ตอนที่ 161 เงื่อนไขเจ็ดประการ

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 161 เงื่อนไขเจ็ดประการ

ก่อนที่แม่นางจ้าวจะออกเรือน ตระกูลฝ่ายมารดาตั้งอยู่ในหมู่บ้านดอกแพร์ที่ติดกับเขตเมือง ในตระกูลมีทั้งบ้านและที่ดิน ทั้งยังเปิดเป็นโรงน้ำชาแห่งหนึ่งข้างวัดประจำหมู่บ้าน จึงถือโอกาสทำค้าขายขนาดเล็กไปด้วย คงไม่ต้องบอกว่าร่ำรวยเพียงใด อย่างน้อยก็รุ่งเรืองกว่าชาวบ้านทั่วไป

เมื่อครั้งแม่นางจ้าวยังสาว นางมีความทะเยอทะยานคล้ายหยุนชิ่วเอ๋อ แม่นางจ้าวต้องการแต่งงานกับคุณชายตระกูลใหญ่ในเขตเมือง ทว่าหากสูงเกินก็รับไม่ไหว แต่ต่ำเตี้ยก็ไม่ยินดี นางสอดสายตามองหาอยู่เนิ่นนานจนสุดท้ายหยุดลงที่หยุนลี่จงผู้ซึ่งมีพรสวรรค์ตั้งแต่ยังเยาว์

เมื่อสิบหรือสิบสองปีที่แล้ว หยุนลี่จงเนื้อหอมยิ่งในละแวกหมู่บ้านใกล้เคียง เขาไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อย แต่ยังมีใบหน้าหล่อเหลาและอนาคตยาวไกล

สุดท้ายเป็นตระกูลจ้าวที่ไม่คิดอยากได้ของหมั้นจากอีกฝ่าย อีกทั้งยังพร้อมมอบสินสอดมากมายเพื่อให้บุตรสาวเข้าสู่ตระกูลหยุน

ในวันรับตัวเจ้าสาว สินสอดทองหมั้นของแม่นางจ้าวถูกตระเตรียมไว้พร้อมทั้งสี่ประการ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าไหม เสื้อผ้าขนสัตว์ ผ้าฝ้าย เนื้อสัตว์ เหล้าชั้นดี และยังมีเครื่องประดับเงินก้นหีบ ของหมั้นทั้งหมดล้วนน่าประทับใจ สินสอดทองหมั้นแม้เหมือนการค้าไม่ทำกำไร แต่ก็ถือว่าเป็นช่วยการตอกหมุดโลง*

*เป็นการลงทุนที่ควรกระทำ เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้แต่งงานกันอย่างแน่นอน

แม่นางจ้าวแต่งงานเข้าตระกูลหยุนด้วยสินสมรสส่วนตัวอันเฟื่องฟู ซึ่งตำแหน่งย่อมสูงกว่าแม่นางเหลียนและแม่นางเฉินที่เข้าตระกูลมาทีหลัง

น่าเสียดายนี่เป็นเพียงแค่สิ่งของภายนอก เดิมทีแม่เฒ่าจูมีสะใภ้สองคนไว้เรียกใช้ จึงไม่ต้องใช้นางทำงานบ้านอะไร แต่กลับเปลี่ยนมาบีบบังคับแทน นางฉกฉวยเอาเครื่องประดับ เงินทอง ผ้าฝ้ายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แม่นางจ้าวนำติดตัวมา

เกือบยี่สิบกว่าปีที่ต้องใช้ชีวิตเช่นนี้ แม้ว่าสินสอดสมรสของแม่นางจ้าวจะถูกแม่เฒ่าจูฉกฉวยไปจนเกือบหมดเกลี้ยง แต่ก็ยังปฏิบัติตัวดีกว่าในบรรดาสะใภ้ทั้งสามคน ไม่เคยต้องทำงานบ้านอะไร และยังเป็นที่รองรับอารมณ์น้อยกว่าอีกสองคนเสียด้วย

แม่นางจ้าวจึงเคยชินกับความสบาย จะยอมออกไปประสบกับชีวิตที่แสนลำเข็ญเหล่านั้นได้อย่างไร อย่าได้เอ่ยถึงการคุกเข่าจุดฟืนทำอาหารในห้องครัวในวันที่ร้อนอบอ้าวเช่นนี้เลย มือสิบนิ้วนั้นของนางไม่เคยตากแดด แม้แต่ถ้วยชามก็ยังไม่เคยต้องล้าง!

“สะใภ้สามหนีไปแล้ว หากเจ้าไม่ทำแล้วผู้ใดจะทำ?” หยุนลี่จงถามกลับ

“ใครกินคนนั้นก็ทำสิ ข้าไม่ทำ ข้าทำไม่เป็น!”

“ไม่เป็นรึ? เจ้าไปดูสิ หญิงสาวบ้านไหนบ้างที่บอกว่าทำอาหารไม่เป็น แม้แต่ข้าวก็หุงไม่เป็น แล้วเช่นนั้นข้าสู่ขอเจ้ามาด้วยเหตุผลใดกัน?”

