ตอนที่ 611 วิถีใหม่ Ink Stone_Fantasy
กู่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางความเงียบ
ช่วงเวลานี้ เขามักจะรู้สึกว่าในกายของตนมีบางอย่างที่ผิดแผกไปอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าเขาได้รับพลังที่มากกว่าที่เป็น พลังที่แต่เดิมเป็นของตัวเองอยู่ก่อนแล้ว
โซ่ตรวนบางอย่างในจิตวิญญาณ ในที่สุดแล้วก็ได้รับการปลดปล่อย
กู่ฉิงซานไม่คาดคิดเลยว่า ทั้งคนทั้งร่างของเขาจะจมลงสู่ห้วงแห่งความสงบอันลึกล้ำ
เขารู้สึกว่าจิตใจของเขาไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในทะเลแห่งห้วงสติอีกต่อไป บัดนี้มันกระจายไปสู่ความว่างเปล่าอันไม่รู้จบ
ซึ่งความว่างเปล่าข้างบนที่ว่ามานี้ มันมิใช่ความว่างเปล่าในแง่ของมิติ แต่มันให้ความรู้สึกราวกับจิตวิญญาณได้ถูกปลดปล่อยไปยังปรากฏการณ์ในอีกระดับหนึ่ง
เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า
แสงและเงายักษ์เริ่มเอ่ยปากอีกครั้ง “หวังว่าของขวัญชิ้นนี้จะช่วยให้ได้เป็นนายเหนือของเทพสงครามอย่างแท้จริง”
“ข้าหวังว่าเจ้าจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าปัจจุบัน เพราะในอนาคตภายภาคหน้า อย่างไรเสียจุดสิ้นสุดของโลกเก้าร้อยล้านชั้นย่อมจะมาถึงในสักวันหนึ่ง”
กู่ฉิงซานประสานกำปั้นและกล่าว “ฉันสัญญา”
แสงและเงาร่างยักษ์มิได้เอ่ยตอบสิ่งใด แต่กู่ฉิงซานรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มอยู่
ร่างยักษ์ใหญ่เริ่มที่จะพร่ามัว กลายเป็นเหมือนกับเพียงภาพลวงตา สุดท้ายก็กระจัดกระจาย กลืนหายเข้าไปกับท้องฟ้า
หลงเหลือกู่ฉิงซานเพียงลำพังที่ยังยืนอยู่เหนือทะเลเมฆ ที่เกิดความรู้สึกสับสนอยู่ชั่วขณะ
สำหรับมืออาชีพทุกๆ คนแล้ว พวกเขาจะได้รับการสอนสั่งเกี่ยวกับความจริงตั้งแต่แรกเริ่มของการฝึกฝน
นั่นก็คือ พวกเขาจะสามารถเชี่ยวชาญได้เพียงทักษะเดียวเท่านั้น ทักษะเดียวที่จะสามารถบรรลุความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้ ในขณะที่ความสามารถในการฝึกฝนทักษะอื่นๆ จะลดหลั่นลง จนอยู่ในระดับธรรมดา
นี่คือข้อจำกัดของมืออาชีพอย่างแท้จริง แม้กระทั่งคนที่หลักแหลมอย่างนางเซียนไป่ฮั่ว และได้ทำการศึกษาเรียนรู้ศาสตร์หลายแขนง แต่แท้จริงแล้วเธอก็ไม่สามารถศึกษาพวกมันไปถึงในเชิงลึกได้
แม้ว่าเซี่ยเต๋าหลิงจะครอบครองสกิลเทวะมากมาย แต่สุดท้ายเธอก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ใช้เทคนิคมนตรา
ที่เธอฉกาจฉกรรจ์ที่สุด คือเทคนิคมนตรา
และตอนนี้ โอกาสที่ไม่เคยมีผู้ใดได้รับมาก่อน ก็ได้มาวางอยู่ต่อหน้ากู่ฉิงซานแล้ว!
