บทที่ 324 ลงมือ

คู่ชะตาบันดาลรัก

เดิมทีนายช่างโหวคิดจะเสนอว่ามีกองคาราวานสองสามกองกำลังจะมาถึงเกาถาง และตัวเขาได้ยินมาว่าเส้นทางดูไม่สงบหากสินค้าถูกปล้นไประยะเวลาในการก่อสร้างอาจล่าช้าออกไป แต่เขาไม่คิดว่าคุณชายนอกจากไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียวแล้วยังสั่งให้หนิงซิวผู้นั้นเดินทางไปรับกองคาราวานอีกด้วย ตอบรับง่ายดายเช่นนี้ทำให้นายช่างโหวรู้สึกสับสนมาก

แม้แต่ในถ้ำโจรคำแนะนำของเขาถูกพวกโจรไม่มีสมองถามซ้ำๆ ด้วยความสงสัย ไม่ว่าจะพูดอย่างไรหนิงซิวก็ออกเดินทางแล้ว

นายช่างโหวเฝ้าดูเขาออกจากสนามเลี้ยงม้าด้วยตาของเขาเอง ครึ่งวันต่อมา โจรที่รับผิดชอบในการเฝ้าติดตามเขารายงานว่าเขาไปที่เมืองจริงๆ

นายช่างโหวสงบสติอารมณ์และถามหยางชูว่าต้องรอสองสามวันกว่าวัสดุก่อสร้างจะมาถึง เทศกาลไหว้บ๊ะจ่างกำลังจะมาถึงแล้วให้แรงงานหยุดสองสามวันและปล่อยให้พวกเขากลับไปดีหรือไม่

หยางชูตอบรับอีกครั้ง ส่งผลให้เหล่าคนงานนำค่าจ้างกลับไปฉลองกับครอบครัวอย่างมีความสุข และสนามเลี้ยงม้าว่างเปล่าไปครึ่งหนึ่ง

นายช่างโหวนับนิ้วมีคนเหลืออยู่สามกลุ่ม มีเด็ก สตรี และคนแก่ที่ไม่มีกำลังพอที่จะสู้รบ คนเลี้ยงสัตว์สามารถถือมีดโต้ตอบได้แต่พละกำลังต่อสู้ไม่ได้แข็งแกร่งสิ่งที่ยากที่สุดคือขุนศึกหลายสิบนาย คงต้องเรียกพวกของตนให้พาคนมาเพิ่มอย่างน้อยสักสามร้อยคนขึ้นไปเพื่อให้มั่นใจมากขึ้น

เมื่อถึงเวลานั้นถนนที่มุ่งหน้าไปในเมืองถูกปิดกั้นเพื่อไม่ให้ทหารอารักขาตกใจ

นายช่างโหวกลั่นกรองทีละเรื่อง และใช้เวลาในการสั่งคนงานที่ค่อนข้างดุร้าย ในที่สุดเมื่อถึงเวลาลงมือเหล่าคนงานตื่นเต้นมากพวกเขาเชื่อคำพูดและปฏิบัติตามเป็นอย่างดี และแล้วก็ถึงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง

ด้วยเงื่อนไขที่มีจำกัดจึงไม่มีการแข่งเรือมังกรให้ชม คุณชายจึงตัดสินใจให้รางวัลกับคนเลี้ยงสัตว์ และลูกจ้างที่ทำงานอย่างหนักเป็นเวลาสองเดือน

ดังนั้นในคืนนี้กองไฟที่สว่างไสวจึงถูกจุดขึ้นที่หน้าสถานที่ก่อสร้าง อาหารทุกชนิดถูกส่งมาอย่างไม่จำกัด อยากกินอะไรก็หยิบตามใจชอบได้เลย หากรอคนครัวไม่ไหวก็สามารถทำทานเองได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือสุราซึ่งปกติแล้วไม่มีให้ แต่วันนี้กลับอนุญาตให้พวกเขาดื่ม

หมิงเวยไม่ได้เข้าร่วมสนุกด้วยนางนั่งทานบ๊ะจ่าง และคุยกับเสี่ยวถงอยู่ตรงทางเดิน เสี่ยวถงมองดูผู้คนหัวเราะอย่างอิจฉา นางเองก็ต้องการร่วมสนุกเหมือนพวกเขา

หมิงเวยพูดอย่างจริงจังว่า “เป็นเช่นนี้ดีต่อเจ้าแล้วคืนนี้เจ้าอย่าออกไปไหน อยู่กับตัวฝูซะ”

