ภาคที่ 3 ตอนที่ 39 ไข่มุกแห่งความรัก

มรรคาสู่สวรรค์

โหยวซือลั่วและเจียนหรูอวิ๋นสบตากัน ในใจครุ่นคิดว่าสิ่งที่อยู่ในหีบมันคืออะไรกันแน่?

 

หลายปีนี้โหยวซือลั่วเก็บตัวฝึกวิชาอยู่ตลอด ไม่รู้รายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เจี่ยนหรูอวิ๋นมีส่วนเกี่ยวข้องแค่ตอนไปยังแม่น้ำจั๋ว ไม่รู้รายละเอียดในเรื่องนี้

 

กู้หานใช้กระบี่กรีดนิ้วมือของตน จากนั้นหยดเลือดลงไปบนตราสัญลักษณ์บนหีบ

 

เสียงหวึ่งๆ ดังขึ้น ตราสัญลักษณ์ที่ทำขึ้นมาจากโคลนทองค่อยๆ ละลายเมื่อเจอกับเลือด

 

ทุกคนยิ่งรู้สึกสงสัยว่าของที่อยู่ในหีบคือสิ่งใด

 

หีบเปิดออก กู้หานหยิบเอาไข่มุกขนาดประมาณกำปั้นออกมาเม็ดหนึ่ง ไอพลังวิญญาณที่เบาบางแผ่กระจายออกมา

 

นี่ืคือไข่มุกหยวนชี่ที่คุณภาพดีอย่างมากเม็ดหนึ่ง แต่เหตุใดถึงทำให้ตระกูลกู้ต้องระมัดระวังถึงเพียงนี้?

 

กู้หานหยิบเอาไข่มุกหยวนชี่เม็ดนั้นขึ้นมา ก่อนจะทุบมันลงไปบนโต๊ะหินอย่างไม่ลังเล

 

ทุกคนตกใจ

 

เสียงผัวะทึบๆ ดังขึ้น ไข่มุกหยวนชี่แตกเป็นเสี่ยงๆ เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน

 

มันคือไข่มุกที่มีขนาดเล็กลง รูปร่างกลมดิก ขนาดประมาณไข่ไก่ เปล่งแสงสว่างจางๆ ออกมา ไม่รู้ว่ามันคือของวิเศษอะไร

 

ความจริงของความลับนี้มีเพียงกั้วหนานซานและกู้หานเท่านั้นที่รู้ กระทั่งหม่าหวาก็ยังมิรู้ แต่แน่นอนว่าทางสำนักจงโจวจะต้องรู้อย่างแน่นอน

 

กั้วหนานซานยื่นมือไปรับไข่มุกเม็ดนั้นมา จากนั้นท่องคาถาท่อนหนึ่งเงียบๆ ภายในใจ

 

ลำแสงสิบกว่าสายพลันพุ่งออกมาจากในไข่มุก ตกกระทบลงไปบนผนังหินภายในถ้ำ กลายเป็นภาพที่ดูเลือนราง จากนั้นค่อยๆ ชัดเจนขึ้น

 

นั่นคือใบหน้าของหลิ่วสือซุ่ย

 

ตัวเขาในเวลานั้นยังเป็นเพียงเด็กหนุ่ม ใบหน้าค่อนข้างดำ ในดวงตาที่ใสกระจ่างเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความตื่นเต้น น่าจะกำลังมองดูไข่มุกเม็ดนี้อยู่

 

เมื่อเห็นภาพนี้ กู้หานยิ้มออกมา

 

กั้วหนานซานเองก็ยิ้มออกมา ใบหน้านี้มิได้เห็นมานานแล้วจริงๆ

 

แต่หลังจากนั้น รอยยิ้มของเขาก็ค่อยๆ หายไป

 

เด็กหนุ่มในเวลานั้น ตอนนี้ได้กลายเป็นคนที่เขาจำเป็นต้องฆ่าเสียแล้ว

 

เช่นนั้นเหตุใดถึงต้องส่งไข่มุกเม็ดนี้กลับมาล่ะ?