แสงและเงาของทวยเทพบอกเขาว่า ตนสามารถฝึกฝนในทุกศาสตร์ ทุกแขนงไปได้ถึงในขั้นลึกซึ้ง โดยไม่ส่งผลกระทบต่อวิถีในด้านอื่นๆ ของตน
บอกตามตรงว่าตอนนี้ กู่ฉิงซานก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ในเวลานั้นเอง บนหน้าต่างเทพสงคราม สามเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กก็กะพริบไหวอย่างไม่รู้จบ
“ทวยเทพได้มอบอิสระให้แก่จิตวิญญาณของคุณ”
“คุณหลุดพ้นจากกฎเกณฑ์ขั้นพื้นฐานของโลก มันมิอาจผูกมัดคุณได้อีกต่อไป”
“คุณสามารถตะลุยไปในหลากหลายศาสตร์ หลากหลายแขนง สามารถบรรลุทุกวิถีจนถึงขั้นสูงสุดได้ดั่งใจปรารถนา”
ไม่นานนัก สามบรรทัดตัวอักษรก็หายไป
และอีกไม่กี่บรรทัดตัวอักษรขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นมาแทนที่อย่างรวดเร็ว
“นับจากนี้ไป คุณสามารถฝึกฝนทักษะทุกชนิด ทุกประเภทได้โดยไร้ซึ่งข้อจำกัดใดๆ”
“ระบบค้นพบว่าในอดีต คุณเคยเชี่ยวชาญในทักษะลูกศรและธนู”
“อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่คุณเลือกวิถีแห่งดาบ ก้าวขึ้นสู่นักดาบนิรันดร์ คุณก็ได้ละทิ้งทักษะลูกศรและธนูไปแล้วตามกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์และโลก ดังนั้น ทักษะที่เกี่ยวข้องกับลูกศรและธนูส่วนใหญ่ของคุณจึงหายไป”
“ทักษะลูกศรและธนูหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่คือ ระบำผันผวน(ขั้นกลาง)”
“ระบำผันผวน ‘ขั้นกลาง’ สกิลวิวัฒน์ สามารถยิงลูกศรนับสิบออกไปได้อย่างต่อเนื่องในระยะเวลาสั้นๆ โจมตีคู่ต่อสู้ด้วยลูกศรที่คดเคี้ยวไปในอากาศ มิอาจคาดเดาทิศทางได้”
กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านหน้าต่างระบบเทพสงคราม
ตนที่เดินอยู่บนวิถีแห่งดาบ จะสามารถฝึกฝนทักษะลูกศรและธนูได้จริงๆ หรือ?
มันเป็นไปได้จริงๆ ใช่ไหม?
เขาตบลงในถุงสัมภาระและหยิบคันธนูออกมา
นี่คือธนูยาวที่มีรูปลักษณ์อันแสนเรียบง่าย ยามเมื่อมันอยู่ในมือของกู่ฉิงซาน หากไม่มองจะไม่มีทางรู้สึกถึงตัวตนของมัน
ไม่มีใครสามารถรับรู้ถึงคันธนูนี้ได้ ขณะเดียวกันพวกเขาก็จะไม่สามารถตระหนักได้ถึงเจตนาฆ่าใดๆ ที่คันธนูนี้ส่งออกมา
นี่คือธนูเย่หยู
ในครั้งอดีต ช่วงเวลาที่เขาตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต นักบุญหนิงเยว่ฉานได้มอบมันให้แก่เขา
กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก หลับตาลง และทำสมาธิเล็กน้อย
ดูเหมือนว่า…ตนเองจะยังพอจดจำการใช้งานเกี่ยวกับมันได้ …
แทนที่จะมามัวเสียเวลาคิด กู่ฉิงซานไร้ซึ่งความลังเลอีกต่อไป เขาเหวี่ยงถุงเก็บลูกศรไปสะพายไว้เบื้องหลัง
ผ่อนลมหายใจจนสงบ
สายธนูถูกขึงจนตึงในทันใด
แล้วมันก็ถูกผละออกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับบางสิ่งบางอย่างที่พุ่งออกราวกับสายฟ้าฟาด!
