ภาคที่ 3 ตอนที่ 40 กระบี่ท่องทะยาน

มรรคาสู่สวรรค์

แสงดาวตกกระทบลงไปบนทะเลเมฆ เห็นๆ อยู่ว่าเป็นเวลากลางคืน แต่กลับสว่างเสียยิ่งกว่าเวลากลางวัน เหมือนดั่งหิมะ

 

หมู่ดาวที่กระจัดกระจายเต็มทองฟ้าคล้ายดั่งดวงอาทิตย์ที่อ่อนแรงจำนวนนับไม่ถ้วน แผ่นหินมิได้มีเงา เงาที่ปลอกกระบี่ทิ้งไว้บนแผ่นหินก็ดูเลือนลาง

 

หยวนกุยลืมตา อ้าปากเล็กน้อย แสงดาวที่ไร้รูปลักษณ์ค่อยๆ ไหลเข้าไปในปากมันอย่างช้าๆ

 

นักพรตเจ้าสำนักยืนอยู่ริมผา มองดูทะเลเมฆที่อยู่เบื้องล่างพลางกล่าววาจา คล้ายกำลังพูดกับตัวเอง

 

“คนหนุ่มสาวมักจะมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงโลกอยู่บ่อยๆ อาจจะดูไร้เดียงสา แต่ก็น่าพึงพอใจ”

 

“ท่านย่อมไม่มีทางสนับสนุน แต่ข้ามิได้คิดเช่นนี้ เพราะพวกเขามิใช่พวกเรา”

 

“เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้เหมือนพวกเขาจะก่อเรื่องจนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตไปหน่อย”

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ก็คงต้องฝากท่านด้วย จำได้ว่าท่านมีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ทางนั้น”

 

……

 

……

 

บนยอดเขาเสินม่อ แสงดาวเป็นสีขาวเหมือนดั่งหิมะเช่นกัน

 

“ข้าให้อาต้าไปบอกเจ้าแล้วว่าข้าคัดค้านเรื่องนี้ เจ้ามิได้สนใจ แต่ตอนนี้กลับมาไหว้วานข้า?”

 

จิ๋งจิ่วยืนอยู่ริมผา มองดูทะเลเมฆที่หลั่งไหลเหมือนดั่งน้ำตกอย่างเงียบๆ อยู่ครู่ ก่อนจะกล่าวต่อว่า “เจ้ารู้เรื่องความสัมพันธ์ของเจ้าเด็กนั่นกับข้า ให้เขามีชีวิตต่อ”

 

นี่คือการแลกเปลี่ยนเงื่อนไข?

 

จิ๋งจิ่วออกมาจากริมผา

 

กู้ชิงเก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ในกระท่อมหลังเล็กภายในป่า

 

หยวนฉวี่ฝึกกระบี่อยู่ด้านหลังภูเขา

 

เจ้าล่าเยวี่ยรับรู้ถึงฟ้าดินอยู่ริมน้ำตก

 

ไป๋กุ่ยและจักจั่นเหมันต์กำลังนอนหลับ

 

ภายในถ้ำสงบเงียบ

 

ฝ่ามือของเขาวางลงบนผนังหิน ผนังหินที่ดูเหมือนเป็นแผ่นเดียวกันได้แยกเปิดออก เผยให้เห็นอุโมงค์เส้นหนึ่ง

 

เมื่อเดินตามอุโมงค์เข้าไปถึงด้านในสุด ในนั้นกลายเป็นโพรงถ้ำที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ตรงส่วนด้านบนสุดเปิดโล่ง ตรงนั้นต่างหากถึงจะเป็นจุดที่สูงที่สุดของยอดเขาเสินม่อ

 

กระบี่ของเขาในตอนนั้นก็พุ่งขึ้นไปจากตรงนี้ สะบั้นสายฟ้าสวรรค์สายนั้น

 

แสงดาวสาดลงมาจากด้านบนถ้ำ กลายเป็นวงกลมสีเงินวงหนึ่งอยู่บนพื้น

 

จิ๋งจิ่วเดินเข้าไปตรงนั้น นั่งลงขัดสมาธิ จากนั้นหลับตาลง

 

ต้นไม้แห่งเต๋าขยับโดยไร้ซึ่งสายลม

 

จิตจำแนกแห่งกระบี่พุ่งออกไป

 

