ตอนที่ 163 ทุกคนชอบซุบซิบนินทา
หยุนเชวี่ยแบกตะกร้าสานออกจากเรือน ทว่าหลังจากเดินเลี้ยวโค้งไปได้ไม่ไกล ยังไม่ทันถึงบ้านเหอยาโถว นางรู้สึกคล้ายกับมีคนเดินตามหลัง
ครั้นหยุนเชวี่ยเดินช้าลง คนผู้นั้นก็เดินช้าลง ครั้นหยุนเชวี่ยเร่งฝีเท้า คนผู้นั้นก็วิ่งตาม กระทั่งหยุนเชวี่ยหยุดเดินพร้อมกับหันขวับกลับไปอย่างรวดเร็ว จึงได้เห็นเงาผอมแห้งผู้หนึ่งซ่อนตัวในกองฟางริมทางด้วยความร้อนรน
“ออกมาเถอะ ข้าเห็นเจ้าแล้ว!” หยุนเชวี่ยตะโกนออกไป
อีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ
“ข้าจะเข้าเมือง เจ้าอยากตามไปด้วยใช่หรือไม่?”
คนผู้นั้นยังปิดเงียบสนิท แต่สุดท้ายก็ยอมชะโงกหน้าออกจากกองฟางอย่างเชื่องช้า
ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าซีดเหลืองเต็มไปด้วยบาดแผลและคราบน้ำตา ก่อนจะชำเลืองตามองไปยังหยุนเชวี่ยอย่างเอียงอาย และรีบหลุบตามองต่ำอีกครั้ง
หยุนเซียงเอ๋อ…
“เจ้าตามข้ามาเพราะเหตุใดหรือ?” หยุนเชวี่ยถาม
หยุนเซียงเอ๋อไม่กล่าวอะไร ได้แต่ซ่อนตัวอยู่หลังกองฟาง ก้มหน้าลงต่ำ
“อยากตามข้าเข้าเมืองด้วยใช่หรือไม่?”
เด็กคนนั้นไม่พูดไม่จา
“เจ้าออกมาก่อนสิ”
“…” หยุนเซียงเอ๋อยังคงเงียบยังนิ่งไม่ไหวติ่ง
“เจ้าไม่พูดไม่จาและไม่ฟังข้า เช่นนั้นข้าก็ไม่สนใจเจ้าแล้ว” หยุนเชวี่ยเห็นนางไม่มีการตอบสนอง จึงก้าวถอยหลังและเดินไป
“ซวบ ๆ” เสียงฝีเท้าอันบางเบาดังออกมาจากกองฟางข้างทาง
หยุนเซียงเอ๋อเดินตามหยุนเชวี่ยอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลไปตามพงหญ้า กระทั่งมาถึงหน้าประตูบ้านของเหอยาโถว
เมื่อหยุนเชวี่ยหยุดเดิน หยุนเซียงเอ๋อก็หยุดเดินเช่นกัน
ประตูบ้านของเหอยาโถวเปิดกว้างอยู่ เสี่ยวส้วยและชีจินต่างมาถึงกันหมดแล้ว พวกเขาเก็บข้าวของเตรียมจะออกจากบ้าน ครั้นเห็นหยุนเชวี่ยยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าจนปัญญา จึงเอ่ยถาม “เชวี่ยเอ๋อ ทำอะไรรึ?”
“เจ้ารีบออกมาได้แล้ว” หยุนเชวี่ยตะโกนออกไป
“ทำอะไรรึ?” เหอยาโถวคิดว่าถูกเรียกขาน จึงรีบส่ายก้นออกมาอย่างลุกลี้ลุกลน
“หากเจ้ายังไม่ออกมาอีก ข้าจะไม่สนใจเจ้าแล้วนะ เจ้าอยากตามข้าก็ตามไป เข้าเมืองยังไปอีกไกลโข!” หยุนเชวี่ยตะโกนไปยังพงหญ้า
เหอยาโถวมองตามสายตาของนาง “เชวี่ยเอ๋อ เจ้าพูดกับใครรึ?”
“หยุนเซียงเอ๋อ นางตามข้ามาตลอดทาง” หยุนเชวี่ยเชิดปลายคางขึ้น “ซ่อนตัวอยู่ในกองฟางนั้น ให้ตายก็ไม่ยอมออกมา”
“หยุนเซียงเอ๋อ? นั้นลูกของอาสามเจ้าไม่ใช่รึ? นางตามมาด้วยเหตุใด?”
“เรื่องมันยาวเกินกว่าจะเล่าได้” หยุนเชวี่ยถกแขนเสื้อขึ้น “ข้าทำให้นางออกมาให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
หยุนเซียงเอ๋อขี้ขลาดดั่งนกกระทา ครั้นเห็นหยุนเชวี่ยเดินมา ยิ่งตื่นตระหนกไม่กล้าขยับตัว
หยุนเชวี่ยเอ๋อใช้มือข้างหนึ่งกระชากหยุนเซียงเอ๋อออกมาจากกองฟางอย่างง่ายดาย
เหอยาโถวและชีจินเสี่ยวส้วยที่เดินตามออกมาชำเลืองตามองท่าทางนั้นของหยุนเซียงเอ๋อ ทั้งหมดยืนซื่อบื้ออยู่ตรงนั้น ไม่คิดปริปากคำใด
“โอ้สวรรค์! นี่มันอะไรกัน?”
