บทที่ 326 ร้องขอชีวิต

คู่ชะตาบันดาลรัก

สีหน้าของนายช่างโหวเปลี่ยนไปเล็กน้อย และเขาก็ยิ้มทันที “อันที่จริงหลายปีมานี้ข้ารู้สึกกดดันเมื่อเห็นว่าตนเองกำลังจะตายแล้วเลยอดไม่ได้ที่จะยืดเยื้อเล็กน้อย ยกโทษให้ข้าด้วย”

หมิงเวยพยักหน้า “ข้าเข้าใจ”

นายช่างโหวครุ่นคิดเขามองท่าทีของนางแล้วถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ “แม่นาง ดูจากท่าทางของท่านแล้วท่านมาจากสำนักดั้งเดิมใช่หรือไม่”

“แน่นอน”

นายช่างโหวพูดด้วยจิตใจที่หดหู่คะนึงคิดอย่างใจหาย “ตอนนั้นข้าใช้ชีวิตอย่างคนจรจัด และบังเอิญได้รับสืบทอดเคล็ดวิชามา เดิมทีคิดจะเข้าสำนัก แต่ทุกสำนักต่างบอกว่าพื้นฐานทักษะของข้าไม่ดีอายุของข้ามากไปทำให้ยากที่จะฝึกวรยุทธ์ได้ ข้าถามตัวเองว่าไม่ว่าจะเก่งเคล็ดวิชาแค่ไหน แต่ไม่สามารถฝึกวรยุทธ์ได้ก็เท่านั้น สุดท้ายจึงถูกปฏิเสธข้าเสียใจตลอดชีวิตที่ไม่สามารถเข้าสำนักได้”

“อ้อ”

นายช่างโหวสังเกตจากสีหน้า และคำพูดจึงถามนางอย่างระมัดระวังว่า “หากแม่นางไม่รีบฆ่าข้าช่วยให้เวลาข้าได้เห็นความมหัศจรรย์ของสำนักที่แท้จริงได้หรือไม่ เช่นนั้นแม้ต้องตายข้าก็ไม่เสียใจแล้ว”

หมิงเวยยิ้ม “เหตุใดข้าควรให้เวลาท่านมากกว่านี้ด้วยท่านมีประโยชน์อะไรงั้นหรือ”

นายช่างโหวรีบพูดว่า “เรือนหลังนี้เพิ่งเริ่มสร้างจะต้องมีที่ที่มีประโยชน์บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นข้าพอมีความรู้เคล็ดวิชาเล็กน้อยสามารถเป็นลูกมือให้แม่นางได้ ใช้เวลาไม่นานขอเพียงได้เห็นความมหัศจรรย์ของเคล็ดวิชาข้ายินดีที่จะให้ท่านตัดคอข้าเลย” เขาพูดไปพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ

แม่นางผู้นี้รู้เคล็ดวิชาแล้วอย่างไรพวกเขาบุกมาที่นี่ทั้งกลุ่มมีจำนวนสิบเท่าของศัตรูจะจัดการไม่ได้เลยหรือ รอให้อีกฝั่งต่อสู้เสียก่อนตนค่อยหาทางหลบหนี…

อย่างไรก็ตามข้างนอกในตอนนี้…โจรไม่เคยรู้ว่าช่องว่างระหว่างกองทัพปกติกับพวกหัวมังกุท้ายมังกรนั้นใหญ่มาก

พวกเขาซ่อนตัวอยู่บนภูเขาเหยียนซาน และออกมาปล้นเป็นครั้งคราวซึ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น มีหลายครั้งที่แม้แต่เสบียงอาหารของกองทัพพวกเขาก็สามารถปล้นมาได้ อีกฝ่ายคิดจะล้อมปราบพวกเขาก็มุ่งหน้าขึ้นภูเขาทำให้อีกฝ่ายต้องพ่ายแพ้กลับไป

จากประสบการณ์นี้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองด้อยกว่ากองทัพปกติในเรื่องอาวุธ แต่ตราบใดที่พวกเขามีคนจำนวนมากพวกเขาก็สามารถทำให้อีกฝ่ายตกลงจากหลังม้าได้ แต่ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าความคิดนี้ช่างไร้เหตุผลเสียจริง

ฝ่ายตรงข้ามมีมากกว่ายี่สิบคน สามคนรวมเป็นหนึ่งกลุ่ม และรวมเข้ากันอีกเป็นค่ายกล ระหว่างบุกเข้าและล่าถอย กระบี่ร่ายรำราวกับกำลังเต้นระบำ พออีกฝ่ายกำลังจะโต้กลับศีรษะก็ตกลงพื้นเสียแล้ว

