ภาคที่ 2 บทที่ 16 ปากแข็ง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 16 ปากแข็ง

เช้าวันรุ่งขึ้น ซูเฉินได้มุ่งหน้าไปที่กระท่อมหินริมทะเลสาบนั่นอีกครั้ง

คราวนี้ฉือไคฮวงไม่ได้ยุ่งอยู่กับสัตว์อสูรตัวยักษ์เช่นครั้งก่อน

เขานั่งวาดลวดลายแปลก ๆ อยู่บนพื้นที่โล่ง ๆ หน้ากระท่อมของตน รูปแบบซับซ้อนก่อร่างเป็นจารึกพลังต้นกำเนิดที่เต็มไปด้วยความลึกลับนับไม่ถ้วน

ตอนแรกซูเฉินไม่ได้รู้สึกถึงอะไรเป็นพิเศษ ทว่าเมื่อได้ตรวจสอบจารึกพลังต้นกำเนิดดูอย่างละเอียด มันก็เหมือนกับว่ายิ่งมองมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นเท่านั้น ความลึกลับที่ซ่อนอยู่ก็เริ่มปรากฏขึ้นมาเรื่อย ๆ เขาค่อย ๆ ถูกดึงให้จมดิ่งลงไปโดยไม่สามารถสลัดออกมาได้

ทว่าในที่สุดเด็กหนุ่มก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง ซูเฉินจึงตบหน้าของตัวเองอย่างรุนแรง เพื่อดึงตัวเองออกจากภาพลวงตานั่น เขารู้ตัวแล้วว่าจารึกเหล่านี้ลึกซึ้งเกินไป และมันไม่ใช่สิ่งที่ตัวเขาในตอนนี้จะสามารถเข้าใจได้ ดังนั้นจึงได้หันกลับไปและไม่ได้มองไปที่มันอีก

ฉือไคฮวงเปล่งเสียงอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า ซูเฉินจะสามารถฟื้นคืนสติกลับมาด้วยตัวเองได้ “เจ้าเด็กน้อย เหตุใดเจ้าถึงได้กลับมาที่นี่อีกกัน ?”

ซูเฉินไม่ได้พูดอะไร ร่างของเขากระพริบราวกับสายฟ้าพุ่งไปยังต้นไม้ใกล้ ๆ เขาเอื้อมมือไปคว้าใบไม้มาหนึ่งกำมือแล้วโยนออกไป ใบไม้เหล่านั้นบินผ่านอากาศราวกับลูกดอก บางส่วนเจาะทะลุต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไป เหลือทิ้งเพียงรูเอาไว้เบื้องหลัง

“ฝ่ามือดอกไม้บินและก้าวย่างหมอกอสรพิษ 2 ทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือดของตระกูลกู่แห่งเมืองหลงซี” ในขณะที่พูดซูเฉินก็คว้าเอาใบไม้มาอีกกำมือหนึ่ง แล้วอาศัยแรงถีบดีดตัวออกจากต้นไม้

เขาก้าวเดินออกไปเบื้องหน้าหลายก้าวกลางอากาศ ราวกับว่าเดินอยู่บนก้อนเมฆ จังหวะเดียวกันนั้นใบไม้ในมือของเขาก็พุ่งออกมาอีกครั้ง

ฟิ้ว !

ครานี้ใบไม้ทะลุต้นไม้จนหมด เหลือทิ้งไว้เพียงรูที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิมหลายเท่าตัว

ซูเฉินเดินลงมาจากอากาศอย่างสบาย ๆ ไม่รีบเร่ง และพูดต่อ “และนั่นก็คือฝ่ามือดอกไม้บินและก้าวย่างหมอกอสรพิษในระดับขีดจำกัดสูงสุดที่ผู้มีสายเลือดผสมจะสามารถทำได้”

