ภาคที่ 3 ตอนที่ 38 อย่างนั้น ก็เท่านี้แล้วกัน

มรรคาสู่สวรรค์

บนผิวน้ำทะเลส่องประกายสีเงิน คล้ายกับดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วน

 

เป็นใครกันแน่ที่จ้องมองข้าอยู่? สีหน้าของหลิ่วสือซุ่ยขาวซีดเล็กน้อย

 

ลำแสงกระบี่แหวกอากาศ วาดเป็นลำแสงสีรุ้งเส้นหนึ่งภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนเบื้องหน้าหน้าผา ก่อนจะตกลงไปบนทะเล ฟันดวงตาสีเงินเหล่านั้นจนแตกสลายไป

 

แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพเดิม

 

หลิ่วสือซุ่ยสุ่ยหายไป ไม่คิดถึงปัญหานี้อีก เขาเดินเข้าไปในห้อง นั่งลงหน้าโต๊ะแล้วเริ่มอ่านม้วนเอกสาร

 

ความจริงชีวิตในลานเมฆนั้นมิได้ต่างจากชีวิตในชิงซานนัก

 

เวลาส่วนใหญ่เขาล้วนล้วนแต่ใช้ในการฝึกวิถีกระบี่ เวลาที่เหลือก็จะใช้ในการคัดลอก จัดระเบียบข้อมูลต่างๆ ของปู้เหล่าหลิน

 

เขานั่งอ่านม้วนเอกสารและบันทึกหยกต่างๆ อย่างเงียบๆ และมีสมาธิ

 

แต่ทว่า ขนตาเขากระดิกเล็กน้อย

 

มีคำสั่งสองสามคำสั่งที่ดูเผินๆ แล้วไม่มีปัญหาอะไร เป็นเพียงการเคลื่อนย้ายกองกำลังธรรมดา ระดับชั้นที่เกี่ยวพันก็มิได้สูงนัก แต่เขารู้สึกว่ามันแปลกๆ

 

ลำแสงเบาบางของไข่มุกราตรีสาดลงไปบนกระดาษ ตัวหนังสือที่เขียนด้วยหมึกดำเหล่านั้นยิ่งดูมืดมิด คล้ายเวลาค่ำคืนก็มิปาน

 

เขาเงยหน้าขึ้นมา มองไปทางท้องทะเลและดวงดาวด้านนอกหน้าต่าง หลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็หยิบพู่กันและกระดาษออกมาเริ่มเขียน

 

ตัวหนังสือที่เขียนลงไปบนกระดาษเรียบง่าย แต่หลักเกณฑ์ที่แอบซ่อนอยู่ในนั้นมีเพียงเขาเท่านั้นที่อ่านเข้าใจ เหล่านั้นล้วนแต่เป็นการจัดระเบียนและการวิเคราะห์

 

เขามิใช่เด็กชายที่อยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขาคนนั้นแล้ว ภายในใจยังคงใสซื่อบริสุทธิ์ แต่เรียนรู้ที่จะปิดบังตัวเองและใช้วิธีต่างๆ มามองโลกใบนี้

 

คำสั่งที่ดูคล้ายเรียบง่ายสองสามฉบับและข้อความบางอย่างที่มีความเกี่ยวข้อง รวมเข้าด้วยกันแล้วกลายเป็นแผนภาพที่ดูไม่ชัดเจนแต่กลับซับซ้อน

 

ใช้เวลาอยู่ครึ่งชั่วยาม เขาก็วิเคราะห์ออกมาได้ว่าช่วงนี้ปู้เหล่าหลินน่าจะทำเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง แต่นั่นเป็นเรื่องอะไรกันแน่?

