บทที่ 147 ค่ารักษาก้อนแรก โดย Ink Stone_Romance
ชาดื่มแล้ว ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วรู้สึกเพียงลำคอแห้งผากเจ็บปวดพริบตาก็สบายขึ้น ในใจในอกปลอดโปร่ง เขาอดไม่ได้ตบหน้าอกเผยรอยยิ้ม
“ชานี้ไม่เลว ไม่เลว” เขาเอ่ยชม
“เอาชาสมุนไพรให้ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสองห่อ หลังจากนี้ใช้ที่บ้านได้ตลอดเวลา” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น
หลิ่วเอ๋อร์ขานรับ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มโบกมือ
“นี่เกรงใจเกินไปแล้ว นี่เกรงใจเกินไปแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องเกรงใจ ครอบครัวเดียวกันไหม” คุณหนูจวินเอ่ย
ครอบครัวเดียวกันสินะ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วบนหน้ารอยยิ้มยิ่งกว้าง
หลิ่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเบะปาก คุณหนูของข้าจะเอาใจใครให้เบิกบาน นั่นยังไม่ใช้เอื้อมมือก็คว้าได้
“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว ท่านถือดีๆ ยาที่คุณหนูของข้าจ่ายให้ นั่นทองพันตำลึงก็หาไม่ได้นะ” นางว่า ส่งชาสมุนไพรที่ห่อดีแล้วมา
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหัวเราะฮ่าฮ่า
“พี่น้องแท้ๆ คิดบัญชีชัดเจน” เขารับชาไป แล้วพูดอีก “เต๋อเซิ่งชางกับโรงหมอจิ่วหลิงพูดใด้ชัดแล้วไม่ใช่ร้านเดียวกัน เงินค่ายาอย่างไรข้าก็ต้องจ่าย”
คุณหนูจวินเปิดโรงหมอจิ่วหลิงที่เมืองหลวง แม้ที่ใช้ล้วนเป็นเงินของเต๋อเซิ่งชาง แต่ประกาศว่าโรงหมอจิ่วหลิงเป็นกิจการของนางเอง ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลฟาง
พวกผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็เข้าใจได้ อย่างไรคุณหนูจวินก็แซ่จวิน ไม่ได้แซ่ฟาง โรงหมอจิ่วหลิงนี่ก็เป็นมรดกของตระกูลจวิน
“ไม่ต้อง เงินของเต๋อเซิ่งชางก็คือเงินของข้า” คุณหนูจวินยิ้มบอก
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว คำพูดของเด็กน้อยน่าสนใจจริงๆ
เขาหัวเราะรับชาสมุนไพรไป
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว” เขาว่าพลางยกเท้าเดินออกไปข้างนอกโดยไม่ทันคิด เดินไปได้ครึ่งหนึ่งถึงได้สติกลับมาโดยพลัน
ไม่ใช่สิ คำพูดของเขายังไม่ทันพูดจบเลยนี่?
ทำไมหัวเราะร่าเดินจากมาแล้ว?
เรื่องหลักยังไม่ได้พูดเลย!
เด็กคนนี้ เกือบถูกนางไล่ไปแล้ว
“คุณหนูจวิน คำพูดที่ข้าเอ่ยเมื่อครู่ ท่านต้องจำไว้” เขารีบปรับสีหน้าเอ่ยขึ้น “ที่นี่แม้เป็นใต้ฝ่าพระบาทฮ่องเต้ แต่ก็มัจฉามังกรปะปน ก่อนอื่นในโรงหมอจำต้องมีพวกพนักงานค้างคืนเฝ้าเวรกลางคืน”
คุณหนูจวินพยักหน้า ตอบว่าได้
“อีกอย่าง กลางคืนไม่ต้องออกไปรักษาแล้ว” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยขึ้น “ท่านเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง อย่างไรก็ไม่เหมือนกับท่านหมอคนอื่น ดึกดื่นเที่ยงคืนเช่นนี้หากเกิดอันตรายขึ้นมาย่อมไม่ดี”
คุณหนูจวินยิ้ม
“ผู้ดูแลใหญ่วางใจ คนที่ข้าออกไปตรวจยามค่ำคืนล้วนเป็นคนที่ข้ารู้จัก” นางเอ่ยขึ้น “อยู่ดีๆ มาเยือนประตูข้าย่อมไม่ไป”
คนที่รู้จัก?
