บทที่ 325 ซ้อนแผน

คู่ชะตาบันดาลรัก

หัวหน้าโจรตกตะลึงเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่คิดเขารู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างมากจากนั้นก็ชักกระบี่ออกมาแล้วตะโกนว่า

“พวกเราลงมือ!” ในเมื่อถูกจับได้แล้วไม่ว่าจะฆ่าฝ่ายตรงข้ามหรือถูกอีกฝ่ายฆ่า พวกเขาย่อมไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว! เสียงตะโกนดังขึ้นเหล่าผู้สมรู้ร่วมคิดที่ซุ่มซ่อนอยู่ในความมืดก็ออกมาจากที่ซ่อน และรีบวิ่งไปพร้อมกับมีดเหล็ก

ในเวลานี้หัวหน้าโจรรู้สึกมั่นใจมากคนเลี้ยงสัตว์และคนงานอาศัยอยู่ค่อนข้างไกลและถูกแยกจากกัน แม้จะมีคนหลุดรอดออกมาได้ แต่คนที่เขาส่งไปก็เพียงพอที่จะทำให้คนเหล่านั้นหวาดกลัว ที่ยากก็คือขุนศึกสามสิบคนนี้

แต่พวกเขามีสามร้อยคน!

สิบต่อหนึ่ง!

ถึงแม้พวกเขาจะมาจากครอบครัวทหารแล้วอย่างไร คนที่ออกมาจากรังคนรวยอาจไม่เคยเห็นเลือดมาก่อน พวกเขาล้วนเป็นโจรที่ลิ้มรสเลือดของผู้คนมาแล้วยามต่อสู้กับศัตรูนั้นใช้ความกล้าอันโหดเหี้ยม!

หัวหน้าโจรคิดอย่างนั้นแล้วเขาก็ได้ยินเสียงจากอีกฝั่ง “ตั้งแถว”

เหล่าขุนศึกที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนปรากฏตัวขึ้นในชั่วพริบตา พวกเขาแต่ละคนติดอาวุธพร้อมสำหรับการต่อสู้อย่างเต็มที่เรียงแถวเป็นระเบียบเรียบร้อย

“ช้ามาก!” เสียงเฉียบขาดดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของคุณชายผู้สูงศักดิ์จากเมืองหลวงที่กำลังเดินออกมาจากความมืดแม้ในมือจะถือกระบี่ แต่ก็เดินด้วยท่าทีสบายๆ

เขาเดินมาอยู่แถวหน้าแล้วพูดเบาๆ ว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปความเข้มข้นในการฝึกฝนจะเพิ่มขึ้นยี่สิบส่วน”

เหล่าขุนศึกมีท่าทางดูขมขื่น แต่พวกเขายังคงตอบพร้อมกัน “ขอรับ!”

ท่าทางของเขาดูเพิกเฉยไม่สนใจพวกตนทำให้หัวหน้าโจรโกรธมาก

“พี่น้องข้า! ฆ่าพวกเขาแล้วที่นี่จะเป็นของพวกเรา!”

หยางชูเลิกคิ้วแล้วยิ้ม “พวกเจ้าค่อนข้างทะเยอทะยานไม่เพียงแต่คิดขโมยของ แต่ยังต้องการครอบครองอาณาเขตของข้าด้วยงั้นหรือ”

อาหว่านในชุดต่อสู้เดินออกมาจากห้อง “คุณชายจะพูดไร้สาระกับพวกเขาทำไมเจ้าคะ ฆ่าก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”

พอนางปรากฏตัวหัวหน้าโจรถึงกับกลืนน้ำลายท่าทางดูหลงในกามนั้นทำเอาอาหว่านรู้สึกคลื่นไส้นางชี้นิ้วใส่อีกฝ่าย “กล้ามองข้าด้วยสายตาเช่นนี้รอข้าไปควักลูกตาเจ้าเถอะ!”

หยางชูเลิกคิ้วอย่างไม่พอใจเขาโบกมือ “จับพวกเขา!”

“ขอรับ!” เหล่าขุนศึกตะโกนพร้อมกันและโจมตีทันที

…………

นายช่างโหวมองไปที่สนามเลี้ยงม้าที่ถูกปกคลุมด้วยเขตอาคมของเขาด้วยสีหน้าพึงพอใจ นี่เป็นทุนสร้างตัวของเขาเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาสามารถมีสิทธิ์พูดในถ้ำโจรได้ หากเสวียนชื่อผู้นั้นไม่อยู่แล้วผู้ใดจะสามารถทำลายเคล็ดวิชาของเขาได้!