แต่เมื่อเห็นแถวของฝ่ายตรงข้ามเคลื่อนไหว พริบตาเดียวราวลมกรดศีรษะของโจรที่ถูกจัดการถูกแยกออกไปที่อื่นเสียแล้ว แสงสะท้อนกระบี่สั่นไหว โลหิตสาดกระเซ็น เสียงตะโกนแห่งการฆ่าฟันช่างดุร้าย แต่จริงๆ แล้วมันเป็นการเข่นฆ่าเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ล้อมศัตรูด้วยพลังที่เหนือกว่าสิบเท่า เมื่อพวกเขาถูกล้อมรอบก็ถูกกระบี่อันแหลมคมตวัดกลางกายทั้งที่ยังไม่ทันได้โต้กลับ

เมื่อกระบี่หยุดลงพื้นหญ้าแทบจะอาบไปด้วยเลือด

หยางชูถอนหายใจด้วยความโล่งอกและสั่งอาสวนว่า “ยังมีคนหนีรอดไปได้ ค้นหาโดยเร็วอย่าให้พวกมันทำร้ายผู้คน และอย่าปล่อยมันไปแม้แต่คนเดียว”

“ขอรับ” หยางชูหันหลัง และเดินไปที่สถานที่ก่อสร้าง

แต่ยังไม่ทันได้ไปถึงก็ได้ยินนายช่างโหวพยายามใช้วาทศิลป์โน้มน้าวหมิงเวยสุดชีวิต แต่สายตาที่แอบมองอีกด้านหนึ่งอย่างเงียบๆ ได้ทรยศต่อเขาไปแล้ว

“ไม่จำเป็นต้องดูแล้ว!” นายช่างโหวได้ยินเสียงนี้หัวใจของเขาตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม

ในความมืดมิดคุณชายมาพร้อมกับกระบี่ในมือฝีเท้าของเขาแผ่วเบากระบี่ในมือมีเลือดไหลหยดลงพื้นตามทางที่เดินผ่าน คุณชายผู้สูงศักดิ์กลายเป็นจ้าวแห่งการเข่นฆ่าในชั่วพริบตาจิตสังหารของเขารุนแรงมาก

หยางชูยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขาอีกฝ่ายกวาดสายตามองแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกมันตายเกือบหมดแล้วเจ้าอยากตายตามไปด้วยหรือไม่”

“….”

หลังจากเงียบไปชั่วขณะหนึ่งนายช่างโหวก็คุกเข่าเสียงดัง ‘ตุบ’ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ข้าน้อยสมควรตายข้าน้อยคิดว่าแม่นางยังเด็ก ใจอ่อนง่ายจึงคิดอยากหนี…คุณชายโปรดเมตตาข้าน้อยด้วย! ขอเพียงคุณชายไว้ชีวิตข้าน้อยภายภาคหน้าข้าน้อยจะทุ่มเทสติปัญญาเเละความสามารถให้ท่านตราบจนชีวิตหาไม่!”

หยางชูพ่นลมหายใจเขาขี้เกียจที่จะมาสนใจคนต่ำทรามผู้นี้ เมื่อครู่ยังดูเด็ดเดี่ยว และองอาจผึ่งผายมาตอนนี้เอาแต่พูดว่าข้าน้อยๆ

หมิงเวยมองเขาด้วยรอยยิ้ม “คนอย่างข้าน่ะเป็นคนพูดดี แต่ว่าชอบใช้ความชั่วร้ายสยบความชั่วร้ายมากกว่า!”

ทันทีที่พูดจบนายช่างโหวก็เห็นใบมีดบางๆ พุ่งออกมาจากนิ้วมือของนาง เร็วราวดั่งสายฟ้าพริบตาเดียวมันก็พุ่งมายังหน้าอกของเขาทันที เขาก้มศีรษะลง มองกริชที่ปักอยู่ที่หน้าอกด้วยความตกใจ ดวงตาของเขาเบิกกว้างไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันเป็นความจริง

เขากำลังจะตาย ตายเช่นนี้น่ะหรือ

ไม่ ต้องไม่ใช่ความจริง!

เขาไม่อยากตาย ไม่อยากตายจริงๆ!