ฟิ้ว!
ได้ยินเพียงหนึ่งเสียงที่ดังขึ้น
แต่กลับปรากฏถึงภาพติดตานับสิบในชั้นอากาศ พวกมันฉวัดเฉวียนคดเคี้ยว ก่อนจะจมหายลงไปในทะเลเมฆอย่างรวดเร็ว
กู่ฉิงซานดึงสายธนูของเขา และผละมันออกอย่างต่อเนื่อง
ระบำผันผวน!
ระบำผันผวน!!
ระบำผันผวน!!!
กลุ่มของลูกศรปรากฏขึ้นราวกับฝนดาวตก เวียนว่ายไปทั่วท้องฟ้า กรีดผ่านสายลม ร่วงตกลงสู่พื้นดิน!
แต่กู่ฉิงซานยังคงไม่หยุด เขาเอื้อมมือไปคว้าจับลูกศร และยิงศรทั้งหมดที่อยู่ในเป้สะพายหลังจนเกลี้ยงในลมหายใจเดียว
เขาหลับตาลง และเริ่มทำการรับรู้อย่างระมัดระวัง
ตนค้นพบว่าจิตแห่งดาบยังคงกระจ่างชัด ไร้ซึ่งผลกระทบใดๆ
เขาคว้าจับดาบขุนเขาเทวะหกโลกา และโบกสะบัดรังสีดาบสีนวลผ่องดั่งจันทร์เพ็ญออกไป
ผลปรากฏว่ามันไร้ซึ่งความล่าช้า หรือเบี่ยงเบนใดๆ
อันที่จริง พลังของรังสีดาบกลับดูจะเพิ่มมากขึ้นยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ กระทั่งความเร็วก็ยังไวขึ้นเล็กน้อย
ซึ่งนี่คงจะเป็นผลมาจากการต่อสู้อย่างยาวนานของกู่ฉิงซาน ที่ทำให้ทักษะดาบของตนเองพัฒนาขึ้น
ดาบก็ยังเป็นดาบ ขณะเดียวกันลูกศรก็ยังเป็นลูกศร
ไร้ซึ่งอุปสรรคหรือสิ่งกีดขวางใดๆ ระหว่างสองทักษะนี้ ทุกอย่างเชื่อมโยงถึงกันอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่กระทบ กระทั่งใดๆ ต่อกัน
“ความรู้สึกแบบนี้…ฉันไม่เคยพบเจอมาก่อนเลย”
กู่ฉิงซานพึมพำ
แม้ว่าสกิลลูกศรและธนูจะหายไปมากแล้ว แต่ตราบใดที่เขาต้องการ เขาก็สามารถเรียนรู้มันได้อยู่แล้วมิใช่หรือ?
ปัจจุบันนี้ เขาสามารถฝึกฝนลูกศรและธนู ฝึกฝนดาบ ฝึกฝนกระบี่ ฝึกฝนธาตุทั้งห้า หรือแม้กระทั่งหวูเต๋ากุ่ยชั่งก็ยังได้
ตราบใดที่มันไม่ส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าของทักษะดาบของตนเอง เขายังต้องกลัวอะไรอีก?
กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับมันอย่างรอบคอบอยู่พักหนึ่ง จึงตบลงในถุงสัมภาระ
เขาหยิบใบหยกขึ้นมา
‘นิกายร้อยบุปผา สกิลเทวะนักสู้ สวรรค์ล่มสลาย’
นี่คือสกิลเทวะนักสู้ที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ในการฝึกฝน แต่น่าเสียดายที่กู่ฉิงซานเกรงว่ามันจะกระทบต่อความก้าวหน้าในทักษะดาบของตนเอง ดังนั้นเขาจึงไม่ไม่คิดที่จะเรียนรู้มัน
เห็นแค่เพียงบนหน้าต่างเทพสงคราม ในส่วนของ ‘วิชายุทธ์เทพสงคราม’ ส่องสว่างขึ้นอย่างรวดเร็ว
บรรทัดแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กปรากฏขึ้น
“หวนคืนไร้ลักษณ์ สกิลเทวะ สวรรค์ล่มสลาย”
“สวรรค์ล่มสลาย ระเบิดพลังที่รุนแรงกว่าเดิมถึงสามสิบเท่า ยามที่ทุบลง พื้นดินจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ล่มสลายลงในที่สุด”
“ไม่มีเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการฝึกฝนเพลงหมัดนี้”
“คำอธิบาย ยิ่งการฝึกยุทธ์ในฐานะนักสู้ของคุณสูงส่งมากเท่าใด เพลงหมัดนี้ก็ยิ่งทรงประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น”
“เนื่องจากคุณไม่เคยฝึกฝนเกี่ยวกับนักสู้มาก่อนเลย ดังนั้นการที่จะเรียนรู้ทักษะนี้ จำเป็นต้องจ่ายหนึ่งพันห้าร้อยแต้มพลังวิญญาณ”
“แต้มพลังวิญญาณคงเหลือศูนย์”
กู่ฉิงซานอ่านคำอธิบายบนหน้าต่างเทพสงคราม ในหัวใจรู้สึกเศร้าเล็กน้อย
เวลานี้ เขาไร้ซึ่งแต้มพลังวิญญาณ
นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นปัญหาอยู่นิดหน่อยแฮะ
จู่ๆ กู่ฉิงซานก็ตระหนักได้ว่าวิถีแห่งตนเองนั้นกำลังเปลี่ยนแปลงไป
เพราะนับตั้งแต่วันนี้ ทุกสิ่งอย่างจะต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ในชั่วพริบตาเดียว เขาได้ค้นพบว่าตนสามารถเรียนรู้ และพัฒนาทักษะในการต่อสู้ศาสตร์ ทุกแขนงได้อย่างไร้ขีดจำกัด
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายสิ่งที่เขาต้องทำ เขาไม่สามารถมาหยุดยืนที่นี่ และคิดเกี่ยวกับมันอยู่เฉยๆ ได้
“มาจัดการธุระที่ต้องทำก่อนดีกว่า แล้วเรื่องนี้ไว้ค่อยคิดเกี่ยวกับมันในภายหลัง”
กู่ฉิงซานถอนหายใจและเรียกสติของเขากลับมา
เขาเก็บธนูเย่หยู และเรียกดาบเช่าหยิน
“เจ้าจงไปบอกลอร่าว่าพวกเธอไม่ต้องหลบซ่อนตัวอีกต่อไปแล้ว”
ดาบเข่าหยินส่งเสียงหึ่งเบาๆ เจาะทะลวงผ่านทะเลเมฆ และจมหายลงสู่มหาสมุทรโดยตรง
ไม่นานนัก
ลอร่า อีเลีย และทหารพิทักษ์คนอื่นๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นบนพื้นน้ำแข็ง
ส่วนกู่ฉิงซานก็บินลงมา
ทุกคนต่างหันซ้ายหันขวา ด้วยลักษณะท่าทีที่ดูประหม่าและตึงเครียด
“แล้วระบบของราชามารเล่า ไปอยู่ที่ไหนแล้ว?” อีเลียเอ่ยถาม
“มันถูกทำลายลงแล้ว” กู่ฉิงซานตอบ
“มันจะถูกทำลายได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่ามันวิวัฒนาการแล้วหรอกหรือ?” อีเลียจี้ถามต่อ
“ผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมดถูกฆ่าตายโดยกษัตริย์ปีศาจและราชาภูตผี เป็นอย่างที่ว่ามาจริงๆ หากระบบไม่มีใครให้ดูแล โชคชะตาสุดท้ายของมันก็มีเพียงถูกทำลายลงเท่านั้น”