“ใครทุบตีเจ้าเช่นนี้? หือ!”
“เหตุใดจึงเหลือรองเท้าเพียงข้างเดียวเล่า?”
หยุนเซียงเอ๋อหวาดกลัวหยุนชิ่วเอ๋อ จึงรีบหนีออกมาด้วยความตื่นตระหนก รองเท้าหลุดที่ไหนก็ไม่รู้ ขากางเกงก็ม้วนสูงข้างหนึ่งต่ำข้างหนึ่ง แขนทั้งสองข้างที่เผยออกมาก็เต็มไปด้วยรอยช้ำเลือด ใบหน้าเต็มไปด้วยบาดแผล เส้นผมก็ยุ่งเหยิงเต็มไปด้วยเศษหญ้า น่าอนาถยิ่งกว่าหนีความอดยากเสียอีก
“หยุนชิ่วเอ๋อทุบตีนาง” หยุนเชวี่ยกระชากนางที่กำลังตัวสั่นเทิ้ม และกล่าวกับเหอยาโถวว่า “เช่นนั้น ก็ให้นางอยู่บ้านเจ้าไปก่อน”
เหอยาโถว…
“นางไม่มีที่ไปแล้ว หากต้องกลับไป หยุนชิ่วเอ๋อต้องทุบตีนางอีกเป็นแน่” หยุนเชวี่ยเห็นท่าทางน่าสงสารของหยุนเซียงเอ๋อ นางคงไม่มีที่ไปโดยแท้จริง
ท่าทางคอหดไม่กล้าส่งเสียงเช่นนี้ เป็นผู้ใดก็โกรธไม่ลง
“เช่นนั้น… ก็เข้ามาก่อนเถอะ!” เหอยาโถวกล่าวด้วยความประหลาดใจ “หยุนเอ๋อทำร้ายนางเช่นนี้ได้อย่างไร? ไอหยา มีเลือดออกด้วย!”
น้ำเสียงของเหอยาโถวเผยความตระหนกตกใจ แม่ของเขาจึงวิ่งออกมาจากเรือนด้วยความตื่นตกใจ “มีอะไรรึ? เลือดออกตรงไหน!”
ต่อมา ปู่ ย่า พ่อ พี่สาวของเหอยาโถวก็พากันวิ่งออกมาราวกับฝูงผึ้ง
หยุนเชวี่ยคิดในใจ เด็กชายคนนี้คงเป็นที่โปรดปรานของคนทั้งบ้าน
“ไม่ใช่ข้า! เป็นนางต่างหาก!” เหอยาโถวรีบชี้นิ้วไปทางหยุนเซียงเอ๋ออย่างรวดเร็ว “นางถูกหยุนชิ่วเอ๋อทุบตี!”
ครอบครัวตระกูลเหอ ทุกคนพากันมองไปยังหยุนเซียงเอ๋อเป็นตาเดียว อีกฝ่ายถึงกับตกใจจนอยากจะมุดหัวเข้าไปในแขนเสื้อ
ดั่งคำกล่าวที่ว่าไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า หยุนเชวี่ยกระตุกมุมปากด้วยความลำบากใจ
“ไอหยา เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ? เหตุใดถึงได้ทุบตีเด็กน้อยจนเป็นเช่นนี้? น่าสงสารยิ่ง!” ท่านป้าเหอดึงแขนของหยุนเซียงเอ๋อมาดู กระทั่งพ่นลมหายใจ ก่อนจะเรียกลูกสาวทั้งสามคน “เร็วเข้า ไปหยิบยาห้ามเลือดมาเร็ว!”
หญิงชราตระกูลเหอซุบซิบนินทากันยกใหญ่ กระทั่งล้อมเข้ามาถามหยุนเซียงเอ๋อไม่หยุด “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดชิ่วเอ๋อถึงทุบตีเจ้า?”
“พ่อกับแม่เจ้าละ? เหตุใดถึงไม่มีใครเข้าไปขวาง?”
“ปู่กับย่าเจ้าก็ไม่สนใจเจ้ารึ?”
ถามกันอยู่ครึ่งวัน ครั้นเห็นหยุนเซียงเอ๋อไม่ตอบแม้แต่คำเดียว จึงหันมาถามหยุนเชวี่ย
“เฮ้อ! เรื่องนี้ พูดไปก็มากความ เช่นนั้น…” หยุนเชวี่ยกล่าวแบบขอไปที “ท่านป้า ข้าต้องเข้าเมือง เซียงเอ๋อไม่กล้ากลับบ้านแน่ หากข้าขอให้นางอยู่ที่นี่ก่อน ท่านป้าว่าอย่างไรเจ้าคะ?”
“เหตุใดจะไม่ได้ละ อยู่กับข้าที่นี่ไปก่อนเถอะ” ท่านป้าเหอตักน้ำใส่อ่างอย่างชำนาญ และถามหยุนเซียงเอ๋ออีกครั้ง “เด็กน้อย กินข้าวมาแล้วรึ?”
