บทที่ 148 ยังคงเงียบเชียบไร้ชื่อเสียงดังเดิม โดย Ink Stone_Romance
เหมือนดังเช่นที่คุณหนูจวินว่า โรงหมอจิ่วหลิงไม่ได้มีคนแห่แหนมาขอรับการรักษา ยังคงไม่มีคนมาเยือนประตู
หลิ่วเอ๋อร์นั่งเฉยได้ ขอเพียงคุณหนูไม่ร้อนใจนางก็ไม่ร้อนใจ แต่ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วนั่งเฉยไม่อยู่
ชื่อเสียงนี้สร้างไม่ขึ้น
“คุณหนูจวิน ข้ารู้สึกว่าบางทีควรให้ผู้หญิงที่ได้รับการรักษาวันนั้นมอบป้ายอะไรสักอย่างให้” เขาคิดเล็กน้อย มองคุณหนูจวินที่จัดหีบยาเตรียมออกไปข้างนอก “ข้าคิดว่าพวกนางคงไม่ปฏิเสธ”
คุณหนูจวินยิ้ม
“นี่ลำบากผู้อื่นแล้ว” นางว่า
เงินค่ารักษาห้าพันตำลึงยังยอมออก ป้ายอันเดียวจะลำบากหรือ?
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วอึ้ง แต่จากนั้นก็ได้สติกลับมา ยินดีออกเงินแต่ไม่ยินดีป่าวประกาศ นั่นก็คงด้วยโรคนี้ไม่อาจให้คนนอกล่วงรู้
เช่นนี้เอง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีหนทางจริงๆ ได้แต่เพียงร่ำรวยเงียบๆสวมอาภรณ์งามท่องราตรีแล้ว
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ต่อให้ชีวิตนี้รักษาคนป่วยคนนี้เพียงคนเดียว เงินค่ารักษาที่ได้มาก็เพียงพอให้เด็กสาวคนนี้อยู่อย่างไร้กังวลแล้ว
ทว่าพูดไปพูดมา เด็กสาวคนนี้เดิมก็ไม่ได้ขาดแคลนเงิน ต่อให้ไม่หาเงินก็ยังคงใช้ชีวิตได้ไม่กังวลเหมือนกัน
เปิดโรงหมอนี่ท้ายที่สุดยังไงก็เพื่อชื่อเสียง
“ไม่รีบร้อน ไม่รีบร้อน คุณหนูจวินมีความสามารถเช่นนี้จริงๆ ทุกเรื่องไม่ต้องกังวล” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มเอ่ยขึ้น
“ใช่แล้ว ไม่รีบร้อน” คุณหนูจวินว่า สะพายหีบยา ถือกระดิ่งไว้ในมือ เดินออกไปกับหลิ่วเอ๋อร์
เสียงกระดิ่งใสกังวานสะท้อนก้องถนน ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองส่งพวกนางจากไป
ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่วันผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็ยังคงไปสืบมาเงียบๆ ปรากฏว่าได้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นที่พบในตรอกวันนั้นทั้งครอบครัวออกจากเมืองหลวงไปแล้ว
ที่แท้ไม่ใช่คนเมืองหลวงหรือ?
