**สำรวจหลุมยักษ์!**
หลิงหยุนจัดการโทรหาถังเมิ่ง สั่งให้เขาหาวิธีจัดการให้สองสาวอยู่ที่บ้านหลังนั้นไปก่อน จากนั้นก็โทรหาเสี่ยวเม่ยหนิงขอให้เธอช่วยส่งเจ้าขาวปุยกลับมาที่อพาร์ทเมนท์ของเขาก่อนสี่ทุ่ม
หลังจากวางสายไปแล้ว หลิงหยุนก็จัดการปิดโทรศัพท์เพื่อไม่ให้ใครโทรมารบกวนอีก แล้วเริ่มเข้าไปค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ต
หลิงหยุนเคยท่องอินเทอร์เน็ตมาก่อนแล้ว เขาจึงสามารถเล่นได้อย่างคล่องแคล่ว แน่นอนว่าข้อมูลที่เขาต้องการค้นหาก็คือเรื่องนิทานปรัมปราและตำนานเกี่ยวกับประเทศจีน
นิทานปรัมปราที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับกำเนิดโลกก็ดี การย้ายภูเขาลงทะเลก็ดี การแปลงร่าง หรือเรื่องเล่าเกี่ยวกับผู้คนที่มองเห็นและได้ยินเสียงในระยะไกลก็ดี ทุกเรื่องเหล่านี้ล้วนพูดถึงเรื่อง ‘พลังวิเศษ’ ทั้งสิ้น
เรื่องเล่าเหล่านี้อาจไม่มีความสำคัญ และเป็นเพียงเรื่องเล่าหลังอาหารสำหรับคนธรรมดาๆทั่วไป แต่สำหรับหลิงหยุนนั้น เมื่อใดก็ตามที่เขาเริ่มเข้าสู่ขั้นพลังชี่แล้ว เขาก็จะมีพลังวิเศษที่ว่านี้เช่นกัน..
หรืออาจพูดอีกอย่างหนึ่งว่า เมื่อใดก็ตามที่หลิงหยุนเข้าสู่ขั้นพลังชี่ ความสามารถที่เหลือเชื่อก็จะค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละอย่าง จนแทบไม่ต่างจากพวกนิทานปรัมปราหรือตำนานต่างๆเหล่านั้นเลย
หลิงหยุนค่อยๆค้นหา และนั่งอ่านเรื่องราวต่างๆไว้เป็นข้อมูล
หลังจากผ่านไปสี่ชั่วโมง.. หลิงหยุนก็ได้นั่งอ่านตำนานต่างๆมากมายที่อยู่ในอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นตำนานผานกู่สร้างโลก ตำนานนหวี่วาสร้างมนุษย์ ตำนานโฮ้วอี้ผู้ยิงธนูดับดวงอาทิตย์ ตำนานจิงเว่ยผู้ถมทะเล ตำนานสามราชาห้าจักรพรรดิ ตำนานจิ้งจอกเก้าหาง ไซอิ๋ว ชานไห่จิง-คัมภีร์แห่งขุนเขาและทะเล หรือแม้แต่เรื่องเล่าของเหลียวไช้ก็ไม่เว้น..
นอกเหนือจากตำนานการสร้างโลก และตำนานการสร้างมนุษย ตำนานอื่นๆนั้น ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ก็สามารถทำได้
ทุ่มครึ่งแล้ว.. ในที่สุดหลิงหยุนก็ลุกขึ้น แม้ว่าข้อมูลต่างๆในอินเทอร์เน็ตจะมีมากมายเหลือเกิน ตำนานบางเรื่องก็ขัดแย้งกันเอง แต่หลิงหยุนก็พอที่จะจับหลักได้คร่าวๆ
และด้วยความทรงจำที่ทรงพลังของหลิงหยุน ทุกอย่างที่อ่านผ่านตาไปแล้วนั้น เขาสามารถจดจำไว้ได้หมด
“บุคคลในตำนานเหล่านี้มีตัวตนจริงหรือไม่นะ.. และหากมีจริงพวกเขาหายไปใหน?? หายไปเพราะพลังอำนาจที่เหนือกว่างั้นหรือ?…”
แม้ตำนานเหล่านี้จะเป็นเรื่องลี้ลับ และไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องแต่ง แต่ก็มีคำพูดว่า – หากไม่มีลม คลื่นย่อมไม่เกิด
นั่นย่อมหมายความว่าต้องมีต้นตอความเป็นจริงอยู่บ้าง มิเช่นนั้นแล้ว เหตุใดจึงไม่มีตำนานเล่าขานบ้างว่า ดวงอาทิตย์เคยเป็นรูปสามเหลี่ยมมาก่อนบ้างล่ะ?
หลิงหยุนยิ้มมุมปาก และหากสิ่งที่เขาวิเคราะห์ไว้ไม่ผิด เขาก็จะไม่โดดเดี่ยวอยู่บนเส้นทางฝึกฝนอีกต่อไป
และเมื่อเข้าใจในเรื่องเหล่านี้มากขึ้น หลิงหยุนก็ยิ่งเข้าใจถึงความสำคัญของการทำตัวธรรมดาๆไม่โดดเด่น!