หยุนเซียงเอ๋อยังไม่ส่งเสียงใด ไม่พยักหน้าและไม่ส่ายหน้า นอกจากมองไปยังหยุนเชวี่ยแวบหนึ่งด้วยความหวาดกลัว
“ยังไม่ได้กิน ต้องรบกวนท่านป้าเหอเสียแล้ว ช่วยดูแลนางให้ข้าช่วงเช้าก่อนเถิด ตอนเที่ยงข้าจะมาพานางไป” หยุนเชวี่ยกล่าวขอบคุณ
ท่านป้าเหอโบกมือไปมา “พวกเจ้ารีบไปเถอะ เดี๋ยวแดดออก ส่วนเด็กคนนี้ให้อยู่กับข้าแล้ว เจ้าวางใจเถอะ!”
…
วันนี้ออกเดินทางช้าเล็กน้อย ระหว่างทางทั้งสี่คนเร่งฝีเท้ากันโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่างคุยกันแม้แต่ประโยคเดียว
ชีวิตสมัยโบราณช่างน่าเบื่อเสียจริง นอกจากทำงานหาเลี้ยงชีพแล้ว เวลาว่างก็เอาแต่ซุบซิบนินทาต่าง ๆ นานา ไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่หรือคนชราก็ย่อมไม่มีข้อยกเว้น
สิ่งที่พิเศษคือ เรื่องดีไม่เพ่งพราย แต่เรื่องร้ายมักแพร่ออกไปไกลตั้งพันลี้
หากบ้านไหนจงใจหาเรื่อง ไม่เกินหนึ่งวัน ได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาหลังมื้ออาหารทั่วทั้งหมู่บ้าน ลามกระทั่งโรงน้ำชาในหมู่บ้านแน่
ทั้งสามคนเดินตามหยุนเชวี่ยไป ก็ผลัดกันถามเรื่องราวไปตลอดทาง สอบถามจอแจกันไปมาตลอดทาง
เหอยาโถว “หยุนชิ่วเอ๋อทุบตีหยุนเซียงเอ๋อด้วยเหตุอันใดกัน”
หยุนเชวี่ยตอบกลับ “เพราะเอ้อหลางทุบตีหยุนชิ่วเอ๋อ จากนั้นก็หนีไป หยุนชิ่วเอ๋อจึงคว้าหยุนเซียงเอ๋อมาระบายความโกรธ!”
ชีจินถามต่อ “แล้วเหตุใดเอ้อหลางผู้นั้นต้องทุบตีหยุนชิ่วเอ๋อด้วยเล่า?”
หยุนเชวี่ยตอบ “เพราะหยุนชิ่วเอ๋อทุบตีท่านแม่ของเขา… ป้าสามน่ะ”
เสี่ยวส้วยถามบ้าง “แล้วเหตุใดหยุนชิ่วเอ๋อผู้นั้นจึงต้องทุบตีท่านป้าสามของเจ้าด้วย?”
หยุนเชวี่ยตอบ “เพราะอาสามของข้าทะเลาะกับนางก่อน นางจึงคว้าท่านป้าสามมาระบายอารมณ์”
เหอยาโถวถามต่อ “หยุนชิ่วเอ๋อผู้นั้นก็เลยทุบตีหยุนเซียงเอ๋อจนมีสภาพนี้ พ่อแม่ของนางไม่ขวางรึ?”
หยุนเชวี่ยตอบ “พ่อแม่ของนาง เอ้อหลาง ซานหลางต่างหนีกันไปหมดแล้ว ครอบครัวของนางเหลือนางเพียงผู้เดียว”
ทั้งสามคนได้ยินดังนั้นก็เบิกตากว้าง เหอยาโถวเกาหัวพลางกล่าว “เชวี่ยเอ๋อ เหตุใดตระกูลของเจ้าจึงวุ่นวายเช่นนี้!”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร” หยุนเชวี่ยยักไหล่อย่างจนปัญญา
“ข้าได้ยินท่านแม่กล่าวว่า ท่านย่าของเจ้าด่าคนทุกวัน”
“ข้ายังได้ยินมาว่า ท่านอาของเจ้าโหดเหี้ยม ไม่มีใครหน้าไหนกล้าเข้าไปคุยกับนาง”
“ลุงใหญ่ของเจ้าคงได้เป็นขุนนางกระมัง? เป็นขุนนางจะไม่อยู่ในหมู่บ้านของเราแล้วใช่หรือไม่? ถึงตอนนั้นเจ้าก็ต้องตามเขาเข้าเมืองใช่หรือไม่?”
“ไอหยา หากหยุนชิ่วเอ๋อกลายเป็นคุณหนูแล้ว ดวงตาคงอยู่เหนือศีรษะเป็นแน่*”
*หยิ่งผยอง
ทุกคนพากันเงียบสนิท
คนเหล่านั้นเดินไปคุยไปอย่างออกรสชาติ หัวข้อการสนทนาถูกเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อย่างสนุกสนาน