ตอนที่ 162 กัดฟันและกลืนมันลงท้องไป
แม่นางจ้าวเป็นหญิงสาวที่มีความสามารถ หากเทียบกับหญิงสาวทั่วไปแล้วช่างน่าดึงดูดใจยิ่งนัก แม่นางจ้าวเปรียบเสมือนหัวหน้าแกะในฝูงแกะ หากจับนางได้จะกำราบที่เหลือไม่ได้อย่างไรกัน?
หญิงชราหมายมั่นปั้นมือเฝ้าดูแม่นางจ้าวทำอาหารอย่างละเอียดถี่ถ้วน และถือโอกาสตั้งกฎเกณฑ์ให้แม่นางจ้าวเสีย ต่อจากนางต้องเป็นภรรยาของข้าราชการ ต้องรู้หนักเบารสมือของตนเอง และเคารพยำเกรงแม่สามี!
เรือนทิศตะวันออก
หยุนลี่จงสอดมือรองท้ายทอย นอนเหยียดยาวสะเปะสะปะอยู่บนเตียง สีหน้าหดหู่ใจ แต่ในใจกลับลำพองใจยิ่ง
หญิงสาวที่ว่านอนสอนง่าย อ่อนน้อมถ่อมตน แม้แต่คำว่า ‘ไม่’ ก็ไม่กล้าเอื้อนเอ่ย ไม่ต้องเอ่ยให้มากความก็รู้สึกชนะแล้ว!
ไม่เพียงแต่แม่นางจ้าว หลังจากนี้ทั้งหยุนชิ่วเอ๋อและใครต่อใคร ต่างก็ต้องก้มหน้าก้มตาประจบประแจงเขา แม้แต่หญิงชราก็ล้วนต้องเกรงอกเกรงใจเขา ไหนจะตาเฒ่าหยาบคายอย่างหวังหลี่เจิ้งผู้นั้นที่นินทากับชาวบ้านไปทั่ว หึ ๆ คอยดูทีละคนก็แล้วกัน!
ในขณะที่หยุนลี่จงกำลังฝันหวาน กำลังไตร่ตรองว่าไม่นานตนก็ต้องเป็นคนของขุนนางเก่าแก่ ถึงตอนนั้นจะแต่งตัวมอซอไปสอบฤดูใบไม้ร่วงได้ไฉนกัน? เขาต้องตระเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ รองเท้าทรงสวย หมวกบัณฑิตยิ่งขาดไม่ได้ พัดก็ต้องประณีตงดงาม ปากกาก็ต้องไปซื้ออย่างดีที่หอสี่ขุมทรัพย์
จากที่คำนวณดูแล้ว ยังต้องใช้เงินทองอีกไม่น้อย! แต่เมื่อคิดไปคิดมา… หยุนลี่จงยังไม่มีข้ออ้างอะไรไปสูบเงินจากผู้เฒ่าหยุนเลย
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หยุนลี่จงจึงลุกขึ้นจากเตียง เริ่มพลิกหาตามตู้ตามกล่องในเรือน จนเหงื่อผุดเต็มใบหน้า กระทั่งเจอเศษตำลึงเงินมากกว่าสองตำลึงและต่างหูที่แม่นางจ้าวซ่อนไว้ไม่กล้าใส่จากในซอกเก้าอี้
หยุนลี่จงห่อสิ่งของด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง ยัดลงในอ้อมแขนและก้าวออกจากประตูไป
“ข้ามีธุระต้องไปจัดการในเมือง” หยุนลี่จงบอกกล่าวแบบขอไปทีด้วยความทะนงตน
“เข้าเมืองไปทำอะไรอีก? แล้วกลับมายามไหน?” เสียงของผู้เฒ่าหยุนดังออกมาจากในเรือน
“นัดสหายเรียนไว้” หยุนลี่จงคร้านจะกล่าวมากความ
ประตูเรือนถูกเปิดออกจนเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด ครั้นผู้เฒ่าหยุนมองไปยังลานกว้าง หยุนลี่จงก็เดินออกจากประตูไปไกลแล้ว
…
โจ๊กที่ต้มอยู่ในเรือนของแม่นางเหลียนกำลังสุกได้ที่ ขนมรังนกสดใหม่ถูกยกลงจากหม้อ สมาชิกทั้งห้าในตระกูลต่างกินข้าวกันพร้อมหน้า ส่วนในครัวของบ้านอีกฝั่งยังคงวุ่นวายเกิดเสียงตึงตังเป็นระลอก
แม่เฒ่าจูก่นด่าไม่มีหยุดพัก นางใช้งานแม่นางจ้าวจนหัวหมุน
หยุนชิ่วเอ๋อเองก็เร่งรัดอย่างไม่สบอารมณ์ “ให้เจ้าทำอาหาร ยากกว่าแม่ไก่ฟักไข่ในเล้าเสียอีก! หิวตายกันทั้งบ้านก็เพราะเจ้า!”
