม่ที่สุดเลย!”

หนานหว่านเยียนลูบศีรษะของนางแล้วพูดว่า “แม่กลับมาแล้ว เหตุใดยังไม่นอนกันอีก”

เกี๊ยวน้อยมองไปทางซาลาเปาจากนั้นก็แก้มป่องพูดกับหนานหว่านเยียน “ไม่มีท่านแม่! พวกข้านอนไม่หลับ ซาลาเปาง่วงมาก ก็เลยนอนหลับสักพัก”

หนานหว่านเยียนรู้สึกตื้นตันใจมาก นางอุ้มเกี๊ยวน้อยเดินไปหาซาลาเปา

ซาลาเปาเหมือนจะรู้สึกได้ถึงบางอย่างในขณะที่กำลังนอนหลับ เปลือกตาของนางเริ่มขยับ มุมปากของนางยกยิ้ม “ท่านแม่ ท่านแม่กลับมาแล้วหรือ”

หนานหว่านเยียนยกยิ้ม และพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “แม่อยู่ตรงนี้แล้ว”

ซาลาเปามุดศีรษะเข้าไปในอ้อมกอดของหนานหว่านเยียน แล้วสูดดมกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์จากร่างกายของหนานหว่านเยียน “ท่านแม่กลิ่นหอม…”

นางพูดอย่างสะลึมสะลือ เสียงพูดเบาจนได้ยินไม่ชัด พูดไปพูดมาก็เผลอหลับไป

เกี๊ยวน้อยมองไปที่ซาลาเปา จากนั้นก็ทำแก้มป่องอย่างโมโหใส่หนานหว่านเยียน และพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านแม่ ท่านดูเหนื่อยมาก คนใจร้ายนั่นให้ท่านแม่ทำงานหนักใช่หรือไม่”

หัวใจของหนานหว่านเยียนรู้สึกอบอุ่น นางกอดเกี๊ยวน้อยไว้ แล้วพูดว่า “แม่ไม่เป็นไร กู้โม่หานแค่ขอให้แม่ไปร่ายเวทมนตร์ เกี๊ยวน้อยไม่ต้องห่วงนะลูก”

ไม่มีอะไร ที่จะมีความสุขไปกว่าการที่รู้สึกถึงความอบอุ่นของลูกสาวทั้งสองคนนี้อีกแล้ว

นางลูบหลังสองพี่น้องอย่างเบามือ แล้วกล่อมทั้งสองนอนหลับด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยน

“ขอแค่พวกเจ้าอยู่สุขสบาย แม่ก็ดีใจแล้ว เด็กดี รอแม่มาทั้งวันแล้ว ลูกคงเหนื่อยแล้ว รีบนอนเถอะ…”

เกี๊ยวน้อยเองก็ง่วงมากแล้ว ท่าทางสะลึมสะลือมาก

แต่นางยังคงหยิบถุงใส่กุ้งที่ปอกเปลือกออกมา แล้วยื่นให้หนานหว่านเยียน

“ท่านแม่ยังไม่ได้กินข้าวหิวหรือไม่ ข้าคุยกับพี่เซียงอวี้ว่ารอท่านแม่กลับมา จะทำอาหารให้ท่านแม่ แต่ท่านแม่ยังไม่กลับมา…”

“ดังนั้นพี่เซียงอวี้จึงบอกว่า ให้ปอกเปลือกกุ้งไว้รอก่อน … ท่านแม่กินกุ้ง ข้าใส่มันไว้ในเสื้อ ยังอุ่นอยู่…”

ในที่สุดเกี๊ยวน้อยก็ทนไม่ไหวอีก ในมือจับถุงใส่เนื้อกุ้งไว้ แล้วผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของหนานหว่านเยียน

หนานหว่านเยียนรู้สึกซาบซึ้งใจมาก

หลังจากได้เป็นแม่มานาน ไม่ว่าหนานหว่านเยียนจะเด็ดเดี่ยวหนักแน่นเพียงใด นางก็ยังได้รับอิทธิพลจากเด็กน้อยสองคนนี้

หนานหว่านเยียนดึงถุงใส่กุ้งออกมาอย่างเบามือ แล้ววางไว้ด้านข้าง ก่อนจะลูบใบหน้าของลูกสาวทั้งสอง

“ไม่เป็นไร อีกไม่นาน พวกเราก็จะไปจากที่นี่ได้แล้ว”

พอคิดถึงความคิดชั่วร้ายที่ไม่ยอมหยุดของกู้โม่หานที่มีต่อเด็กทั้งสอง หนานหว่านเยียนยิ่งรู้สึกไม่วางใจ