 

เขาใช้เวลากับคำถามนี้อยู่นานมาก

 

ในช่วงเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนหลังจากนั้น เขานั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะตลอด พลิกอ่านม้วนเอกสารเหล่านั้นไม่หยุด ใช้ตัวหนังสือและสัญลักษณ์แปลกๆ ในการวิเคราะห์

 

ในตอนที่เขากระหายเขาจะดื่มน้ำเปล่าเล็กน้อย ในตอนที่เขาหิวเขาจะบอกกับตัวเองว่าอีกประเดี๋ยวจะไปหาอะไรอร่อยๆ กินที่เหลาสุรา

 

ในตอนที่ดวงตาเขาเริ่มมีเส้นเลือดปรากฏขึ้นมา ในที่สุดเขาก็ได้ข้อสรุปขั้นต้นออกมา

 

ตอนนี้เขายังมิอาจมั่นใจได้ว่าซีหวังซุนกำลังคิดทำอะไร แต่เขามั่นใจได้ว่าเป้าหมายก็คือคุกสะกดมารในเมืองเจาเกอ

 

ปู้เหล่าหลินคิดจะทำอะไรกันแน่? หรือว่าพวกเขาไปร่วมมือกับเผ่าหมิงแล้วจริงๆ?

 

หลิวสือซุ่ยหยิบกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือขึ้นมา สองมือขยำมันจนกลายเป็นเถ้าถ่าน จากนั้นลุกขึ้นเดินมาที่ริมหน้าต่าง อาศัยความอบอุ่นที่หลงเหลืออยู่บนฝ่ามือนวดใบหน้าของตัวเอง รู้สึกสบายขึ้นเล็กน้อย

 

ด้านนอกหน้าต่างเป็นค่ำคืนและหมู่ดาวใหม่ แต่ยังคงมิต่างอะไรจากเมื่อคืนนี้

 

เขาอยากจะเดินออกไป แต่ก็มิกล้า

 

เขาไม่รู้ว่าซีหวังซุนยังส่งคนมาคอยจับตาดูตนเองอยู่หรือไม่ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือต่อให้ซีหวังซุนเชื่อใจเขา เขาก็ยังรู้สึกว่ามีคนคอยจ้องมองตัวเองอยู่

 

เขาค่อนข้างวิตกกังวล

 

เพื่อเรื่องนี้แล้ว เขายอมเสียสละช่วงเวลาวัยหนุ่มไปสิบกว่าปี ยอมทนแบกรับคำก่นด่าและอันตรายนับไม่ถ้วน

 

ที่เจ็บปวดมากกว่านั้นก็คือการต่อสู้และความรู้สึกพัวพันภายในใจที่ทรมานตัวเขาอยู่ทุกวันทุกคืน

 

เขาได้แต่มองดูปู้เหล่าหลินฆ่าคนทำชั่วตาปริบๆ ต่อให้รู้ล่วงหน้าถึงเป้าหมายที่ปู้เหล่าหลินต้องการลอบสังหารล่วงหน้า เขาก็มิได้แพร่งพรายข้อความนี้ออกไปสู่โลกภายนอก

 

เมื่อคืนเขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะแฝงตัวต่อไป จนกว่าจะหารายชื่อที่แอบซ่อนเอาไว้ลึกที่สุดเหล่านั้นและหลักฐานว่าอีกฝ่ายร่วมมือกับเผ่าหมิงจนพบ

 

แต่ครั้งนี้ เป้าหมายของปู้เหล่าหลินคือคุกสะกดมาร

 

หรือว่าตัวเองจะยังรอต่อไป?

 

ไม่ เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่อาจแบกรับความเสี่ยงนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นการที่ปู้เหล่าหลินพุ่งเป้าไปที่คุกสะกดมารก็เท่ากับเป็นการร่วมมือกับเผ่าหมิง แล้วยังจะต้องรอหลักฐานอะไรอีก?