แม่นางเหลียนยกโจ๊กวางบนโต๊ะ ก่อนจะมองไปทางนั้นอีกครั้ง “นำอาหารที่เราปรุงเสร็จแล้วไปส่งให้ท่านพ่อและท่านแม่ก่อนเถอะ?”
“ไปส่งให้ท่านย่า นางต้องกล่าวหาว่าเราเป็นขอทานแน่!” หยุนเชวี่ยอึดอัดใจ เหตุใดแม่นางเหลียนถึงยังทำตัวเฉกเช่นเด็กสามขวบ ไม่ฝังใจสักนิดเลยรึ?
ปล่อยให้ผู้อื่นด่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ไม่เคยจำ ช่างน่าเศร้าใจเสียจริง!
“ย่าของเจ้าก็นิสัยเช่นนั้น อยากด่าก็ปล่อยให้นางด่าไปเถอะ ป้าสะใภ้ใหญ่ทำงานบ้านไม่ใช่รึ ปู่กับย่าก็อายุมากแล้ว ซิ่วเอ๋อก็ถูกทุบตีจนเป็นเช่นนั้นอีก เฮ้อ! ให้พวกเขากินข้าวกันก่อนเถอะ!”
หยุนเชวี่ยเข้าใจ เกรงว่ารัศมีพระแม่ผู้โอบอ้อมอารีนี้คงจะถูกตอกฝังอยู่ในสมองอันว่างเปล่าของท่านแม่ของนางจนถอนตัวไม่ขึ้นตลอดชีวิตเป็นแน่
“ท่านปู่ ท่านย่า หยุนชิ่วเอ๋อ ป้าสะใภ้ใหญ่ หยุนเยว่ หยุนหรง และหยุนโม่ อาหารบ้านเราไม่เพียงพอให้พวกเขากินหรอก!” หยุนเชวี่ยแบะปากอย่างไม่เต็มใจนัก
แม่นางเหลียนกลับใจกว้าง ยกถ้วยปากบิ่นสำหรับใส่ผักใบหนึ่ง เทโจ๊กที่เหลือก้นหม้อลงไป และตักขนมรังนกเจ็ดแปดชิ้นในกระด้ง ก่อนให้หยุนลี่เต๋อไปส่งให้ทั้งหมด
“ข้ายังกินไม่อิ่มนะ!” หยุนเชวี่ยทำแก้มตุ่ยไม่พอใจ พร้อมกับยื่นมือไปคว้าขนมรังนกอีกสองชิ้น
แม่นางเหลียนเห็นท่าทางขุ่นเคือง จึงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เด็กคนนี้ ไปเรียนรู้นิสัยหวงอาหารตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
หยุนเชวี่ยเคี้ยวขนมรังนกจนแก้มตุ่ย พร้อมคิดในใจเมื่อครั้งที่ครอบครัวเราไม่มีข้าวจะกิน ไม่เห็นใครหน้าไหนจะยกซุปร้อนมาให้กินสักคำ!
เป็นอย่างที่คาดคิดไว้จริง ในตอนที่หยุนลี่เต๋อยกโจ๊กเข้าไปในห้องโถง แม่นางจ้าวและหยุนชิ่วเอ๋อกำลังด่ากันไปมา คนหนึ่งกราดด่า อีกคนก็โต้กลับ
ผู้เฒ่าหยุนตะคอกสองคำ ถึงจะหยุดลง
แม่นางจ้าวยังวิ่งวุ่นอยู่ในครัว ผู้เฒ่าหยุนเพรียกหาแต่หลานชายคนโตหยุนโม่ ทั้งสี่คนกำลังกินอาหารเช้าอยู่ในห้องโถงใหญ่
หยุนเชวี่ยเบะปาก ก่อนยื่นขนมรังนกที่หยิบมาจำนวนมากให้แก่เสี่ยวอู่ แต่เสี่ยวอู่ส่ายศีรษะเพื่อบอกว่าอิ่มแล้ว
“เจ้าต้องกินอีกหน่อย จะได้โตเร็ว ๆ อย่าทำตัวเป็นเด็กเหลือขอให้อาหารลูกไก่ทั้งวันสิ” หยุนเชวี่ยฝืนยัดใส่ปากเขา
เสี่ยวอู่มองหยุนเชวี่ยอย่างแววตาจนใจสะท้อนออกมาทางแววตาสีดำคู่นั้น เจ้าเองก็ต้องหยิบมาแต่พอดี เอามาก็กินไม่หมด แล้วมาโทษข้ารึ?