 

ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ไข่มุกได้ฉายภาพใหม่ขึ้นไปบนผนังหิน น่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา

 

ภาพเหล่านั้นมีท้องฟ้าสีคราม มีมุมหนึ่งของป่าหินบนยอดเขาเทียนกวง แล้วก็มีต้นไผ่สองสามกอที่อยู่ตรงถ้ำของผู้อาวุโสไป๋หรูจิ้ง

 

นี่น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่หลิ่วสือซุ่ยกลับจากแม่น้ำจั๋วมายังชิงซาน

 

ภาพค่อยๆ มืดลง เพราะภายในห้องหินมืดอย่างมาก ไม่มีแสงสว่างใดๆ เล็ดลอดเข้าไปได้

 

ไม่รู้ว่าเป็นคุกกระบี่บนยอดเขาซั่งเต๋อหรือว่าเป็นถ้ำที่ถูกคนลืมเลือนที่อยู่ด้านล่างหน้าผาของยอดเขาเทียนกวง

 

ภาพอันมืดมิดบนผนังหินฉายอยู่เป็นเวลานาน กั้วหนานซานและคนอื่นๆ คิดถึงชีวิตของหลิ่วสือซุ่ยในเวลานั้น ต่างคนต่างพูดอะไรไม่ออก

 

กู้หานถอนใจออกมา “ข้ามตอนนี้ไปเถอะ”

 

กั้วหนานซานสะบัดมือ ภาพบนผนังหินเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความมืดถูกแสงสว่างอันเจิดจ้าเข้าแทนที่ นั่นคือเพลิงที่คล้ายจะเผาไหม้ทุกสรรพสิ่ง

 

เมื่อเห็นภาพนี้ สีหน้าของเจี่ยนหรูอวิ๋นพลันหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย เขาครุ่นคิดถึงเรื่องในตอนนั้น

 

นี่คืองานชุมนุมซื่อเจี้ยนของชิงซาน หลิ่วสือซุ่ยใช้วิชาปีศาจโลหิตใส่ตนเป็นครั้งแรก

 

ภาพบนผนังเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง มาถึงหมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขา ภายในท้องนาที่ถูกถ่ายน้ำเข้าไปจนเต็มสะท้อนภาพท้องฟ้าสีครามและเมฆสีขาว

 

หลังจากนั้นหลิ่วสือซุ่ยก็มายังริมทะเล มองเห็นรูปปั้นเทพที่เก่าแก่องค์หนึ่งภายในศาลเจ้าเทพทะเลแห่งนั้น

 

ภาพหยุดอยู่ตรงนี้ช่วงหนึ่ง

 

สีหน้าของกั้วหนานซานและคนอื่นๆ แปรเปลี่ยนเป็นคร่ำเคร่งอย่างมาก

 

ลำแสงที่ไข่มุกเม็ดนั้นเปล่งออกมาพลันดูจางลง ภาพบนผนังหินกลายเป็นสีขาว อีกทั้งฉายอยู่อย่างนั้นชั่วครู่หนึ่ง

 

กู้หานกล่าว “นั่นมันลานเมฆ”

 

กั้วหนานซานมองดูภาพบนผนัง นิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร

 

ภายในภาพบนผนังมีห้องที่เงียบสงบห้องหนึ่งปรากฏขึ้นมา

 

ภายในห้องมีหน้าต่าง ด้านนอกหน้าต่างมีท้องทะเลและดวงดาว

 

แล้วยังมีโต๊ะตัวหนึ่ง

 

บนโต๊ะมีม้วนเอกสารและบันทึกหยกที่ปรากฏขึ้นมาบ่อยๆ

 

ในม้วนเอกสารเขียนความลับเอาไว้มากมาย

 

บนบันทึกหยกมีรายชื่ออยู่มากมาย

 

บางครั้งภายในภาพจะมีหินโสโครกปรากฏขึ้นมา น้ำทะเลเมื่ออยู่ในกองหินโสโครกกลายเป็นดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วน

 