ในที่สุดดวงตาของฉือไคฮวงก็เริ่มเผยร่องรอยของความสนใจออกมา

จากนั้นซูเฉินก็ดึงเอาขวดยาออกมาจากแหวนต้นกำเนิดของเขาอย่างใจเย็น “นี่คือยาสสารต้นกำเนิดสำหรับสายเลือดอสรพิษทะยาน ข้าสกัดมันขึ้นจากต้นวารีเยือกแข็ง กลั่นปรุงมันถึง 2 ครั้ง หลังจากใช้มันข้าก็สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของผู้ที่ไร้สายเลือดไปได้ นอกจากนี้ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมางานวิจัยเกี่ยวกับสายเลือดอสรพิษทะยานและการเปลี่ยนแปลงพลังต้นกำเนิดของข้าเองก็มีความก้าวหน้าเล็กน้อยเช่นกัน ดังนั้น…”

ร่างกายของซูเฉินขยับอีกครั้ง คราวนี้เขาถอยกลับไปข้างหลัง

เขาถอยกลับขึ้นไปบนผิวน้ำของทะเลสาบ เดินอยู่บนนั้นทีละก้าวโดยที่เท้าไม่ได้สัมผัสกับน้ำ

แม้ว่าก่อนหน้านี้ซูเฉินจะสามารถเดินไปในอากาศได้ ทว่าเขาก็ทำได้เพียงไม่กี่ก้าวและกลับลงมาอย่างรวดเร็ว แต่ตอนนี้เขากำลังเดินถอยหลังบนน้ำอย่างใจเย็น แสดงให้เห็นว่าความเชี่ยวชาญในก้าวย่างหมอกอสรพิษของเด็กหนุ่มดีกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

ใช่แล้ว นี่คือก้าวย่างหมอกอสรพิษที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว

หลังจากการวิจัยปรับปรุงยาสสารต้นกำเนิดสำหรับสายเลือดอสรพิษทะยานมาเกือบหนึ่งปีจนสมบูรณ์แบบแล้ว ซูเฉินก็เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของพลังต้นกำเนิดของสายเลือดในที่สุด ดังนั้นเขาจึงสามารถนำไปเลียนแบบใช้กับตัวเองได้

ความสามารถในการเดินบนน้ำของเขาเป็นผลลัพธ์ที่สมเหตุสมผลจากการปรับปรุงครั้งนี้ ตามความเป็นจริงสิ่งนี้มันได้เกินขีดจำกัดของเลือดผสมไปแล้ว ผลลัพธ์ของเขามันช่างน่าเหลือเชื่อ คนส่วนใหญ่สามารถเพิ่มได้เพียงความเร็วเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถทำตัวให้เบาเหมือนขนนกได้

นี่เป็นครั้งแรกที่ซูเฉินได้แสดงพลังของอสรพิษทะยานที่ได้ถูกปรับปรุงพลังต้นกำเนิดเรียบร้อยแล้วต่อหน้าคนอื่น อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ใช้มันในการต่อสู้ แต่ใช้เพื่อโอ้อวด

ซูเฉินมองไปที่ฉือไคฮวงด้วยความมั่นใจ ขณะที่เขาลอยอยู่บนน้ำ “ข้าทำลายข้อจำกัดทางสายเลือดเหล่านี้ได้สำเร็จแล้ว”

นี่คือวิธีการของซูเฉิน เขาพยายามจะสร้างความประทับใจด้วยความสามารถอันยอดเยี่ยมและความเป็นเลิศของเขาเอง

อย่างไรก็ตาม ฉือไคฮวงกลับทำเพียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น

ฉือไคฮวงจ้องมองไปที่ซูเฉินด้วยดวงตาที่ขุ่นมัวของเขา หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็พูดขึ้นว่า “หยุด”