แม่นางจ้าวนิ่งเงียบอย่างหดหู่ใจ

แม่เฒ่าจูก่นด่าอยู่เป็นครึ่งวัน เมื่อเห็นเรือนทิศตะวันออกไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว น้ำเสียงจึงยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม “แม่สะใภ้ใหญ่ เจ้าแกล้งทำเป็นลาหูยาว รอความตายอยู่ในเรือนรึ! ต้องให้ข้าเข้าไปเชิญเจ้าถึงด้านในเลยใช่หรือไม่? ยังไม่รีบออกมาทำอาหารอีก!”

หยุนลี่จงจึงเร่งเร้านางอย่างหมดความอดทน “รีบไปเลย ให้ทำอาหารแค่นี้ทำเป็นน้อยใจ! เห็นไหมว่าแม่บ่นเสียงดังจนข้าอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องแล้ว!”

“เจ้า…” แม่นางจ้าวคิดจะกล่าวโต้แย้ง ทีเขาเอาแต่มุดหัวอยู่ในเรือนสองสามวัน ไม่ใช่เพราะนั่ง ๆ นอน ๆ อ่านแต่หนังสือเหล่านั้นโดยคร่ำเคร่งหรอกหรือ แต่เมื่อกล่าวถึงคำนี้ ก็ต้องกลืนกลับลงไปอีกครั้ง จากนัั้นก็เชิดคางขึ้น ยืนขึ้นอย่างไม่เต็มใจ ปากก็บ่นอุบอิบ “ข้าแต่งงานเข้ามาในตระกูลหยุน ไม่เคยมีความสุขสักวัน มีแต่ถูกรังแก มิสู้…”

“มิสู้อะไรรึ? ข้าว่าเจ้าอยู่อย่างมีความสุขแต่ไม่รู้จักคุณค่ามากกว่า! ไม่ลองออกไปถามดูล่ะ สะใภ้บ้านไหนไม่เอาใจใส่สามี ไม่กตัญญูต่อพ่อแม่สามีเฉกเช่นเจ้าบ้าง!” หยุนลี่จงสอดแขนรองท้ายทอยส่งเสียง “หึ” ในลำคอด้วยสีหน้าไม่พอใจ และกล่าวว่า “เงื่อนไขเจ็ดข้อ นับด้วยนิ้วตนเองก็ยังเกินไปตั้งมาก!”

เมื่อแม่นางจ้าวได้ยินประโยคนี้ ใบหน้างดงามนั้นก็เดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดทันที แม่นางจ้าวทั้งเกลียดทั้งโกรธทั้งตกใจ

เงื่อนไขเจ็ดประการคือหนึ่งไม่กตัญญูต่อพ่อแม่ สองไม่มีบุตร สามคบชู้ สี่อิจฉาริษยา ห้ามีโรคร้ายแรง หกพูดมาก และเจ็ดลักขโมย!

หยุนลี่จงคงอยากเขี่ยนางทิ้งเสียแล้ว!

แม้ว่าคำกล่าวนี้จะไม่ใช่การตอบกลับครั้งแรก แต่ครั้งนี้แม้แต่เงื่อนไขเจ็ดประการก็พลั้งปากออกมา เห็นได้ชัดว่าหยุนลี่จงมีความคิดนี้นานแล้ว ไม่แน่ว่าแม้แต่จดหมายหย่าก็คงถูกร่างขึ้นแล้ว รอวันได้เลื่อนตำแหน่งและร่ำรวยขึ้น คงจะถีบหัวส่งภรรยาที่ไม่มีอันจะกินผู้นี้ไปไกล ๆ เป็นแน่!

เจ้ามันไอสารเลวเนรคุณคน! แม่นางจ้าวก่นด่าด้วยความชิงชังอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ายังคงแต้มด้วยรอยยิ้ม “ดูเจ้าสิยังมีหน้ากล่าวเช่นนี้? ข้าบ่นเจ้าเพียงสองประโยค เจ้าถึงขั้นหยิบยกเงื่อนไขเจ็ดประการมากดขี่ข่มเหง อย่างไรเสียข้าก็มีบุตรชายหนึ่งหญิงสองให้แก่ตระกูลหยุนของเจ้าแล้ว หลายปีมานี้ ข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อเจ้า ปฏิบัติดีต่อพ่อแม่ของเรา ต่อชิ่วเอ๋อ ถามใจตนดู ทำงานหนักโดยไม่มีผลงาน เหตุใดเจ้าถึงไม่คิดเรื่องดีบ้าง?”

แม่นางจ้าวกล่าวในขณะที่ดวงตาร้อนผ่าว ภายในใจรู้สึกอึดอัดเสียเต็มทน

วันสอบภาคฤดูใบไม้ร่วงขยับใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ หยุนลี่จงมีสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมชั้นสองสามคน ตำแหน่งข้าราชการก็อยู่แค่เอื้อม อารมณ์ช่วงนี้จึงดีขึ้นมากโข

ครั้นก่อน หากแม่นางจ้าวร้องไห้อย่างไม่เป็นธรรม กระเง้ากระงอน หยุนลี่จงยังพอปลอบใจบ้าง แต่บัดนี้เหลือเพียงแค่ความอดทนเท่านั้น

“ไม่กตัญญู อิจฉาริษยา พูดมาก เจ้าครอบครองไปแล้วสามเงื่อนไขในเจ็ด” หนังตาของหยุนลี่จงหลุบต่ำ และกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ข้าเห็นแก่ความสัมพันธ์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา บัดนี้จึงยังไม่ทอดทิ้งเจ้า เจ้ายังจะบ่นอะไรอีก?”