เสี่ยวถงไม่เข้าใจ “ทำไมหรือเจ้าคะ”

“เพราะคืนนี้อันตรายมาก” ตัวฝูทานบ๊ะจ่างที่เหลือเข้าปากแล้วตอบนาง

เสี่ยวถงไม่เข้าใจ “หรือว่าคนที่พวกท่านพูดถึง…”

หมิงเวยยิ้ม “เจ้ารู้ก็ดีแล้ว” เสี่ยวถงไม่พูดอะไรอีก และนั่งทานบ๊ะจ่างต่อเงียบๆ

เมื่อใกล้ถึงเวลาคนเลี้ยงสัตว์ และคนงานรับจ้างก็แยกย้ายกันไปส่วนหยางชูก็กลับเรือนด้วยความมึนเมาเล็กน้อย หมิงเวยยืนขึ้นและช่วยพยุงเขาเข้าไปในเรือน

คนงานหน้าตาดุดันจ้องไปที่เอวของหมิงเวยที่อยู่ข้างกายคุณชายราวกับต้องการกัดกินเนื้อแพะอย่างหิวกระหาย หยางชูเอื้อมมือไปปิดเอวของหมิงเวยและพูดเสียงต่ำๆ “ข้าอยากจะไปควักลูกตาของเขาตอนนี้จริงๆ!”

หมิงเวยหัวเราะเบาๆ “ท่านกินน้ำส้มหรือเจ้าคะ”

“คนเช่นนั้นมีอะไรให้ข้าต้องกินน้ำส้มกัน” หยางชูปฏิเสธ

เขาไม่ได้กินน้ำส้มแค่สตรีที่เขาชอบถูกผู้อื่นมองด้วยสายตาแทะโลมจะไปมีความสุขได้อย่างไร

“วางใจเถอะเจ้าค่ะ ท่านได้สัมผัสแล้วส่วนเขาได้แค่มองเท่านั้น” หมิงเวยหันศีรษะเหลือบมองไปที่คนงานผู้นั้นด้วยสายตาเย็นชาราวกับมองคนตาย

ทุกวันนี้ถูกมองว่าอ้วนตัวนางเองก็น่าขยะแขยงมากพอแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่ามีเสียงกระแอมเบาๆ ดังขึ้นข้างกาย เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าหูของหยางชูแดงก่ำ

เอ๋…นางกลอกตาครุ่นคิดถึงสิ่งที่พูดไปก่อนหน้านี้แล้วยิ้ม

เพราะ ‘สัมผัสมาแล้ว’ นางพูดไปตามนั้นจริงๆ ไม่ได้มีเจตนากินเต้าหู้แต่อย่างใด ประตูเปิดออกทั้งสองพากันเดินเข้าไปด้านใน

“รีบอาบน้ำเถอะเจ้าค่ะ ทั้งตัวท่านมีแต่กลิ่นสุราเหม็นมาก”

“อ้อ” หยางชูเดินเข้าไปอาบน้ำอย่างเชื่อฟังรอจนเขาอาบน้ำเสร็จหมิงเวยก็หันไปดับเทียน

“ทำอะไรน่ะ” เสียงของหยางชูหนักแน่นขึ้นในความมืด

“ให้พวกเขาคิดว่าพวกเรากำลังยุ่งจะได้ลงมือเลย!”

ยุ่ง…

ความหมายแฝงที่ดี…

หยางชูไม่รู้ว่าหมิงเวยที่พูดประโยคนี้อย่างไม่ใส่ใจจะเข้าใจอย่างถ่องแท้หรือไม่ แต่เมื่อเขาได้ยินความคิดหลายอย่างก็ผุดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาจินตนาการ…

หมิงเวยนั่งที่โต๊ะและวางนิ้วบนขลุ่ยของตนเอง และเพิ่มความระแวดระวังให้ถึงขีดสุด ความสงบของนางช่วยปัดเป่าจินตนาการของหยางชูออกไป เขาหยิบกระบี่ออกจากร่มหนังฉลาม และรออย่างเงียบๆ

เมื่อเวลาผ่านไปสนามเลี้ยงม้าเงียบสงบ และมีขุนศึกเพียงไม่กี่คนที่เฝ้าลาดตระเวนยามค่ำคืนอย่างเงียบๆ

นายช่างโหวเป่าเทียนแล้วหลับตาเขานั่งลงเคาะโต๊ะและนับเวลา เมื่อมีเสียงเคาะเบาๆ ที่หน้าต่างทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นดวงตาของเขาเป็นประกายในความมืด

จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็คราวนี้แหละ!