“อะไร ?” ซูเฉินจ้องมองอีกฝ่ายอย่างมึนงง

“หยุดยืนอยู่ตรงนั้นอย่าขยับ” ฉือไคฮวงพูดซ้ำ

ซูเฉินยังคงงุนงง แต่เขาก็ทำตามที่อีกฝ่ายบอกและหยุดอยู่นิ่ง ๆ บนผิวน้ำ

ร่างของซูเฉินเริ่มจมลงอย่างช้า ๆ

ราวกับว่าเขายืนอยู่ในบึงโคลน เท้าของเขาจมลงไปในน้ำก่อนจากนั้นตามมาด้วยเข่าและต้นขา …

ซูเฉินเริ่มลุกลี้ลุกลน เขาพยายามที่จะรักษาสมดุลร่างกายของตน แต่ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนเขาก็ไม่สามารถหยุดตัวเองจากการค่อย ๆ จมลงได้

เขาจมลึกลงไปในทะเลสาบเรื่อย ๆ แม้แต่หัวของเขาก็แทบจะจมลงไปอยู่ใต้น้ำหมดแล้ว …

ฉือไคฮวงส่ายหัว “เจ้ายังไปไม่ถึงระดับนั้น”

เขาก้มศีรษะลงจากนั้นก็วิเคราะห์จารึกที่พื้นด้านล่างต่อไป

ล้มเหลวอีกแล้ว !

2 วันต่อมาซูเฉินก็กลับมาอีกครั้ง

คราวนี้เขาไม่ได้พยายามโอ้อวดอะไร

แม้ว่าซูเฉินจะยังมีกลเม็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ อีก 2-3 อย่างอยู่ใต้แขนเสื้อ แต่มันก็คงไม่มีความหมายอะไรในสายตาของฉือไคฮวง

เพราะอย่างไรเสีย ฉือไคฮวงก็ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจนักว่านักเรียนจะโดดเด่นหรือไม่อยู่แล้ว

ซูเฉินรู้ว่าตนนั้นทำผิดพลาด ฉือไคฮวงไม่ใช่อาจารย์ส่วนตัวที่ให้ความสำคัญกับสถานะหรือชื่อเสียง ถ้าหากเขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้จริง เขาก็คงรับศิษย์ไปนานแล้ว เหตุใดจึงจะต้องรอจนถึงตอนนี้ ?

การแสดงความแข็งแกร่งของตัวเองให้ฉือไคฮวงได้เห็นนับเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะที่เก่งกาจแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของอีกฝ่ายได้อยู่ดี

ด้วยเหตุนี้ซูเฉินจึงเริ่มเปลี่ยนแนวทางและลองใช้กลวิธีที่แตกต่างไป

สิ่งแรกที่เขาลงมือทำคือการทำความสะอาดกระท่อมหินของฉือไคฮวง เมื่อชายชราออกไปจากกระท่อมของเขา ซูเฉินก็แอบย่องเข้าไปปัดกวาดเช็ดถู

ฉือไคฮวงอาศัยอยู่ตัวคนเดียวมานานและห้องของเขาจึงรกและสกปรกมาก ซูเฉินจัดการลงมือทำความสะอาดอย่างไร้ที่ติ โดยไม่ยอมปล่อยให้มีเศษฝุ่นหลงเหลือแม้แต่น้อย หลังจากนั้นเขาก็ได้เตรียมอาหารที่หรูหราเอาไว้ให้แก่ฉือไคฮวงและรอการกลับมาของอีกฝ่าย

เมื่อฉือไคฮวงกลับมาเห็นฉากตรงหน้านี้เข้า ริมฝีปากของเขาก็กระตุก

เขาจัดการฟาดเรียบอาหารเย็นสุดหรูนั้นโดยไม่เกรงใจแต่อย่างใด จากนั้นก็เข้านอนและหลับไปโดยไม่สนใจซูเฉินเลยสักนิด