เดิมทียังหวังว่าไม่ประกาศเอิกเกริก แนะนำเผยแพร่ส่วนตัวสักหน่อยก็ยังดี อย่างไรชื่อเสียงของท่านหมอมากมายก็ล้วนเกิดขึ้นจกการคุยโม้ระหว่างบรรดาภรรยาในบ้านเหล่านี้
ครั้งนี้ดีนัก คนถึงกับจากไปเลย เดิมทีเรื่องนี้ไม่มีคนรู้ ก็ไม่มีคนรู้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วส่ายศีรษะ จังหวะเวลาก็คือโชคชะตา แต่ผ่านเรื่องเช่นนี้ไป ทุกวันได้ยินว่าคุณหนูจวินพาหลิ่วเอ๋อร์ไปเดินว่อนบนถนนอีกก็ไม่ร้อนใจแล้ว
เด็กคนนี้แม้ทำการประหลาดไปบ้าง แต่ดูแล้วก็มีความเหมาะสมอยู่
“มานี่สิมา” เขาตะโกน
เด็กรับใช้ด้านนอกประตูเข้ามาทันที
“เอาชานี้ไปชงให้ข้า” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยขึ้น ส่งชาห่อนั้นที่คุณหนูจวินให้ให้เด็กรับใช้
“ผู้ดูแลใหญ่ นี่ของมีชื่ออันใดหรือขอรับ? ทำไมท่านพักนี้ดื่มเจ้านี่อยู่บ่อยๆ” เด็กรับใช้ยิ้มเอ่ยขึ้น
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วตบพุง คุณหนูจวินบอกว่าชานี้รักษาลำคอ เดิมทีเขาไม่ได้ถือจริงจัง แต่หลังดื่มติดต่อกันหลายครั้ง รู้สึกว่าอาการคอแห้งที่ตอนยังหนุ่มส่งของนั่งคุมร้านทำร้ายลำคอเหลือทิ้งไว้ก็ดีขึ้นแล้ว วันนี้กลับไปหลานชายตัวน้อยยังถึงกับยอเขาว่าเสียงน่าฟัง
อายุเท่าเขานี่แล้ว ยังใช้ชาชื่อดังอะไรเสริมหน้าตาอีก ร่างกายดีถึงจะเป็นหน้าตาที่สำคัญที่สุด
“ชานี่แม้ไม่ใช่ของมีชื่อ แต่มูลค่าพันตำลึงทอง” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย
คุณหนูจวินคนนี้เลือกคนรักษา ลงมือค่ารักษาก็ห้าพันตำลึง ยานี่ก็คงไม่ใช่ใครก็ได้มาจากนางได้ ราคาก็คงไม่ถูก
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วฐานะนี้ ดื่มชาพันตำลึงทองก็เหมาะสม เด็กรับใช้ยิ้มถอยออกไป
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วนั่งอยู่ในห้องดื่มชายังคงถอนหายใจเบาๆ
คุณหนูจวินคนนี้มีวิชาแพทย์ที่เก็บเงินได้หมื่นตำลึง คิดวิธีส่งเดชขึ้นมาสักอย่าง ชื่อเสียงที่เมืองหลวงนี่ก็แพร่สะพัดแล้ว ทำไมดันจะต้องทำเช่นนี้เล่า?
ที่แท้นางต้องการสร้างชื่อใช่หรือไม่?
…
ส่วนอีกด้านหนึ่งของถนน ชายหนุ่มหลายคนกำลังจับกลุ่มเดินอยู่
“จางเป่าถัง เรียกเจ้าออกมากินข้าวสักมื้อยากจริงนะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ตบบ่าชายหนุ่มข้างตัว
จางเป่าถังยิ้มบื้อ ไม่รอคำตอบชายหนุ่มคนหนึ่งอีกด้านก็กอดไหล่เขา
“เป่าถังไม่ใช่ป่วยรึ เชื่อฟังคำสั่งหมอไม่อาจดื่มสุรา” เขาหัวเราะเอ่ย
“จางเป่าถังเจ้าป่วยจริงรึ?” คนด้านข้างพากันเอ่ยถาม
จางเป่าถังยังคงพูดไม่ทัน
“แน่นอนว่าป่วยจริง ท่านชายของพวกเราเที่ยงคืนหิ้วหมอสองคนบุกไปสำนักราชองครักษ์เพื่อจางเป่าถัง วันนี้ใครไม่รู้” ชายหนุ่มคนนั้นหัวเราะร่า
เขาพูดจบคนก็มองไปข้างหลัง