“คนที่รู้จักอะไร?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยถามไม่เข้าใจ
“ข้าไม่ตรวจโรคให้คนตามใจ ไม่ใช่ใครข้าก็จะตรวจ แน่นอนไม่ใช่ใครมาเที่ยงคืนขอให้รักษาข้าล้วนตอบรับ” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น “เมื่อวานคนที่มาขอให้รักษาเป็นผู้หญิงคนนั้นที่ข้าต้องการรักษาอาการป่วย”
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วอึ้ง
“ลางร้าย?” เขาหลุดปากเอ่ยถาม
คุณหนูจวินยิ้ม
ส่วนผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสีหน้าประหลาดใจ
เป็นไปได้อย่างไร? ผู้หญิงคนนั้น…
เขาเพิ่งกำลังจะเอ่ยคำ ด้านนอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
“คุณหนูจวิน”
“ท่านหมอจวิน”
หญิงรับใช้สองนางเดินเข้ามา มองคุณหนูจวินด้านในโถงคุกเข่าดังตึงโขกศีรษะปึงปึง
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วตกใจสะดุ้งโหยง
“นายหญิงของพวกเจ้าไม่เป็นไรแล้วหรือ?” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยถาม
หญิงรับใช้สองนางเงยหน้าพยักหน้ายินดี
“เจ้าค่ะ ไม่เป็นไรแล้ว” พวกนางเอ่ยขึ้น สีหน้ายินดีทั้งยังลำบากใจ
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็จำได้เหมือนกัน หญิงรับใช้สองคนนี้คือคนบ้านนั้นที่คุณหนูจวินขวางบอกว่ามีลางร้ายวันนั้นจริงๆด้วย
หรือว่าเมื่อคืน…
“เมื่อคืนนายหญิงบ้านข้าป่วยกะทันหัน ยังดีพวกนางจำคำพูดที่ข้าเคยพูดได้ ดังนั้นจึงมาเชิญข้าไปรักษา” คุณหนูจวินบอกกับผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว
เช่นนี้หรือ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองหญิงรับใช้สองคนนั้น
“ใช่เจ้าค่ะ ใช่เจ้าค่ะ”
“พวกเราตอนนั้นไม่ฟังคำของคุณหนูจวิน ไม่คิดว่านายหญิงจะป่วยกะทันหันจริงๆ”
“คงรับเคราะห์ร้ายแล้ว”
“โชคดีเหลือเกิน โชคดีเหลือเกินคุณหนูจวินเตือนไว้ บอกเรื่องโรงหมอจิ่วหลิงกับพวกเรา ไม่เช่นนั้นพวกเราก็ไม่มีหนทางรักษา”
หญิงรับใช้สองคนเอ่ยขึ้นตื่นเต้น พลางเช็ดน้ำตา
อ้อ เช่นนี้เอง ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหนักหน้า ถึงกับเป็นเช่นนี้เอง
หากอธิบายลางร้ายเช่นนี้ ก็สมเหตุสมผล
“คนไม่เป็นไรก็ดี” เขายิ้มเอ่ยขึ้น มองคุณหนูจวินท่าทางพอใจ
หญิงรับใช้สองคนนั้นขอบคุณอีกครั้ง หลังจากนั้นก็หยิบกล่องสีสันสวยงามใบน้อยใบหนึ่งออกมาอย่างระมัดระวัง
“คุณหนูจวินนี่คือเงินค่ารักษาที่ตกลงไว้เจ้าค่ะ” พวกนางเอ่ยขึ้น
“ไม่รีบร้อน มั่นใจว่านายหญิงของพวกเจ้าดีขึ้นแล้วค่อยมอบให้ข้าก็ไม่สาย” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยขึ้น
หญิงรับใช้สองคนมองนางสีหน้ายุ่งยากใจมาก
คืนวานคุณหนูจวินผู้นี้ชี้ที่อยู่ของสิ่งของให้ก็หลบออกไป บอกพวกนางว่าหลังรักษาหายดีค่อยส่งเงินค่ารักษามาก็พอ ไม่ได้เอ่ยถามว่าสิ่งใดสักนิด ไม่ได้เอ่ยว่าว่าเรื่องนี่เป็นเรื่องอะไร
ท่านหมอที่รู้จักขอบเขต รักษาโรคได้ ทั้งยังไม่ถามมากหาไม่ง่ายจริงๆ