กู่ฉิงซานว่าจบ ทุกคนก็หันมองไปทุกทิศทาง
เห็นแค่เพียงพายุหิมะ และพื้นน้ำแข็งอันรกร้าง ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ
“ตายหมดแล้วจริงๆ หรือ?” ทหารพิทักษ์คนหนึ่งกล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่ พวกเขาทั้งหมดตายลงแล้ว เจ้าก็ช่วยยืนยันกันหน่อยซิ”
กู่ฉิงซานก้มลงบนตัวเองและกล่าว
แสงจรัสที่ปกคลุมร่างกายของเขาเงียบงัน ไม่ตอบสนองไปครู่หนึ่ง
มันคือสิ่งประดิษฐ์เทวะโบราณ เกราะของเหล่าทวยเทพ
เกราะเทพอยู่กับเขามาโดยตลอด มันเป็นประจักษ์พยานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด และยังใช้ออกด้วยสกิลตัดขาดเวลา ช่วยเหลือเขาในช่วงข้ามผ่านโทษทัณฑ์อีกด้วย
กู่ฉิงซานส่งผ่านเสียงไปในความคิด “ความลับต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องของทวยเทพ เรื่องของโลกเสาทองแดง เจ้าไม่อาจเปิดเผยได้ หากเจ้าบอกกับลอร่าออกไปแม้เพียงครั้ง อันตรายมากมายก็จักเพ่งเล็งไปที่เธอ ซึ่งนี่ไม่เป็นประโยชน์ใดๆ กับเธอเลย ดังนั้นได้โปรดเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วย”
เวลานี้ เกราะเทพตอบกลับ “เข้าใจแล้ว เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นมันน่าอัศจรรย์ใจมากจนเกินไป และหากแพร่งพรายออกไปก็จะเป็นการนำมาซึ่งปัญหาใหญ่ของเผ่าพันธุ์หนาม”
มันแปรเปลี่ยนเป็นแสงไสว แยกตัวออกจากกู่ฉิงซาน หดตัวเป็นรังสีแสงขนาดเล็ก
“เป็นอย่างที่เขากล่าว ปฏิวัติของราชามารได้ถูกทำลายลงจริงๆ ทุกอย่างจบแล้ว”
เกราะเทพประกาศต่อหน้าฝูงชน
ในช่วงเวลานี้ ไม่มีใครเปล่งเสียงใดออกมาเลย ราวกับว่าพวกเขายังไม่อาจน้อมรับความจริงตรงหน้าได้
ทุกคนมองมายังกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว
ชายผู้นี้ได้ใช้ประโยชน์จากการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ของตัวเอง ติดสินบนปีศาจทุกตนที่คิดจะมาฆ่าเขา และใช้งานพวกมันไปสังหารผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งสองร้อยล้านคนแทน
สองร้อยล้านคนเชียวนะ!?
แม้ว่าเรื่องที่ว่ามานี้จะเกิดขึ้นจริง แต่ทุกคนก็ยังแทบจะไม่อาจทำใจเชื่อได้อยู่ดี
ลอร่าก้าวออกมา คว้าจับมือของกู่ฉิงซานและค่อยๆ กระตุกมัน
แม้จะไร้ซึ่งน้ำตา แต่ดวงตาของเธอก็มีสีแดงเรื่อ ริมฝีปากเม้ม ลังเลไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อยู่สักพัก
กู่ฉิงซานยิ้ม แตะสัมผัสลงบนหัวเธอเบาๆ
“ว่ายังไง?” เขาเอ่ยถาม
“ศัตรูของพ่อ แม่ แล้วก็น้องชายของเรา ยังไม่ได้รับการแก้แค้น…” ลอร่างึมงำเสียงกระซิบ
กู่ฉิงซานจึงอุ้มเธอขึ้น และวางลงบนไหล่เขา
“งั้นตอนนี้ คงได้เวลาแล้วที่พวกเราจะกลับไปหาทริสเต้”
กู่ฉิงซานปลอบประโลมลอร่าอย่างอ่อนโยน
“วางใจเถอะ หนี้เลือดที่ก่อขึ้น ทริสเต้จะต้องชดใช้มันในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน”
…………………………………………….