ดังสนั่นราวสายฟ้า

 

เจ้าล่าเยวี่ยนั่งอยู่บนโขดหินริมบึง

 

จิตจำแนกแห่งกระบี่ของนางสาดกระจายออกไปคล้ายแสงดาว ปกคลุมทุกสรรพสิ่งในระยะสิบลี้ รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงอันสุดแสนมหัศจรรย์อย่างเงียบๆ

 

ทันใดนั้นเอง นางพลันลืมตาขึ้น

 

บนยอดเขามีจิตจำแนกแห่งกระบี่สายหนึ่งพุ่งออกมา

 

จิตจำแนกแห่งกระบี่แฝงไว้ด้วยเจตน์กระบี่ หรือก็คือจิตจำแนกที่ใช้กระบี่ส่งออกมา

 

จิตจำแนกแห่งกระบี่สายนั้นทั้งแข็งแกร่ง ทั้งสะอาดบริสุทธิ์ แม้แต่จิตจำแนกแห่งกระบี่ที่นางฝึกฝนอย่างยากลำบากอยู่บนยอดเขากระบี่ก็ยังมิอาจเทียบได้

 

จิตจำแนกแห่งกระบี่สายนั้นเป็นของจิ๋งจิ่ว

 

จิตจำแนกแห่งกระบี่ตกลงมาบนมือของนางราวน้ำตก

 

สร้อยข้อมือเส้นนั้นสั่นไหวขึ้นมา ส่งเสียงดังหวึ่งๆ

 

เจ้าล่าเยวี่ยมิได้ยื้อแย่งสิทธิ์ในการควบคุมกับจิตจำแนกแห่งกระบี่ของจิ๋งจิ่ว

 

นางรู้สึกใคร่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร

 

สร้อยข้อมือหลุดออกจากข้อมือนาง บินขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน กลับกลายเป็นกระบี่มิคำนึง

 

ลำแสงกระบี่สีแดงส่องสว่างหน้าผา น้ำตกเป็นเหมือนโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ไหลทะลักออกมา

 

ลมพัดขึ้นมา ดอกหญ้าที่อยู่ริมบึงโน้มต่ำตามลม

 

กระบี่มิคำนึงหายไปแล้ว

 

บนท้องฟ้าอันห่างไกลมีจุดสีแดงปรากฏขึ้นมา ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว

 

เจ้าล่าเยวี่ยเหยียบอากาศทะยานขึ้นไป เสื้อผ้าและใต้เท้ามีลำแสงกระบี่ปรากฏขึ้นมาเป็นสายๆ เพียงหนึ่งก้าวก็ไปได้ไกลสิบกว่าจ้าง ไม่นานก็กลับมาถึงยอดเขา

 

เมื่อเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำ นางมองเห็นจิ๋งจิ่วกำลังนั่งหลับตาอยู่ภายใต้แสงดาว

 

กู้ชิงและหยวนฉวี่เองก็รับรู้ได้ถึงการจากไปของกระบี่มิคำนึง จึงมาที่ถ้ำ

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

 

“กระบี่ท่องทะยาน”

 

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว

 

กู้ชิงและหยวนฉวี่สบตากัน รู้สึกตกใจ

 

กระบี่มิคำนึงคือกระบี่หลักของยอดเขาทั้งเก้าของชิงซาน น่าจะสามารถท่องทะยานออกไปได้

 

แต่เหตุใดจิ๋งจิ่วที่อยู่ในสภาวะมิประจักษ์ถึงได้แบกรับการเผาผลาญจิตจำแนกแห่งกระบี่ในระดับนี้ได้?

 

ที่ผ่านมาจิ๋งจิ่วได้สร้างความน่าประหลาดใจให้แก่ทุกคนมามากแล้ว แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกเป็นห่วงอยู่ เพราะในระหว่างที่กระบี่ท่องทะยานจะไม่สามารถถูกคนรบกวนได้

 

แต่ในตอนที่พวกเขามองเห็นไป๋กุ่ยที่นอนหลับอยู่บนตั่งหยกเหมันต์และจักจั่นเหมันต์ที่เห็นได้ชัดว่าตื่นแล้วแต่กลับไม่กล้าออกไปไหนตัวนั้น พวกเขาถึงได้พบว่าตัวเองกังวลมากไป

 

……

 

……

 