บางครั้งภายในภาพจะมีมหาสมุทรอันเงียบสงบปรากฏขึ้นมา บนผืนน้ำสะท้อนท้องฟ้าสีครามและเมฆสีขาว แต่กลับไม่พบความเงียบสงบอย่างแท้จริงเหมือนอย่างในหมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขาในตอนแรก

 

บันทึกหยกที่อยู่ในภาพเหล่านั้นพลิกเปิดอย่างรวดเร็ว แทบจะไม่สามารถมองเห็นรายชื่อที่อยู่บนนั้นได้อย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเป็นความตั้งใจของกั้วหนานซาน

 

เขาไม่รอให้ภาพฉายออกมาจนหมดก็เก็บไข่มุกไป

 

ภายในถ้ำตกอยู่ในความมืดชั่วระยะเวลาสั้นๆ จากนั้นจึงถูกส่องสว่างขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

 

แต่ทุกอย่างกลับตกอยู่ในความเงียบเป็นเวลานาน

 

กั้วหนานซานนิ่งเงียบมิกล่าวกระไร

 

กู้หานก้มหน้า

 

เจี่ยนหรูอวิ๋นและคนอื่นๆ รู้แล้วว่าไข่มุกเม็ดนั้นคือสิ่งใด แล้วก็เข้าใจแล้วว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ต่างคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” หม่าหวาถามพึมพำ

 

กู้หานเงยหน้าขึ้นมา กล่าวว่า “เขาทำได้แล้ว”

 

หม่าหวากล่าวขึ้นมาอย่างสงสัย “หรือพวกเราเข้าใจเขาผิดจริงๆ?”

 

เสียงของเจี่ยนหรูอวิ๋นพลันดังขึ้นมา

 

“แล้วถ้าเกิดเป็นกับดักของปู้เหล่าหลินล่ะจะทำอย่างไร?”

 

กู้หานมองไปทางเขาพลางกล่าวว่า “เจ้าหมายความว่าอะไร?”

 

เจี่ยนหรูอวิ๋นกล่าว “ความหมายของข้าง่ายมาก ในเมื่อหลิ่วสือซุ่ยทรยศไปเข้ากับศัตรู แล้วพวกเรายังจะเชื่อใจเขาได้อย่างไร? ภาพนั่นเป็นของจริง แต่เนื้อหาที่อยู่ข้างในนั้นอาจจะเป็นของปลอมก็ได้ อย่างเช่นรายชื่อบนบันทึกหยกพวกนั้น พวกเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคนเหล่านั้นเป็นสายของปู้เหล่าหลินที่แฝงตัวอยู่ในสำนักต่างๆ จริง หรือเป็นคนที่ปู้เหล่าหลินต้องการจะใส่ร้ายป้ายสีกันแน่? หากพวกเราตัดสินใจทำอะไรโดยอาศัยเพียงหลักฐานแค่นี้ มันอาจจะทำให้ผู้บริสุทธิ์จำนวนมากต้องตายได้ ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือโลกแห่งการบำเพ็ญพรตอาจจะวุ่นวายขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ก็เป็นได้”

 

ภายในถ้ำตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

 

เจี้ยนหรูอวิ๋นกล่าวมีเหตุผล

 

หากหลิ่วสือซุ่ยกลายเป็นคนของปู้เหล่าหลินจริงๆ เขาก็สามารถใช้ประโยชน์จากแผนการของยอดเขาเหลี่ยงว่างนี้มาสร้างความวุ่นวายให้กับโลกแห่งการบำเพ็ญพรตได้ ถ้าหากยอดเขาเหลี่ยงว่างยังเชื่อใจเขาอยู่จริงๆ ล่ะก็

 

กู้หานพลันกล่าวขึ้นมา “ข้าเชื่อเขา”

 

เจี่ยนหรูอวิ๋นนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “เจ้าอย่าลืมสิว่าสหายลั่วไหวหนานตายยังไง!”