“อู…” เสียงขลุ่ยแผ่วเบาดังขึ้นในยามค่ำคืน และสลายไปในสายลม บรรยากาศช่างดูเงียบสงบมาก นายช่างโหวมองดูพระจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้า และตกอยู่ในห้วงความคิด

เมื่อตอนที่เขายังเด็กเขาคิดว่าด้วยความสามารถของตนเองจะทำให้โดดเด่นเหนือผู้อื่นได้ แต่ผู้ใดจะคิดว่าแค่ก้าวพลาดเพียงก้าวเดียวกลายเป็นผิดทุกย่างก้าว จนถึงตอนนี้เขาไร้บิดามารดา ไร้ภรรยาไร้บุตร อยู่ตัวคนเดียวไม่มีทรัพย์สินและต้องอยู่ร่วมกับโจร

เขาไม่กล้าคิดถึงบ้านเกิด และไม่รู้ว่าในอนาคตจะฝังกระดูกที่ไหน บางทีในวันตายของเขาอาจจะไม่มีแม้แต่หลุมให้ฝังศพก็เป็นได้ อาจถูกโยนเข้าไปในป่า ถูกฝังอยู่ในท้องของสัตว์ชีวิตนี้ไม่มีวันได้สงบสุข

นายช่างโหวน้ำตาคลอเบ้า…

เขาคิดว่าหากวันนี้สำเร็จแล้วจะเป็นอย่างไรได้ครอบครองสนามเลี้ยงม้าแห่งนี้ก็คงมีความสุขแค่ชั่วขณะหนึ่ง พวกโจรไม่เก่งเรื่องธุรกิจ และเมื่อทรัพย์สมบัติของคุณชายไม่เหลือแล้วเกรงว่าพวกเขาจะยังคงใช้ชีวิตอยู่กับการปล้นสะดม

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ความรู้สึกเสื่อมโทรมก็ท่วมท้นเขาจนแทบอยากจะทิ้งทุกอย่าง และอาศัยโอกาสคืนนี้หนีออกจากรังโจร และเริ่มเดินทางไปทั่วยุทธภพ

ทันใดนั้นสายลมกลางคืนก็พัดมาความเยือกเย็นเล็กน้อยทำให้เขาสร่างเมาครู่หนึ่ง และจู่ๆ เขาก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดึกดื่นเช่นนี้เสียงขลุ่ยมาจากที่ใดกัน

แม้เขาจะรำลึกถึงความยากลำบากของตัวเอง แต่เรื่องในวันนี้ก็ยากที่จะจัดการเช่นเดียวกันเขาจะละทิ้งตามอำเภอใจได้อย่างไร เสียงขลุ่ยนี้ราวกับกำลังล่อลวงจิตใจคน!

เขาหยิบยันต์ขึ้นมาร่ายมนต์แล้วติดไว้ที่หน้าผากของตนเองรู้สึกมีสติขึ้นมาเล็กน้อย

เสียงขลุ่ยหยุดลงอย่างรวดเร็วจากนั้นก็มีเสียงแผ่วเบาดังขึ้น “ความสามารถของท่านแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก ขอเพียงได้การแนะนำเพิ่มเติมเล็กน้อย ท่านก็สามารถเข้าสำนักได้แล้วจะลำบากไปเป็นกุนซือให้พวกโจรไร้คุณธรรมพวกนั้นไปทำไม”

เสียงอยู่ใกล้แค่เอื้อมราวกับว่าอีกฝ่ายอยู่ตรงหน้าเขานายช่างโหวตกใจจนมือชุ่มไปด้วยเหงื่อ

“ผู้ใดกัน” เขามองไปรอบๆ อย่างตื่นตระหนก

“ตรงนี้!” เสียงอันเกียจคร้านร้องเรียกเขา

นายช่างโหวหันศีรษะไปมองตามเสียง และในที่สุดก็เห็นอีกฝ่าย บนกำแพงที่สร้างได้เพียงครึ่งหนึ่งมีสตรีผู้หนึ่งยืนถือขลุ่ยอยู่สายลมกลางคืนก็พัดแขนเสื้อของนางราวกับว่าอีกไม่นานนางจะจากไปพร้อมกับสายลม

“ท่าน…”

นายช่างโหวตกใจเขารู้แค่ว่าคนผู้นั้นที่ถูกย้ายไปเป็นเสวียนชื่อ แต่ไม่รู้ว่านางก็เป็นด้วย! อยู่ใกล้กันแค่เอื้อม แต่ม่านพลังไม่ตอบสนองอะไรเลย

หมิงเวยกระโดดลงจากกำแพง และเดินไปรอบๆ ตัวเขา จากนั้นก็เอื้อมมือไปดึงยันต์บนหน้าผากเขาออก “ออกบวชกลางทาง[1] ใช้ยันต์มั่วซั่วทำตัวเองคล้ายกับผีดิบมีแต่จะทำให้คนแวดวงเดียวกันหัวเราะก็เท่านั้น การละเล่นนี้จำเป็นต้องกระตุ้นพลังรู้หรือไม่” พูดจบนางก็ดึงพลังออกมาเปลี่ยนยันต์ให้กลายเป็นควันแทรกซึมเข้าไปในกึ่งกลางของคิ้วของเขาโดยตรง

นายช่างโหวตกใจในตอนแรกเขาโบกมือบอกให้อีกฝ่ายหยุด แต่ก็ไม่เป็นผล ทันใดนั้นคิ้วของเขาแข็งค้างรู้สึกถึงจิตใจอย่างชัดเจน