“เจ้าเด็กน้อย จะกินไม่กิน?” หยุนเชวี่ยเลิกคิ้วสูง โบกมือไปมา
เสี่ยวอู่ทอดถอนใจเงียบ ๆ ก้มหน้าลงและกัดขนมไปคำใหญ่ พลางบ่นในใจว่ากินก็กิน! จะได้ไม่ต้องทะเลาะกับหยุนเชวี่ยที่ความรู้ต่ำต้อยราวกับเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม
“เฮ้อ ไม่รู้ว่าเซียงเอ๋อหนีไปที่ใดแล้ว?” แม่นางเหลียนมองไปทางเสี่ยวอู่ อดนึกถึงหยุนเซียงเอ๋อที่อายุไล่เลี่ยกับลูกชายตนไม่ได้
“นางเองก็โง่ หนีกันไปทั้งบ้าน ถูกหยุนชิ่วเอ๋อทุบตีหนักเช่นนั้นจะหนีไปได้ไกลสักเท่าไหร่เชียว!” หยุนเชวี่ยหมดคำพูด
หากหยุนเชวี่ยไม่กล่าว เกรงว่าเด็กโง่นี้ก็คงถูกทุบตีจนตายไม่แม้แต่จะขยับตัว
“ข้าเป็นห่วงเอ้อหลาง ซานหลาง เป็นห่วงกลัวเซียงเอ๋อเด็กผู้นั้น เจ้าว่าเด็กสาวที่โตถึงเพียงนั้น หนีออกไปข้างนอกคงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกใช่หรือไม่?” ความใจอ่อนของแม่นางเหลียนกำเริบอีกครั้ง
“ท่านแม่อดเป็นทุกข์ไม่ได้จริง ๆ เป็นห่วงยิ่งกว่าบิดามารดาแท้ ๆ ของนางเสียอีก!” หยุนเชวี่ยวางถ้วยชามลง พลางเช็ดมุมปาก “ไปละ วันนี้ยังต้องเข้าเมืองไปขายบ๊วยอีก”
“อากาศก็ร้อน พกน้ำไปดื่มระหว่างทางด้วยสิ!”
“ไม่ ข้าหนัก”
“ไม่ดื่มน้ำแต่ตวาดจนคอแหบแห้ง ข้าใส่ไว้ในตะกร้าให้เจ้าแล้ว อย่าลืมดื่มน้ำ…”
“รู้แล้ว ๆ ข้าไปล่ะ…”
หยุนเชวี่ยโบกมือไปมา สะพายตะกร้าไม้ไผ่ พลันนึกอะไรได้จึงย้อนกลับไปหาหยุนเยี่ยนด้านหน้า และกำชับว่า “ท่านพี่ วันนี้หยุนชิ่วเอ๋อและท่านย่าทะเลาะกัน ท่านก็อย่าอยู่แต่ในเรือน ไปทำงานกับท่านพ่อท่านแม่ ไม่ก็ไปเย็บปักถักร้อยกับพี่เหอเซียงเอ๋อก็ได้ อย่ามัวแต่อมทุกข์อยู่แต่ในบ้าน เข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจแล้ว พี่คิดไว้ในใจแล้ว เจ้าวางใจเถอะ” หยุนเยี่ยนพยักหน้า “เดินทางดี ๆ และรีบกลับมา”
หยุนเยี่ยนมีนิสัยขี้ใจอ่อน แต่ไหนแต่ไหนไม่เคยแข็งข้อกับหยุนชิ่วเอ๋อ แต่ก็ไม่ได้โง่ เข้าใจเหตุผลที่ว่ายั่วยุไปก็หลีกหนีไม่พ้น
หยุนเยี่ยนเดินขึ้นหน้า เสี่ยวอู่เดินอยู่ด้านหลังเพื่อไปเรียนหนังสือที่บ้านของเฟิงซิ่วไฉ่ หยุนเยี่ยนตามหยุนลี่เต๋อไปทำงานด้วย ลานกว้างของตระกูลหยุนไม่ได้โล่งโจ่งแจ้งเฉกเช่นครั้งก่อน
ผู้เฒ่าหยุนนั่งเหม่อลอยอยู่ใต้ชายคา สายตาว่างเปล่า ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
หยุนชิ่วเอ๋อนั่งกอดรูปภาพกรอบเหล็กใบหนึ่งอยู่บนเตียง ยิ่งเห็นใบหน้าที่บวมเป่งฟกช้ำดำเขียวก็ยิ่งปวดใจ เดี๋ยวก็ด่าเดี๋ยวก็ร่ำไห้
แม่เฒ่าจูคุมตัวแม่นางจ้าวไว้ คอยจ้องจับผิดอยู่ตลอดเวลา และเรียกใช้นางจนหัวหมุน
แม่นางจ้าวรู้สึกขมขื่นอย่างยิ่ง แต่อยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ต้องก้มหน้ารับกรรม ทำได้แค่กล้ำกลืนฝืนทน แต่ในใจกลับขุดเอาบรรพบุรุษหลายชั่วโคตรมากราดด่าไปรอบหนึ่งแล้ว