แต่ครุ่นคิดดูรอบหนึ่ง กับคนตายนางยังสื่อสารได้ เรื่องใดนางไม่รู้อีก
ผิดใจกับท่านหมอได้ แต่ท่านหมอที่สื่อสารกับเทพผีได้ไม่อาจผิดใจด้วยได้
ดังนั้นฟ้าสว่างปุบ นายหญิงที่จัดการอารมณ์ดีแล้วจึงรีบให้คนนำเงินค่ารักษามามอบให้
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้ม แค่ค่ารักษา จะเงินสักเท่าไรเชียว
“โรงหมอจิ่งหลิงก็อยู่ที่นี่ ไม่หนีไปไหน หากเกิดซ้ำ ค่อยมาก็ได้” เขาเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินยิ้มไม่เอ่ยวาจา ยื่นมือรับกล่องสีสันสวยงามมาเปิดออก
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วลูบเคราแย้มยิ้ม
นี่เป็นเงินก้อนแรกที่ได้มาหลังเข้าเมืองหลวงสินะ
คิดถึงตอนแรกตนเองจากหยางเฉิงมายังเมืองหลวงรับหน้าที่ผู้ดูแลใหญ่ เงินก่อนแรกที่กิจการได้รับ ดีใจทั้งคืนนอนไม่หลับจริงๆ
เงินมากเงินน้อยก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือหลักฐานของการเปิดฉากเริ่มต้น
แน่นอนว่าเงินที่เขาได้ก็ไม่นับว่าน้อย ห้าพันตำลึง
เขาคิดพลางกวาดสายตาผ่านๆ ดูตั๋วเงินในกล่องสีสันสวยงามที่ถูกคุณหนูจวินหยิบออกมาทีหนึ่ง
ห้าพันตำลัง
ห้าพันตำลึง!
เขาสูดปากสูดหายใจเสียงดัง เพราะดึงเคราหลุดมาหลายเส้น
ท่านหมอคนไหนรักษาครั้งหนึ่งเก็บเงินค่ารักษาห้าพันตำลึงบ้าง!
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วผู้ดูตั๋วเงินมาหลายสิบปีคนนี้เกิดความคิดว่าตนเองมองตั๋วเงินผิดเป็นครั้งแรก
บ้าไปแล้วจริงๆ
นี่เป็นไปได้อย่างไร?
ส่งหญิงรับใช้สองคนนั้นไปแล้ว ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วไม่สนใจจะจากไปแล้ว มองตั๋วเงินบนโต๊ะที่ถูกคุณหนูจวินวางไว้ส่งๆ สีหน้ายุ่งเหยิง
“คุณหนูจวิน ค่ารักษานี่…มากขนาดนี้เชียว?” เขาเอ่ยถาม
“ใช่สิ” คุณหนูจวินมองเขายิ้มเอ่ยขึ้น “ดังนั้นไม่ใช่โรคอะไรใครก็มาให้ข้ารักษาได้ ต้องดูว่าโรคนี่คุ้มค่ารักษาของข้าหรือไม่”
ค่ารักษาห้าพันตำลึง
นี่ไม่ใช่ใครก็รักษาได้จริงๆ
แต่นี่ใช่บ้าบอไปเกินไปหน่อยหรือไม่?
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองตั๋วเงิน แต่ก็มีคนมาให้นางรักษาจริงๆ นอกจากนี้รักษาหายดีแล้วด้วย
หรือว่าวิชาแพทย์ของคุณหนูจวินร้ายกาจขนาดนี้จริงๆ?
ส่งผู้ดูแลใหญ่หลิ่วที่ในใจเต็มไปด้วยเรื่องให้ขบคิดแล้ว คุณหนูจวินก็สั่งพนักงานร้านว่าวันนี้ยังไม่เปิดประตู พาหลิ่วเอ๋อร์เข้าไปนอน
หลิ่วเอ๋อร์ในอกเต็มไปด้วยความตื่นเต้นทั้งยังหวาดกลัวอยู่บ้าง
“คุณหนู ตอนนั้นท่านมองเห็นผีจริงๆ หรือเจ้าคะ?” นางกดเสียงเบาเอ่ยถาม
คุณหนูจวินยิ้ม
“แน่นอนว่าไม่” นางเอ่ย
หลิ่วเอ๋อร์ร้องอ้าว
“ถ้าอย่างนั้นทำไม…” นางทำหน้าไม่เข้าใจ
ทำไมรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นกลางคืนนอนไม่หลับเพราะเห็นผี
คุณหนูจวินยิ้ม พิงหมอนโบกพัดมองนอกหน้าต่าง
“ข้าเดา” นางว่า
หลิ่วเอ๋อร์ยิ่งตะลึง
“เดาเอา?”