เขาเปิดหน้าต่างแล้วถามเสียงเบา “คนหลับกันหมดแล้วใช่หรือไม่”

แล้วเขาก็ได้รับคำตอบคลุมเครือจากอีกฝ่ายว่า “อืม…หลับเกือบหมดแล้วมีเพียงคนเฝ้ายามที่ตื่นอยู่”

“คุณชายล่ะ” น้ำเสียงของอีกฝ่ายฉายแววอิจฉา “เข้าห้องไปกับสาวงามยังไม่ออกมาไฟดับหมดแล้ว”

นายช่างโหวพยักหน้า “ลงมือได้เลย!”

“ได้” อีกฝ่ายหายไปอย่างรวดเร็วนายช่างโหวค่อยๆ เดินออกไปอย่างเงียบๆ ท่ามกลางความมืด เขาหยิบยันต์ออกมาจำนวนมาก และติดลงในตำแหน่งที่ตนเห็นว่าเหมาะสมทีละอันๆ

เมื่อติดตำแหน่งสุดท้ายเสร็จเขาก็งอนิ้ว

ค่ำคืนนี้แสงสีแดงสลัวจนแทบแยกไม่ออกปกคลุมไปจากทุกทิศทุกทาง ล้อมรอบสนามแห่งนี้อย่างแน่นหนา นับจากนี้เป็นต้นไปสนามเลี้ยงม้าจะถูกแยกออกจากกัน และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่คนภายนอกจะไม่สังเกตเห็น

นี่คือเหตุผลที่เขามาสมัครเป็นนายช่างโหวผู้เชี่ยวชาญ เขาได้รับหน้าที่ดูแลการก่อสร้างเรือนอย่างสมบูรณ์ และสามารถสร้างข่ายพลังได้อย่างง่ายดาย

เพราะมีเสวียนชื่อผู้นั้นอยู่ด้วยเขาจึงไม่กล้าทำอะไรโดดเด่นเกินไป ตอนนี้เสวียนชื่อที่เขากลัวมากที่สุดได้ย้ายออกไปแล้วเขาจึงสามารถเปิดเผยค่ายกลของเขาได้!

ในเวลาเดียวกันหมิงเวยยิ้มจางๆ “เขาลงมือแล้ว”

หยางชูลุกขึ้น “ไป!”

ณ ตำแหน่งเฝ้ารักษาการณ์คนงานพาผู้สมรู้ร่วมคิดสองคนมาถึงสถานที่สะดวกเงียบๆ

“ผู้ใดกัน” ไม่รู้ว่าเสียงฝีเท้าของพวกเขาดังเกินไปหรือเปล่าถึงได้มีเสียงตะโกนมาจากอีกฝั่ง

คนงานพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า “ลงมือ!”

ผู้สมรู้ร่วมคิดคนหนึ่งเป่าเข็มพิษเข้าใส่ ส่วนผู้สมรู้ร่วมคิดอีกคนกระโจนเข้าไปปิดปากอีกฝ่ายแน่นแล้วใช้กริชปาดคอ คนงานถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาคิดในใจว่าเมื่อก่อนคิดว่าพวกเขาเก่งกาจกันมากที่แท้ตระกูลทหารก็ไม่เท่าไรถึงได้จัดการได้ง่ายดายเพียงนี้

แต่ผู้สมรู้ร่วมคิดของเขารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องพวกเขาก็หยิบศพขึ้นมาเพื่อยืนยัน แต่สิ่งที่พวกเขาคว้ามาได้กลับเป็นแผ่นกระดาษเบาหวิว

“พี่ใหญ่มีบางอย่างผิดปกติ!” เสียงของผู้สมรู้ร่วมคิดเปลี่ยนไป คนงานหันไปมองแล้วก็ตกใจตาม สิ่งที่ถูกเขาปาดคอไม่ใช่ขุนศึก แต่เป็นกระดาษคน!

“ไม่ได้การ!” สัญชาตญาณของคนงานในฐานะหัวหน้าโจรบอกว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว แต่มันก็สายเกินไป

เสียงหนึ่งดังขึ้น “พวกเจ้ากล้ามาก! พวกเราตระกูลหยางเองก็กล้าเคลื่อนไหวเช่นกัน!” ขุนศึกกลุ่มหนึ่งออกมาจากด้านหลังป้อมยามและมองดูพวกเขาอย่างติดตลก