 

กั้วหนานซานนิ่งเงียบไม่พูดอะไร

 

“พวกเจ้าเคยคิดบ้างไหมว่า หลิ่วสือซุ่ยมีแต่ต้องสังหารลั่วไหวหนาน ถึงจะได้รับความเชื่อใจจากคนระดับสูงในปู้เหล่าหลิน ถึงจะมีโอกาสได้รายชื่อและข้อมูลที่สำคัญขนาดนี้”

 

ดวงตาหม่าหวาหรี่เล็กจนกลายเป็นเส้น

 

เจี่ยนหรูอวิ๋นกล่าว “ดังนั้นเขาเลยปิดบังพวกเราทุกคน ใช้แผนการนั้นสังหารลั่วไหวหนาน? เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? นั่นมันลั่วไหวหนานนะ!”

 

“หยุดเถียงกันได้แล้ว นี่มิใช่เรื่องที่พวกเราจะมีสิทธิ์ตัดสินได้”

 

กั้วหนานซานกล่าว “ประเดี๋ยวข้าจะขึ้นไปยอดเขาเทียนกวง พวกเจ้าอยู่ที่นี่ห้ามไปไหน ใครขัดขืนตาย”

 

น้ำเสียงปกติ แต่ผู้ฟังกลับหวาดกลัวขึ้นมา

 

เรื่องใหญ่แบบนี้ ไม่ว่าจะทำการตัดสินใจหรือเตรียมตัวก็ล้วนแต่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก จำเป็นต้องใช้เวลา

 

ในช่วงเวลานี้หากข้อมูลเล็ดลอดออกไป หลิ่วสือซุ่ยที่อยู่ไกลถึงเมืองไห่โจวจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย แผนการที่ผ่านมาสิบปีก็จะสูญเปล่าไปจนหมด

 

เจี่ยนหรูอวิ๋นและคนอื่นๆ เข้าใจความหมายของเขา จึงรับคำด้วยสีหน้าขึงขัง

 

กู้หานกล่าว “ข้าต้องการรู้เวลาที่จะบุกโจมตีทันที มิเช่นนั้นข้าไม่มีทางแจ้งเขาได้ว่าให้ออกมาตอนไหน”

 

ตอนนี้หลิ่วสือซุ่ยมิอาจออกมาจากเมืองไห่โจวได้ เพราะนั่นจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น

 

จุดที่ยากลำบากที่สุดในการกำจัดปู้เหล่าหลินเป็นไปได้ยากที่จะกำจัดพวกเขาทั้งหมดทีเดียว

 

แต่ถ้าสำนักฝ่ายธรรมดาเปิดฉากโจมตีไปแล้ว แต่หลิ่วสือซุ่ยยังไม่ออกมา เมื่อถึงตอนนั้นก็เป็นไปได้ยากที่เขาจะออกมาอีก

 

“ข้าบอกแล้ว นี่มิใช่เรื่องที่พวกเราจะมิสิทธิ์ตัดสินใจได้”

 

กั้วหนานซานตบไหล่เขา ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากถ้ำไป

 

สีหน้าของกู้หานขาวซีด

 

หากท่านเจ้าสำนักคิดว่าการเสียสละบางอย่างเป็นสิ่งที่คุ้มค้า อย่างนั้นจะทำอย่างไร?

 

หม่าหวาถอนใจ กล่าวว่า “บางทีตัวศิษย์น้องหลิ่วเองก็คงจะรู้ดีว่าการตายต่างหากถึงจะเป็นจุดจบที่ดีที่สุด มิเช่นนั้นถ้ากลับมาแล้วจะอธิบายเรื่องการตายของสหายลั่วไหวหนานอย่างไร”

 

ตอนนี้เชื่อในการวิเคราะห์ของกู้หานแล้ว

 

หลิ่วสือซุ่ยทำเรื่องนั้นได้จริงๆ

 

เพื่อที่จะทำให้ได้รับความเชื่อใจจากปู้เหล่าหลิน เขาถึงขนาดสังหารลั่วไหวหนาน หม่าหวารู้สึกนับถือ ทั้งยังรู้สึกหวาดกลัวด้วย

 

………………………………………………………..