ร่างกายของแม่นางจ้าวแข็งทื่อไป ริมฝีปากแห้งผากกล่าวอันใดไม่ออก

สมกับที่เป็นผู้เฒ่าซิ่วไฉ่จริง ๆ หากพูดตามหลักเหตุผลก็ถูก หยุนลี่จงทำราวกับให้ความเมตตาอันยิ่งใหญ่แก่นางอย่างไรอย่างนั้น!

ด้านนอก แม่เฒ่าจูยังคงก่นด่าเสียงดัง แม่นางจ้าวฟังไม่รู้เรื่องว่านางกำลังก่นด่าอะไร ทำเพียงฝืนยิ้มและพยักหน้า ก่อนจะกัดฟันกล่าวว่า “ก็ได้ ก็ได้ ข้าไปก็ได้!”

ประตูเรือนฝั่งตะวันออกเปิดและถูกปิดลงอีกครั้ง

แสงสว่างที่แยงเข้าตาจากด้านนอกทำให้แม่นางจ้าวเกิดวิงเวียนทันใด เกือบยืนไม่มั่นคง เท้าเริ่มสะเปะสะปะ เดินไปยังห้องครัวอย่างคนไร้สติ

“ไอหยา! กว่าจะเชิญนางออกมาได้! ข้าเป็นมารดา อยากกินอาหารฝีมือของนางไม่ใช่เรื่องง่ายจริง ๆ ต้องร้องวิงวอนขออยู่เสียนาน! พระเจ้า! เจ้าไม่ได้แต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ เจ้าแต่งเข้ามาเป็นบรรพบุรุษต่างหาก! วันพรุ่งนี้ข้าจะไปเชิญกระถางธูปมากราบไหว้ จุดธูปบูชาสามมื้ออาหารไปเลย!” แม่เฒ่าจูเท้าสะเอว เดินตามนางมากระทั่งถึงห้องครัว และยืนก่นด่าอยู่หน้าประตูอย่างไม่ลืมหูลืมตา

ตอนนี้แม่นางจ้าวไม่ส่งเสียงใด แม่นางจ้าวพยายามปรับตัวให้อยู่รอดในสถานการณ์นี้จึงก้มหน้าลง ขวาที ซ้ายที ไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อนหลัง…

เมื่อครั้งยังสาวไม่ใช่ว่าแม่นางจ้าวไม่เคยทำกับข้าว หากแต่ไม่ได้ทำนานแล้วตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา ประกอบกับที่ห้องครัวถูกแม่นางเฉินละเลงจนเลอะเทอะ ข้างหม้อก็มันจนหนาเป็นชั้น บนเตาฟืนก็เต็มไปด้วยฝุ่น เปื้อนไปด้วยไม้สีดำปี๋ บนพื้นเต็มไปด้วยไม้ฟืนที่ระเกะระกะ โดยพื้นฐานแล้วไม่น่าจะทำได้เลย!

แม่เฒ่าจูเห็นนางที่เดิมทีมักจะพูดเป็นต่อยหอยไม่กล่าวอะไร จึงก่นด่าอย่างรุนแรงมากยิ่งขึ้น ร่างทั้งร่างขวางอยู่หน้าประตูห้องครัว ใบหน้าก็เหี่ยวย่นเต็มทน

“ของที่ไร้ประโยชน์ ยังไม่สู้ภรรยาที่ตะกละตะกลามและเกียจคร้านอย่างสะใภ้สามผู้นั้น! เอ้า… คุณหนูในคราบคนใช้ เร็วเข้า เจ้าปรารถนาให้พวกข้าหิวตายกันทั้งบ้านหรือไร?!”

“เร่งมือหน่อย! นวดแป้งก็ไม่เป็น อ้าปากกินเป็นอย่างเดียว! ข้าคงตาบอด ถึงได้คว้าเจ้าเข้ามาล้างผลาญครอบครัวเช่นนี้!”

“หึหึ ดูสิ แต่งงานเข้ามาตระกูลหยุนยี่สิบปี ไม่เคยปรนนิบัติแม่สามีสักวัน ยังมีความสุขกว่าคุณหนูในจวนเสียอีก! ตระกูลจ้าวของเจ้าได้อานิสงค์ดี ๆ มาจากบรรพบุรุษเสียจริง!”

กล่าวกันว่าแม่เฒ่าจูที่มีที่ดินแค่น้อยนิดหยิบมือ แต่ฝีปากหาญกล้าท้าทายผู้คน บ้างก็ด่าสาดเสียเทเสีย บ้างก็หัวเราะเยาะผู้คนจนตาหยีแทบไม่อาจพบเจอลูกตา