เดาก็เดาอยู่ แต่ไม่ใช่แค่เดาอย่างเดียว
เดามีพื้นฐานจากสิ่งที่รู้ถึงเดาได้
“แม้นางดูไปแล้วกระปรี้กระเปร่าดีนัก แต่ที่จริงแววตาสับสน ฝีเท้าล่องลอย นี่เป็นอาการของการนอนไม่หลับมายาวนาน แต่นางพยายามทำท่าทางกระปี้กระเปร่าปิดบังไว้สุดกำลัง เห็นได้ชัดว่านางไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“มีเรื่องอันใดไม่อาจบอกกล่าวแก่คนได้เล่า ไม่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ลับๆ ของตนเอง ก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดคิด”
โชคดีมาก สองจุดนี้เมียเก็บของควั่งไห่เจิ้นคนนี้ล้วนมีอยู่
ตอนแรกควั่งไห่เจิ้นเกิดเรื่อง นางหนีเป็นอย่างแรก หลังจากนั้นเห็นตระกูลควั่งแม้เสียกำลังไปบ้าง สุดท้ายก็ยังเป็นตระกูลใหญ่ที่มีรากฐาน ผ่านคำสั่งห้ามสามรุ่น ตระกูลก็จะรุ่งเรืองขึ้นมาได้อีกครั้ง ดังนั้นจึงเกิดความคิดอยากให้บุตรชายเข้าตระกูลควั่ง เรื่องที่หนีครั้งนั้นอย่างไรก็ผิดต่อควั่งไห่เจิ้น นี่ก็คือเรื่องที่ไม่ยินดีบอกกับคนตระกูลควั่ง
“กลางวันมีเรื่องขบคิดกลางคืนมีเรื่องให้ฝัน จิตใจอ่อนแอ เห็นสิ่งไม่มีจริง ผนวกกับนอนหลับไม่สบายมานานขนาดนี้ ความเลวร้ายสั่งสมเกิดซ้ำซาก ยิ่งทำให้จิตใจไม่มั่นคง เห็นภาพหลอนง่ายหวาดกลัวง่าย ดังนั้นข้าจึงเดาว่านางเห็นภาพลวงตา” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยขึ้น
หลิ่วเอ๋อร์เหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ แต่นางเดิมทีก็ไม่ใช่เพื่อจะเข้าใจอยู่แล้ว คุณหนูว่าอย่างไรนางก็แค่ฟังไว้อย่างนั้น
“ถ้าอย่างนั้นคุณหนูคาดเดาได้อย่างไรเจ้าคะว่านางต้องการตามหาสิ่งของรวมถึงสิ่งของอยู่ที่ไหน?” นางเอ่ยถามอย่างสงสัย
เรื่องนี้หรือ
คุณหนูจวินมองหลิ่วเอ๋อร์
“เดามั่วน่ะ” นางว่า
หลิ่วเอ๋อร์หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว ไม่รู้สึกแปลกใจสักนิดแล้วก็ไม่รู้สึกว่าถูกตอบขอไปทีด้วย
“ช่างเขาเถอะ อย่างไรคุณหนูก็รักษาอาการป่วยของนางจนหายดีแล้ว นี่ก็แค่มือหนึ่งจ่ายเงินมือหนึ่งรับของ ไม่ขโมยไม่ปล้นไม่หลอก สองฝ่ายยินยอม” นางเอ่ย
คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า
“หลิ่วเอ๋อร์พูดถูกแล้ว” นางยิ้มเอ่ยขึ้น
หลิ่วเอ๋อร์ก็ยิ้มด้วย ดวงตาสุกใส
“ถ้าอย่างนั้นต่อไปโรงหมอจิ่วหลิงของพวกเราก็คงจะชื่อเสียงเลื่องลือเงินไหลมาเทมาได้แล้วสิเจ้าคะ” นางว่า
คุณหนูจวินยิ้ม
“เรื่องนี้ คงจะไม่” นางเอ่ยขึ้น
……………………………………….