กู้โม่หานผู้ชายคนนั้น จะต้องแย่งสิทธิ์การเลี้ยงดูลูกสาวทั้งสองคนกับนางแน่นอน

เรื่องราวจะยืดเยื้อต่อไปไม่ได้แล้ว พรุ่งนี้นางจะต้องเริ่มลงมือ

ขอแค่หยุนอี่ว์โหรวกินยาพูดความจริงเข้าไป แล้วพูดความจริงที่น่าตกใจออกมา ความสนใจของกู้โม่หานจะถูกดึงดูดไป นางถึงสามารถมีชีวิตอย่างสงบกับลูกสาวทั้งสองได้สักระยะ…

ในเรือนเซียงหลิน ไม่มีใครสังเกตเห็น ว่ามีเงาร่างที่คุ้นเคยรีบวิ่งออกจากเรือน

เงาร่างนั้นเดินผ่านประตู แล้วเห็นผ้าห่มที่คลุมเซียงอวี้กับอวี๋เฟิงหล่นอยู่ที่พื้น เขาถอนหายใจออกมา ก่อนจะช่วยพวกเขาคลุมผ้าห่มตามเดิม และเดินตรงไปทางเรือนซีเฟิง

เงาร่างนั้นทำความเคารพความเคารพอย่างนอบน้อม “ท่านอ๋อง”

“หนานหว่านเยียนเป็นเช่นไรบ้าง?” กู้โม่หานมองลงไปที่ชายผู้นั้น แล้วจิบน้ำชา น้ำเสียงของเขาราบเรียบ ชายผู้นั้นตอบเสียงเรียบ “เรียนท่านอ๋อง บ่าวไม่พบข้อมูลที่เป็นประโยชน์เลยขอรับ”

“แต่ว่าพระชายากับคุณหนูทั้งสองรักใคร่ผูกพันกันมากจริงๆ คุณหนูทั้งสองจนถึงเมื่อสักครู่ ยังเฝ้ารอพระชายากลับมา”

“ตลอดหลายวันมานี้ บ่าวสามารถสัมผัสได้ ว่าพระชายาดูแลคุณหนูทั้งสองอย่างดี สายสัมพันธ์ระหว่างพวกนางนั้น ลึกซึ้งมากยิ่งนัก”

กู้โม่หานได้ยินก็ขมวดคิ้วขึ้นมา แววตาของเขาแปลกประหลาด “เด็กสองคนนั้น สบายดีหรือไม่”

ชายผู้นั้นยังคงก้มศีรษะ น้ำเสียงของเขายังคงเคารพนับถือ

“คุณหนูทั้งสองสบายดีขอรับ อีกทั้งยังเป็นเด็กดีมาก ท่านอาจารย์ที่ท่านอ๋องเชิญมาสอนพวกคุณหนูยังชมเชยถึงความเฉลียวฉลาดของพวกนาง ในอนาคตพวกนางจะต้องกลายเป็นผู้มีความสามารถอย่างแน่นอน”

“ในด้านการเล่าเรียนคุณหนูหนานจือจะด้อยกว่าคุณหนูหนานเสี่ยวเล็กน้อย แต่คุณหนูหนานจือเป็นเด็กที่ร่าเริงสดใส กล่าวสั้นๆ ก็คือ คุณหนูทั้งสองมีข้อดีที่แตกต่างกัน”

ชายผู้นี้คุ้นเคยกับเรื่องราวของเกี๊ยวน้อยกับซาลาเปาเป็นอย่างดี มีเหตุผลและรักษาความเคารพ

สีหน้าของกู้โม่หานค่อยๆ อ่อนโยนขึ้น

“ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปได้ จับตาดูหนานหว่านเยียนต่อไป”

“หนานหว่านเยียนมีกระดาษที่สามารถตรวจสอบความสัมพันธ์ทางสายเลือดได้ เจ้าจับตาดูว่ามันอยู่ที่ใด หากเจ้าหาเจอ ก็หาทางเอามันมาให้ได้!”

“ขอรับ บ่าวรับทราบ” หลังจากที่ชายผู้นั้นตอบรับ จากนั้นก็ก้มหน้าลงและเขารีบถอยออกไป

ท่านอ๋องช่างเป็นห่วงคุณหนูทั้งสองยิ่งนัก แม้ว่าเขาจะยังไม่รู้ว่าคุณหนูทั้งสองมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเขาหรือไม่ แต่เขาก็พยายามอย่างดีที่สุด และปฏิบัติต่อพวกนางเหมือนเป็นลูกของตนเอง

คงได้แต่หวังว่า ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นไปในทางที่ดี…