“พี่รอง ข้าก็ป่วยนะ” เขากดหน้าอกออกแรงไอเสียสองที
จูจั้นที่เดินอยู่ด้านหลังยกมือคว้าเขา
“งั้นรึ น้องสาวซื่อเฟิ่ง มาให้พี่ชายรักษาเจ้าหน่อยสิ” เขาเอ่ย
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าซื่อเฟิ่งร้องละเว้นด้วยเสียงหลง ชายหนุ่มคนอื่นก็หัวเราะประสาน
พวกเขาห้าคนนี้เสียงดังคึกคักกลบทั้งถนน
คนบนถนนมองชายหนุ่มกลุ่มนี้ เห็นพวกเขารูปร่างกำยำ เสื้อผ้าสีสด บรรยากาศไม่ธรรมดา ก็รู้ว่าเป็นลูกหลานเสเพลของตระกูลใหญ่สูงส่งเหล่านั้นในเมืองหลวง
คนเหล่านี้มีตำแหน่งตกทอดในตระกูล เกิดมาก็มีตำแหน่งขุนนาง โตขึ้นก็กลายเป็นคนเสเพล กินดื่มไม่กังวล ขี่ม้าสู้สุนัข ใช้อำนาจบาตรใหญ่ หาเรื่องด้วยไม่ได้
แต่ตอนนี้ทั้งห้าคนนี้ที่เดินอยู่บนถนนยิ่งมีคนที่มีชื่อมากที่สุดในนั้นอยู่ ชื่อเสียงนี้ยังคงได้มาจากตอนที่ต่อยตีกับองค์ชายสิบสองกลางถนนเมื่อครั้งกระโน้น
เล่ากันว่าตอนนั้นพบหน้ากันที่ลานประลองยุทธ์ องค์ชายสิบสองถูกองครักษ์ที่มีบุตรชายเฉิงกั๋วกงเป็นผู้นำอัดอยู่ฝ่ายเดียวกองอยู่กับพื้น ศึกเดียวสร้างชื่อ
แม้กระทั่งองค์ชายยังกล้าต่อย นอกจากนี้ต่อยเสร็จยังเพียงแค่ถูกครอบครัวตำหนิลงโทษ ฮ่องเต้สักประโยคก็ไม่ตรัส ในเมืองหลวงนี้พวกเขายังมีใครไม่กล้าต่อย
ก่อนหน้านี้ที่คุ้นเคยล้วนเป็นสี่คน จูจั้นบุตรชายเฉิงกั๋วกงเพราะน้อยครั้งนักมาเมืองหลวงจึงไม่อยู่ในนั้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว คนทั้งหมดล้วนไม่แปลกตาสักนิด เหมือนกับเขาอยู่มาตลอด
มองเห็นห้าคนนี้เดินมา คนบนถนนก็พากันถอยหลีก พวกจูจั้นไม่สนใจสักนิด เห็นได้ชัดว่าคุ้นเคยกับการเป็นที่รู้จักเช่นนี้นานแล้ว
“พี่รองจูบอกว่าป่วยไม่มีประโยชน์” ในที่สุดจางเป่าถังก็หาจังหวะพูดได้ หัวเราะเอ่ยว่า “คุณหนูจวินพูดถึงมีประโยชน์”
คุณหนูจวิน?
ดวงตาหงส์ของชายหน่มที่ถูกเรียกว่าซื่อเฟิ่งเหลือบทีหนึ่ง
“คุณหนูหมอเร่คนนั้นหรือ?” เขาเอ่ยถาม มองจูจั้นอีกครั้ง “ช่าง…เชื่อฟังขนาดนี้?”
เขายักคิ้วหลิ่วตาคล้ายหัวเราะแต่ไม่หัวเราะ
จูจั้นเลิกคิ้วทีหนึ่ง แต่ครั้งนี้เขายังไม่ทันพูด จางเป่าถังเอ่ยปากขึ้นมาก่อนแล้ว
“คุณหนูจวินร้ายกาจมาก” เขาว่า “ไหล่ของข้าหลังครั้งสองครั้งก็ไม่เจ็บแล้ว นอกจากนี้อาการไอตอนกลางคืนก็ดีขึ้นด้วย”
จางเป่าถังเป็นคนซื่อ คำพูดของเขาทุกคนล้วนเชื่อ
ซื่อเฟิ่งกึ่งเชื่อกึ่งคลางแคลง
“ร้ายกาจขนาดนี้จริงรึ?” เขาเอ่ยขึ้น มองจูจั้นอีกครั้ง
“ข้าก็แค่เห็นจริงกับตา” จูจั้นเอ่ยขึ้น “พวกเจ้ารู้ว่าตอนข้ามาผ่านหรู่หนาน ข้าพบกับคุณหนูจวินคนนี้ที่นั่น”
นี่เขาพูดว่ารู้จักคุณหนูจวินคนนี้ขึ้นมาเอง
บรรดาชายหนุ่มล้วนมองเขา
จูจั้นครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“วิชาแพทย์ของนางไม่มีปัญหา” เขาเอ่ย
บรรดาชายหนุ่มร้องอ้อ
“อย่างอื่นเล่า?”