 

หลิ่วสือซุ่ยมองดูท้องทะเลและดวงดาวในเวลาค่ำคืน นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน แต่ภายในใจกลับพูดว่า “อย่างนั้น ก็เท่านี้แล้วกัน”

 

เขาเดินไปที่กำแพงหิน ปลดผนึกปิดกั้น หยิบเอาบันทึกหยกเหล่านั้นออกมาวางไว้บนโต๊ะ

 

ด้วยข้อมูลบางอย่าง ทำให้เขาวิเคราะห์ได้แต่แรกแล้วว่าไม่สามารถนำเอาบันทึกหยกเหล่านี้ออกไปจากห้องได้ เขาจึงไม่เคยพยายามทำเช่นนั้นมาก่อน

 

เขาพลิกเปิดบันทึกหยกเหล่านั้น แล้วเริ่มอ่านเป็นครั้งสุดท้าย

 

รายชื่อสุดท้ายเข้ามาในหัวสมองของเขา เขาปิดบันทึกหยกลง แล้ววางมันกลับไปที่เดิม ก่อนจะเดินออกจากห้องไป

 

เขาไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาด้วยเลย

 

แหวกเมฆหมอกจนมาถึงเกาะที่มีเสียงคลื่นทะเลซัดสาด หลิ่วสือซุ่ยเดินเข้าไปในศาลเจ้าเทพทะเลที่ผุพังแห่งนั้น ก่อนจะเดินผ่านอุโมงค์ใต้ดินจนมาถึงเมืองไห่โจว

 

เขาและกลุ่มคนเดินผ่านตลาดนัดที่คึกคักวุ่นวายเข้าไปด้วยกัน จากนั้นเดินเข้าไปในเหลาสุราแห่งหนึ่ง

 

เสี่ยวเหอเตรียมอาหารเสร็จเรียบร้อย รอคอยเขาอยู่

 

หลิ่วสือซุ่ยกล่าวขอบคุณ รับเอาตะเกียบมาเริ่มกินข้าว ในระหว่างที่กินมิได้กล่าวอะไรเลย

 

เสี่ยวเหอมองเขาพลางยิ้มเล็กน้อย สายตาดูสงบนิ่ง แต่ภายในใจกลับรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก

 

นางมั่นใจว่าเขามิได้เอาอะไรออกมาจากลานเมฆเลย

 

แต่เหตุใดนางจึงรู้สึกเหมือนเขามาที่นี่เพื่อบอกลาตน?

 

หรือเขาเตรียมจะจากไปแบบนี้ กระทั่งก้อนเมฆก็ไม่เอาไปด้วย?

 

อาหารถูกกินจนหมดเกลี้ยง หลิ่วสือซุ่ยกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ พลางนั่งคุยเล่นอยู่กับนางสักหลายประโยคก่อนจะลุกขึ้นจากไป

 

เสี่ยวเหอมองดูร่างกายเขาหายเข้าไปในกลุ่มคน ภายในใจรู้สึกหงุดหงิดและผิดหวัง

 

นี่ไม่เหมือนกับที่นางจินตนาการเอาไว้ หลิ่วสือซุ่ยมิได้จากเมืองไห่โจวไป

 

เขาเดินผ่านอุโมงค์ใต้ดินเส้นนั้นกลับมาจากศาลเจ้าเทพทะเลเก่าๆ แห่งนั้น จากนั้นจึงใช้ข่ายพลังในเวลายามค่ำคืนกลับมายังลานเมฆ กลับมายังห้องที่เงียบสงบห้องนั้น

 

เขายืนอยู่ริมหน้าต่างมองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนและดวงดาวที่มิได้ต่างอะไรไปจากเมื่อคืนนี้ เอามือลูบท้องที่ปูดนูนขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้ม ดูผ่อนคลายและพึงพอใจ

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลิ่นอายของเสี่ยวเหอ รสชาติของอาหาร หรือว่าอะไรอย่างอื่น

 

……

 

……

 

เมืองเฉาหนานเป็นเมืองหลวงของมณฑลหนานเหอ แล้วก็เป็นเมืองที่มีประชากรเยอะที่สุดในดินแดนทางใต้ของแผ่นดินเฉาเทียน ยิ่งไปกว่านั้นยังอยู่ใกล้ชิงซานอย่างมาก ดังนั้นจึงเป็นศูนย์รวมของความร่ำรวยจำนวนนับไม่ถ้วน

 