เมื่อนึกถึงลูกหลานตระกูลอันมีเกียรติตกมาอยู่จุดๆ นี้ได้เพราะอะไรกัน ไม่ใช่เพียงเพื่อช่วยชีวิตน้อยๆ หรอกหรือ เขาสามารถละเลยคุณธรรม สามารถละทิ้งศักดิ์ศรีได้ แม้แต่ชื่อเสียง และความหยิ่งในศักดิ์ศรีก็ถูกโยนทิ้งไปพร้อมกัน

แค่นี้ยังไม่พอหรือเขาแค่ต้องการมีชีวิตอยู่ก็เท่านั้น!

เมื่อความตายกำลังมาเยือนดวงตาของนายช่างโหวคลอไปด้วยน้ำตา ประสบการณ์ในชีวิตนี้แวบเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว รายละเอียดมากมายที่มองข้ามไปก่อนหน้านี้ก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน

ใช่แล้วยามที่เขาก่อเหตุโกงในตอนนั้นเป็นเพราะเขาทำตัวไร้สาระคิดว่าตนเองถูกยกย่องว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถมากถูกผู้อื่นชื่นชมก็เลยเขียนบทความให้ผู้อื่น ผู้ใดจะรู้ว่าจะค้นพบแหล่งที่มาในภายหลังเขาจึงถูกตัดสิทธิ์

นอกจากนี้ยังมีครอบครัวใหญ่ที่ขโมยที่ดินครอบครัวของเขาไปเป็นที่ที่เขาหามาด้วยตนเองเป็นเพราะไม่อาจทนดูกับงานเลี้ยงที่จัดขึ้นอย่างสมเกียรติเขาจึงแอบเขียนกลอนสาปแช่งไว้ที่หน้าประตูกลางดึก…

ต่อมาลูกของเขาล้มป่วย หากเขาไปขอความช่วยเหลือจากมิตรสหายหรืออาจไปขอระดมค่าหมอลูกของเขาก็อาจจะมีทางรอด แต่เขากลับหัวแข็งไม่ยอมก้มหัวให้ผู้ใด

ท้ายที่สุดใจของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ที่แค้นเคืองเป็นปฏิปักษ์ไปทั่วทุกที่ ชักนำผู้อื่นให้บทเรียนแก่เขาจนต้องออกจากบ้านเกิดไป

แม้เป็นเช่นนี้เขาก็อาศัยความสามารถของตัวเองเป็นอิสระไปวันๆ ต้องต่อสู้กับผู้อื่น หลังจากค้นหาสำนักหลายแห่ง ก็ล้วนถูกปฏิเสธไปหมดเพราะเขาก่อปัญหา สุดท้ายเขาจึงไม่สามารถอยู่ต่อได้สักที่

หลังจากนั้นเขาก็ได้พบกับโจร เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอดตนจึงกลายเป็นโจรไปด้วยเป็นไปอย่างทีละก้าวจนมาถึงตอนนี้…

หากเขาได้รับโอกาสอีกครั้งเขาจะไม่ทำอย่างแน่นอน เขาต้องแก้ไขความผิดพลาดและใช้ชีวิตให้ดี…สวรรค์ได้ยินหรือไม่ให้โอกาสเขาอีกครั้งเถิด เขาจะไม่หาเรื่องใส่ตัวอีกแล้ว!

เขาคิดว่าตนเองคิดในใจ แต่กลับไม่รู้ว่าตนเองตะโกนคำเหล่านี้ออกมา

หมิงเวยมองลงมาที่เขาและกล่าวว่า “ยังร้องขอชีวิตทั้งๆ ที่ความตายกำลังมาเยือน รู้จักกลับตัวกลับใจเสียด้วย”

พูดจบก็เกิดแสงสว่างวาบใบมีดคมถูกดึงออกจากอกของเขา และกลับมาที่แขนเสื้อของหมิงเวย นายช่างโหวได้ยินนางพูดกับหยางชูอย่างชัดเจน

“ยังไว้ชีวิตเขาได้”

หืม…หมายความว่าอย่างไร ทำไมเขายังไม่ตาย

หน้าอก…เหมือนจะไม่เจ็บ

ความคิดตีกันอยู่ในหัวนายช่างโหวเอื้อมมือไปแตะหน้าอกของตนเองแล้วก็ต้องรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าไม่มีบาดแผลเลย

เขาลุกขึ้นพูดว่า “แผลของข้าล่ะเหตุใดเลือดไม่ไหล เอ๋…ไม่มี อยู่ไหนแล้วล่ะ” เขาตกใจครู่หนึ่งพอสติกลับมาก็ชี้ไปที่จมูกของตนเอง “ข้ายังไม่ตายหรือ”

หมิงเวยมองเขานางเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดนั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง ยินดีด้วยท่านได้รับโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่”