“แล้วยังไง?”
บรรดาชายหนุ่มหัวเราะจี้ถาม
ใครสนใจว่าวิชาแพทย์ของนางเป็นอย่างไร เด็กสาวคนหนึ่งวิชาแพทย์เป็นอย่างไรจะทำอย่างไรได้ถึงไหน
ที่เหล่าชายหนุ่มสนใจก็คือการรู้จักกันของหนึ่งชายกับหนึ่งหญิง รวมถึงเรื่องสนุกต่างๆนานาที่เกิดขึ้นเพราะเหตุนี้
“อย่างอื่นข้าจะรู้ได้อย่างไร ข้ากับนางก็ไม่ได้คุ้นเคย” จูจั้นเอ่ยขึ้น
ซื่อเฟิงพาดไหล่ของเขา
“แต่ดูแล้วคุณหนูคนนี้จะคุ้นกับเจ้ามาก” เขาหัวเราะคิกคักเอ่ยขึ้น
จูจั้นหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“ผู้หญิงคนไหนเห็นข้าไม่มาทำตัวสนิทสนมเองบ้าง” เขาเอ่ย “ช่วยไม่ได้ ใครให้ข้าเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนเช่นนี้ ข้าระวังตลอดเวลาก็ยังกันไม่อยู่”
“หน้าไม่อายจริงๆ”
บรรดาชายหนุ่มพากันหัวเราะเอ่ยด่า
กำลังเล่นกันชุลมุนอยู่ จางเป่าถังก็ร้องเอ๋ขึ้นมา
“คุณหนูจวินอยู่ด้านนั้น” เขาเอ่ยขึ้น
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มาจริงๆ บรรดาชายหนุ่มรีบมองไป เห็นเด็กสาวคนหนึ่งกำลังเดินเชื่องช้าอยู่ในตรอกด้านข้างจริงๆ สาวใช้ข้างตัวยกธงอยู่ ยังคงมีเสียงกระดิ่งลอยมา
…
มองเห็นคุณหนูจวินเข้ามา เด็กน้อยผู้ใหญ่ในตรอกล้วนเบนสายตา
วันนี้เรื่องที่มีเด็กสาวคนหนึ่งเรียกตนเองว่าหมอเร่เดินทั่วเมืองทั้งยังเลือกคนไข้แพร่ไปทั่วเมืองแล้ว มองเห็นคุณหนูจวินมา บรรดาเด็กน้อยล้อมล้อเลียน บรรดาผู้ใหญ่ก็บ่ายหน้าสีหน้าดูแคลนชี้มือชี้ไม้
คุณหนูจวินล้วนไม่สนใจ เพียงแค่เดินตัดในตรอกสั่นกระดิ่งเท่านั้น
ฉับพลันนางก็หยุดด้านหน้าผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่คุยเล่นหัวเราะอยู่ มองหนึ่งในนั้น
“ท่านป้าผู้นี้ ข้าเห็นท่านมีลางร้าย” นางว่า
คำพูดนี้ออกมา ผู้หญิงหลายคนที่กำลังคุยเล่นกันอยู่ก็อึ้งไป พวกจางเป่าถังชายหนุ่มที่ตามเข้ามาก็อึ้งไปแล้ว
ลางร้าย?
ซื่อเฟิ่งอดไม่ได้หัวเราะพรืดแล้ว
“คุณหนูจวินคนนี้วิธีรักษาคนแปลกใหม่จริง”เขาเอ่ย
จูจั้นข้างหลังทำหน้ารังเกียจ
บอกก่อนแล้ว ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนปกติ
……………………………………….