ทว่าซูเฉินเองก็ไม่ได้ท้อถอย ในวันรุ่งขึ้นเขาก็กลับมาอีกครั้ง

เด็กหนุ่มทำกิจวัตรซ้ำ ๆ เช่นนี้อยู่ร่วม 10 วัน ฉือไคฮวงเองก็รู้สึกสนุกไปกับมัน

แต่เมื่อมาถึงวันที่ 11 ฉือไคฮวงก็ถอนหายใจออกมาหลังได้เห็นหน้าของซูเฉิน

“อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้าเลยนะ เด็กน้อย มีคนเคยลองทำในสิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่ในยามนี้ไปแล้วตั้งแต่เมื่อ 12 ปีก่อน ข้าบอกกับมันว่าการทำเช่นนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย หากข้าบอกว่าข้าไม่รับศิษย์ ก็คือข้าไม่รับ ทว่ามันก็ไม่เชื่อข้า ปฏิบัติต่อเหลาจื่อราวกับปฏิบัติต่อภรรยา ทึกทักเอาเองว่าการเล้าโลมเอาอกเอาใจจะทำให้ข้าใจอ่อนประดุจเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ข้าจึงปล่อยให้มันทำต่อไป แต่ข้าก็ยังคงไม่ตอบรับมัน”

“จนกระทั่งกำหนดเส้นตายในการเลือกอาจารย์ส่วนตัวสิ้นปีแรกมาถึง สูญเสียเวลามากมายโดยเปล่าประโยชน์และยังสูญเสียฐานะต้นกล้าของสถาบัน อ่า เสียงร้องของมันในวันนั้นช่างน่าเวทนายิ่งนัก” ฉือไคฮวงกล่าวอย่างร่าเริงพลางหัวเราะคิกคัก

ใบหน้าของซูเฉินกระตุก

ฉือไคฮวงกล่าวต่อ “แน่นอนว่าเจ้าสามารถเลือกที่จะไม่เชื่อข้าและทำเช่นนี้ต่อไปก็ได้ ชายชราคนนี้สนุกกับการปรนนิบัติของเจ้ายิ่ง ไก่ย่างที่เจ้าทำเมื่อวานนี้ก็ไม่เลวเลย ข้าคงจะรู้สึกขอบคุณอย่างมากหากเจ้าจะทำมันให้ข้าบ่อยขึ้น”

ซูเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ส่ายหัว “เนื่องจากผู้อาวุโสได้แสดงจุดยืนของท่านอย่างชัดเจนแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้วิธีการนี้อีกต่อไป ในครั้งนี้ข้าจะรับฟังคำแนะนำของผู้อาวุโส”

“จริงหรือ ? เจ้าจะยอมแพ้ง่าย ๆ เช่นนี้อย่างนั้นหรือ ? ช่างน่าเสียดาย เหตุใดจึงไม่ลองพยายามต่ออีกสักหน่อยล่ะ บางทีในวันพรุ่งนี้ข้าอาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้นะ”

ซูเฉินส่ายหัวช้า ๆ แต่หนักแน่น “ในเมื่อรู้ว่าทางเบื่องหน้านั้นเป็นทางตัน คนเราก็ควรจะเลือกยอมแพ้เมื่อถึงเวลาที่ควรต้องยอม”

“ช่างน่าเสียดาย” ฉือไคฮวงเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะเบา ๆ “ข้าคงจะคิดถึงการเอาอกเอาใจครั้งนี้ของเจ้าน่าดูชม เพราะยังไงซะมันก็นานมากแล้วที่ไม่มีใครมาทำอะไรเช่นนี้ให้ข้า”

ซูเฉินกล่าวว่า “แต่ข้าจะไม่ยอมแพ้ในการเข้าเป็นศิษย์ของผู้อาวุโส”

คำตอบกลับที่เขาได้รับจากฉือไคฮวงคือการโดนไล่ตะเพิดอีกครั้ง “ไสหัวออกไปเลย ! เหลาจื่อผู้นี้ไม่ใช่ราชันย์สัตว์อสูร ไม่ต้องมาพิชิตข้า !”