เหนือโลกขึ้นไปคือทะเลเมฆ

 

เหนือทะเลเมฆขึ้นไปคือยอดเขา

 

เหนือยอดเขาขึ้นไปคือท้องฟ้า

 

เหนือท้องฟ้าขึ้นไปคือลมรุนแรง

 

เหนือลมอันรุนแรงขึ้นไปคือดินแดนแห่งความว่างเปล่า

 

ในดินแดนแห่งความว่างเปล่าไม่มีอากาศ กระทั่งพลังวิญญาณของฟ้าดินก็ยังสลายหายไปจนหมด

 

หากบอกว่าการที่ผู้บำเพ็ญพรตจะขี่กระบี่ท่องไปบนลมอันรุนแรงนั้นเป็นเรื่องยากลำบากและทุกข์ทรมาน เช่นนั้นดินแดนแห่งความว่างเปล่าก็ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลย

 

—–ผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ในระดับต่ำกว่าขั้นแหวกทะเลนั้นไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้

 

เหนือดินแดนแห่งความว่างเปล่าขึ้นไปคือแดนอัศนีที่น่ากลัวยิ่งกว่า

 

ในแดนอัศนีเต็มไปกว่าพลังอันคุ้มคลั่ง สามารถเกิดสายฟ้าขึ้นได้ตลอดเวลา

 

ถึงแม้จะเป็นยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์ที่บางครั้งขึ้นมาที่นี่เพื่อรับรู้ถึงกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ก็ยังมิกล้ารั้งอยู่นาน

 

กระบี่มิคำนึงออกมาจากยอดเขา แหวกอากาศทะยานขึ้นไป ไม่นานก็เข้าสู่ชั้นที่เป็นลมอันรุนแรง ทิ้งร่องรอยไว้ด้านหลังเป็นหางยาวๆ

 

เมื่ออยู่ในชั้นลมรุนแรง มันยังคงทะยานต่อไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง หลังผ่านไปสิบกว่าอึดใจ เสียงที่ดังสนั่นราวสายฟ้าฟาดดังขึ้นมา ร่องรอยต่างๆ หายไปจนหมด

 

กระบี่มิคำนึงเข้าสู่ดินแดนแห่งความว่างเปล่า ไม่สามารถมองเห็นมันจากบนพื้นดินได้อีก

 

ในดินแดนแห่งความว่างเปล่าไม่มีอากาศ แล้วก็ไม่มีแรงต้าน แล้วก็เป็นสถานที่ที่กระบี่บินบินได้เร็วที่สุด เพียงแต่กระบี่บินที่มีระดับค่อนข้างแย่หน่อยนั้นไม่สามารถแบกรับอากาศอันเย็นยะเยือกของที่นี่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ก็ไม่มีพลังวิญญาณคอยหล่อเลี้ยงกระบี่ด้วย ต่อให้เป็นกระบี่ที่มีระดับสูงก็จะต้องสูญเสีญพลังวิญญาณออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นเศษเหล็ก จากนั้นก็ร่วงตกลงมาบนพื้นดิน

 

กระบี่มิคำนึงเป็นกระบี่ชั้นเซียนของนักพรตจิ่งหยาง ไม่หวาดกลัวความหนาวเย็น แต่ปัญหาเรื่องพลังวิญญาณที่ไหลออกไปจะแก้ไขอย่างไร?

 

ท้องฟ้ายามค่ำคืนค่อยๆ ถอยไป แสงแดดยามเช้าปรากฏขึ้นมา ย้อมน้ำทะเลจนกลายเป็นสีแดง

 

กระบี่มิคำนึงมาถึงด้านบนของมหาสมุทร ความเร็วแปรเปลี่ยนเป็นช้าลง เผยให้เห็นตัวกระบี่ที่หม่นหมอง

 

จู่ๆ มันพลันเชิดหัวบินขึ้นไปยังสถานที่ที่สูงขึ้นไป

 

หลังจากนั้นครู่ใหญ่ กระบี่มิคำนึงก็พุ่งทะลุแนวกั้นที่ไร้รูปร่างเข้าไปในแดนอัศนี!