หมิงเวยมองเขาด้วยรอยยิ้ม “เข้าใจหรือไม่ เมื่อครู่ที่ท่านทำเช่นนั้นแค่สิบส่วนยังไม่สำเร็จเลยด้วยซ้ำ”

นายช่างโหว “….” นี่เขาใช้วิธีที่ผิดมาตลอดเลยหรือ

“ช่างน่าสนใจสิ่งที่ท่านได้รับเป็นการสืบทอดของปี้อวิ๋นกงงั้นหรือ พวกเขาเชี่ยวชาญในเรื่องค่ายกลกับม่านพลัง ทักษะการปลอมตัวของพวกเขาก็ค่อนข้างโดดเด่น แต่น่าเสียดายที่พลังของท่านยังต่ำอยู่เล็กน้อยไม่เช่นนั้นสนามเลี้ยงม้าแห่งนี้จะถูกแยกออกไปโดยสิ้นเชิง”

เมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูดมานายช่างโหวก็รู้สึกหมดหวังแล้วคนผู้นี้ไม่เพียงแต่เป็นเสวียนชื่อเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าระดับสูงกว่าตนเองแค่ไหน

ช่างเถิด เดินอยู่แถวแม่น้ำรองเท้าจะไม่เปียกได้อย่างไร[2] แผนครั้งนี้จบสิ้นแล้ว

เขาถอนหายใจราวกับปล่อยวางทุกสิ่งในที่สุดจากนั้นก็เงยหน้าขึ้น “ทักษะของข้าสู้ท่านไม่ได้ ข้าไม่มีสิ่งใดจะพูดแม่นางจัดการตามสมควรเถิด”

หมิงเวยเอียงศีรษะ และมองมาที่เขาครู่หนึ่งจากนั้นยิ้มและถามว่า “ท่านยอมแพ้งั้นหรือ”

สายตาของนายช่างโหวดูเศร้าสร้อย แต่พูดอย่างสงบ “ข้าไม่เคยคิดที่จะอยู่อย่างสงบสุขไปจนสิ้นชีวิต แม้ว่าจะเป็นความผิดพลาดที่เลือกเดินในเส้นทางนี้ แต่ก็ได้ทำร้ายผู้คนจริงๆ คิดเสียว่านี่เป็นการถูกแก้แค้นคืนก็แล้วกัน ข้าไม่มีอะไรจะพูด!”

คำพูดเหล่านี้ดังก้องกังวานและทรงพลังพร้อมสัมผัสความเศร้า และความเสียใจซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง

นายช่างโหวเงยหน้าขึ้นอีกครั้งและถอนหายใจ “ไม่น่าแปลกใจเลยที่ข้าตกอยู่ในสถานการณ์นี้วัยเด็กข้าเรียนอย่างหนัก อารมณ์ร้อน คิดว่าตนเองสามารถสำเร็จในอาชีพนี้ได้ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าคนบ้านเดียวกันทำการฉ้อโกงทำให้ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่สามารถเข้าสอบได้! มันเป็นเรื่องยากที่จะปรับอารมณ์ของตนเอง เมื่อกลับมาทำการเกษตรกับร่ำเรียนต่อก็ไม่คาดคิดว่าจะถูกครอบครัวใหญ่รังแกโดยการยึดที่ดิน บิดาล้มป่วยและเสียชีวิตลง หลังจากนั้นไม่กี่เดือนมารดาก็ตรอมใจจากไป ครอบครัวของข้าประสบปัญหา ในเวลาเพียงปีเดียวทั้งบิดามารดา ภรรยาและลูกๆ ล้วนตายจากไปเหลือข้าเพียงคนเดียว! ในสถานการณ์เช่นนี้ข้าถูกศัตรูล้อมรอบและจำเป็นต้องเดินทางไกลแล้วข้าก็ก้าวพลาดเดินเข้าไปในถ้ำโจร”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ดวงตาของนายช่างโหวเต็มไปด้วยน้ำตาเขามองหมิงเวยด้วยสีหน้าจริงจัง “แม่นางวันนี้ข้าพลาดอย่างไม่สามารถโต้เถียงได้หลังจากมีชีวิตอยู่หลายปี ในที่สุดก็สามารถไปพบบิดามารดา ภรรยาและบุตรได้แล้ว!”

หมิงเวยยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขานางจ้องมาที่เขาครู่หนึ่งแล้วก็ยิ้ม “ในเมื่อท่านไม่มีอะไรจะพูดทำไมถึงยังพูดต่อได้มากมายเช่นนี้อีกเล่า”

……………

[1] ออกบวชกลางทาง : หมายถึงเรียนรู้หรือเข้าวงการใดๆ ในภายหลัง ไม่ได้มาทางนี้ตั้งแต่ต้น

[2] เดินอยู่แถวแม่น้ำ รองเท้าจะไม่เปียกได้อย่างไร : หากคุณสัมผัสกับบางสิ่งบ่อยครั้ง คุณจะมีส่วนร่วมกับสิ่งนั้นไม่ช้าก็เร็ว