ความร่ำรวยเช่นนี้ย่อมไม่มีทางปล่อยให้เรือนเป่าซู่ยึดครองไปคนเดียวได้ อันที่จริงนับแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบัน ในด้านตำแหน่งความร่ำรวย เรือนเป่าซู่มิได้อยู่ในอันดับต้นๆ

 

ผู้ที่ควบคุมความร่ำรวยที่แท้จริงคือตระกูลสิบกว่าตระกูลที่มีความสัมพันธ์กับยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานมาอย่างยาวนาน หนึ่งในนั้นคือตระกูลกู้

 

ตระกูลกู้มีทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก มากจนถึงขนาดที่ว่าบางครั้งคนในตระกูลก็จำมิได้แล้วว่าร้านค้าไหนเป็นของตระกูลตนเอง

 

อย่างเช่นร้านที่ขายแต่อาหารทะเลที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง

 

ในรุ่งเช้าวันหนึ่ง ร้านค้าแห่งนั้นได้ส่งปลาทะเลไปยังเรือนเก่าของตระกูลกู้หนึ่งคันรถ ในนั้นมีปลาตัวใหญ่ตัวหนึ่งถูกส่งเข้าไปในครัวเล็กๆ

 

ที่น่าแปลกก็คือปลาตัวนี้มิได้ถูกนำไปนึ่ง มิได้เอาไปผัดซอส แล้วก็มิได้เอาไปทำเป็นอาหารดิบ หากแต่ถูกส่งไปขึ้นโต๊ะอาหารของท่านผู้เฒ่าทั้งตัวแบบนั้น

 

ท่านผู้เฒ่ารับเอามีดสีเงินเล่มเล็กเล่มหนึ่งมาจากผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน จากนั้นกรีดเปิดท้องปลาด้วยตัวเอง ก่อนจะล้วงเอาไข่มุกขนาดเท่ากำปั้นออกมาจากด้านในตัวปลาเม็ดหนึ่ง

 

เมื่อรับรู้ได้ถึงพลังวิญญาณอันเบาบางที่แฝงอยู่ในไข่มุกเม็ดนี้ ผู้นำตระกูลจึงกล่าวออกมาอย่างประหลาดใจว่า “ต่อให้ไข่มุกหยวนชี่เม็ดนี้จะมีคุณภาพไม่เลว แต่เหตุใดจึงต้องระมัดระวังถึงเพียงนี้?”

 

สายตาของท่านผู้เฒ่าดูขุ่นมัว เหลือบมองเขาเล็กน้อยพลางกล่าว “ท่านอาจารย์เซียนจัดการธุระ ไหนเลยต้องให้เจ้าและข้ามานั่งวิจารณ์? รีบเก็บให้เรียบร้อย แล้วส่งเข้าไปในเขา”

 

……

 

……

 

หลังจากนั้นสามวัน หีบจากเมืองเจาเกอใบหนึ่งได้ถูกส่งขึ้นไปยังยอดเขาเหลี่ยงว่าง

 

เมื่อเห็นตราสัญลักษณ์ที่อยู่บนหีบ สีหน้าของกู้หานแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารีบแจ้งไปยังกั้วหนานซาน

 

เหล่าศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงมาที่นี่อย่างรวดเร็ว จากนั้นใช้ผนึกปิดกั้นปิดปากถ้ำเอาไว้

 

สายตาของทุกคนมองไปบนหีบใบนั้น

 

“นี่คือตราสัญลักษณ์ในตระกูลข้า ของนี้ถูกส่งมาจากทางตะวันตก”

 

กู้หานมองกั้วหนานซานพลางกล่าว “เจ้าเข้าใจความหมายของข้า”

 

กั้วหนานซานมองดูหีบใบนั้นพลางกล่าว “แต่นี่เขาหมายความว่าอย่างไร?”

 

กู้หานกล่าว “ไข่มุกอยู่ข้างใน”

 

กั้วหนานซานตกใจ กล่าวว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร?”

 

………………………………………………………………………