 

พลังอันบ้าคลั่งทำให้ลำแสงหักเหจนเงาและลำแสงดูสับสนวุ่นวาย ทุกที่ล้วนแต่รับรู้ได้ถึงแรงกดดันอันน่าหวาดกลัว

 

สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นแล้วดับลง สายฟ้าที่มีขนาดใหญ่กว่าต้นไม้ใหญ่สว่างวาบขึ้นมาไม่หยุด กลายเป็นภาพที่ดูเหมือนรั้วอย่างไรอย่างนั้น

 

สายฟ้าที่นี่ไม่รู้ว่าใหญ่กว่าสายฟ้าบนยอดเขาปี้หูตั้งกี่เท่า

 

กระบี่มิคำนึงพุ่งเข้าไปหารั้วที่ก่อตัวขึ้นมาจากสายฟ้าเหล่านั้นอย่างไม่ลังเล

 

เปรี้ยง! สายฟ้าฟาดลงมา เสียงดังกัมปนาท คล้ายกับพายุฝนบนโลกมนุษย์

 

กระบี่มิคำนึงบินผ่านสายฟ้าด้วยความเร็วสูง คล้ายกับนกนางแอ่นทะเลที่กล้าหาญเหล่านั้น

 

……

 

……

 

เสียงวิ้งเบาๆ ดังขึ้น

 

กระบี่มิคำนึงออกมาจากแดนอัศนี กลับมายังดินแดนแห่งความว่างเปล่า

 

ตัวกระบี่ที่ผ่านการชำระล้างจากสายฟ้าดูสว่างไสว บนตัวกระบี่มีเส้นแสงอันเจิดจ้าโอบล้อม พลังวิญญาณกลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง

 

กระบี่มิคำนึงเร่งความเร็วอีกครั้ง ก่อนจะหายลับไปในท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร บนท้องทะเลมีเกาะยักษ์แห่งหนึ่งปรากฏขึ้นมา บนเกาะมีต้นไม้สูงใหญ่หลายพันจ้างอยู่นับไม่ถ้วน ดูแล้วคงจะเป็นเกาะเผิงไหล

 

หลังกระบี่มิคำนึงบินผ่านเกาะเผิงไหล ก็เข้าไปยังแดนอัศนีเพื่อดูซับพลังงานอีกครั้ง จากนั้นจึงเร่งความเร็วขึ้นมาอีก

 

เวลาพลบค่ำ บนผิวทะเลที่ถูกแสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องปรากฏเป็นภาพแปลกประหลาด

 

บนผิวทะเลมีโพรงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาโพรงหนึ่ง น้ำทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนไหลเข้าไปด้านในไม่หยุด ขอบโพรงกลายเป็นน้ำตกขนาดใหญ่

 

โพรงยักษ์นั้นลึกจนสุดประมาณ ไม่รู้ว่าทะลุไปยังที่ใด ถึงแม้จะมองลงไปจากบนท้องฟ้าก็มองไม่เห็นปลายอีกด้านหนึ่งของมัน ดูแล้วช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก

 

หรือว่านี่จะเป็นน้ำวนยักษ์ที่เล่าลือกัน? แดนลี้ลับหมิงเฉวียน?

 

เหตุใดน้ำทะเลจำนวนมากขนาดนี้ไหลลงไปในโพรงยักษ์นั้นตลอดทั้งวันทั้งคืน แต่น้ำทะเลกลับไม่ลดลงเลย?

 

กระบี่มิคำนึงไม่รู้ถึงปัญหาที่กวนใจมนุษย์มานานหลายปีนี้ แล้วก็ไม่มีทางไปคิดถึงปัญหาเหล่านี้ด้วย

 

หลังบินผ่านน้ำวนยักษ์ไป มันก็ไม่ได้เข้าไปดูดซับพลังงานในแดนอัศนีอีก หากแต่เริ่มลดความเร็ว

 

หลังใช้เวลาอยู่นาน กระบี่มิคำนึงจึงลดความเร็วลงมาอยู่ในระดับเดียวกับตอนที่ออกมาจากยอดเขาเสินม่อ

 

ตอนนี้เป็นรุ่งเช้าของวันที่สอง แสงอาทิตย์ยามเช้าปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

 

ด้านหน้ามีแผ่นดินผืนหนึ่งปรากฏขึ้นมา ริมทะเลมีเทือกเขาเทือกหนึ่ง โครงร่างของมันดูคล้ายคนยักษ์กำลังนอนหลับอย่างมาก

 

……………………………………………………..