หากผู้คนในตำนานมีอยู่จริง และได้หายตัวไปเพราะไม่สามารถต้านทานพลังอำนาจบางอย่างได้ โลกใบนี้จึงเป็นอย่างที่เห็นอยู่
เรื่องนี้ไม่ต่างจากที่เกาเฉินเฉินเคยเล่าให้เขาฟังเรื่องยอดฝีมือ และหลิงหยุนเองก็ได้เห็นกับตา โลกนี้มียอดฝีมือขั้นเซียงเทียน มีมังกร มีสุนักจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง มีค่ายกลมังกรหยินหยาง แล้วก็ยังมีพู่กันจักรพรรดิ
หากพู่กันจักรพรรดิตกไปอยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ รับรองว่าผู้คนในโลกบ่มเพราะคงต้องแย่งชิงกันจนแตกหักแน่ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดผู้คนในโลกนี้ถึงได้เงียบกริบไม่คิดแย่งชิง ทั้งที่มันมีพลังอมตะอยู่มากมาย
และมีเพียงอมฤตวัตถุเท่านั้นที่จะสามารถรองรับพลังอมตะได้!
อีกเพียงแค่สองสามชั่วโมง หลิงหยุนก็จะลงไปสำรวจหลุมยักษ์แล้ว แน่นอนว่าหลิงหยุนไม่ไปด้วยท้องที่ว่างแน่ เขาออกห้องไปหาข้าวกินก่อน แล้วกลับมาท่องอินเทอร์เน็ตต่อ
และครั้งนี้หลิงหยุนไม่ได้ศึกษาเรื่องตำนานของจีนอีก แต่เขาเข้าไปศึกษาเรื่องอักษรจีนโบราณแทน
และเขาก็พบอักษรจีนโบราณมากกว่าสามพันคำในอินเทอร์เน็ต อีกทั้งยังไม่มีความจำเป็นต้องท่องจำอะไรอีกด้วย เพราะเพียงแค่คีย์ตัวอักษรจีนโบราณเข้าไป ความหมายก็จะขึ้นมาทันที..
“เดี๋ยวนี้คำที่ไม่ค่อยได้ใช้ก็ไม่จำเป็นต้องท่องจำอะไรกันอีกแล้วสินะ..”
และเมื่อถึงเวลาห้าทุ่มครึ่ง หลิงหยุนก็จัดการปิดคอมพิวเตอร์และตรวจสอบของที่เตรียมไว้ เขาเรียกชุดกีฬาสองชุดและรองเท้าผ้าใบสองคู่เก็บเข้าไปในแหวนพื้นที จากนั้นก็ล็อคประตูห้องแล้วเดินออกไป
คืนนี้อากาศดีมาก แม้ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว อุณหภูมิในเมืองจิงฉูยังที่ยี่สิบองศา ท้องฟ้าไร้เมฆทำให้สามารถมองเห็นพระจันทร์และดวงดาวได้อย่างชัดเจน หลิงหยุนจัดการโคจรดารกะดายันไปทั่วร่างในระหว่างที่เดินไปตามถนนพร้อมกับเจ้าขาวปุย มุ่งหน้าไปยังบ้านของตัวเอง
เมื่อไปถึงบ้านเลขที่-1 หลิงหยุนจัดการดูดซับพลังชีวิตเข้าไปจนเต็ม และเดินออกจากบ้านไป
หลังจากที่ออกจากบ้านไปแล้ว หลิงหยุนก็มุ่งหน้าไปยังผาพยัคฆ์บนเขามังกร สามวันผ่านไป.. คืนนี้เป็นคืนที่เขานัดพบกับตู้กู่โม่
เมื่อเขาไปถึงเขามังกร หลิงหยุนก็เคลื่อนที่ไปมาบนหน้าผาพยัคฆ์ด้วยความรวดเร็ว ความเร็วของหลิงหยุนนั้นรวดเร็วราวกับหายตัวได้
“นี่.. ตู้กู่โม่ เจ้าเด็กน้อยเจ้ามาหรือยัง?” หลิงหยุนขึ้นไปถึงหน้าผาพยัคฆ์แล้ว แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของคน ทำให้เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
หลิงหยุนกำลังคิดว่าหรือเขาจะลบความทรงจำของตู้กู่โม่พลาด ไม่เช่นนั้นเด็กที่เย่อหยิ่งจองหองอย่างตู้กู่โม่คงต้องมารอที่นี่แล้วไม่ใช่หรือ?
หลิงหยุนคิดแล้วคิดอีกก็มั่นใจว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะพลาด เขาจำได้แม่นยำว่าเขาลบความทรงจำของตู้กู่โม่ออกเพียงช่วงระยะเวลาสองชั่วโมงเท่านั้น ในเวลานั้นหลิงหยุนแข็งแกร่งถึงขั้นพลังชี่ระดับ-9 และแน่นอนว่าต้องไม่มีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน
มังกรคำรามก็ครอบคลุมทุกคนที่อยู่ในพื้นที่นั้น เขาเก็บรักษาความทรงจำของคนที่เกี่ยวข้องกับเขาเท่านั้น และเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดปัญหากับตู้กู่โม่เพียงแค่คนเดียว
หลิงหยุนเดินเอามือไขว้หลังสำรวจไปรอบผาพยัคฆ์ แล้วจู่ๆเขาก็สังเกตุเห็นที่รั้วกั้นบนผาพยัคฆ์มีลายมือของตู้กู่โม่
‘หลิงหยุน.. ข้ามารอเจ้าอยู่ครึ่งชั่วโมง คืนนี้ข้ารีบมาก พวกเรานัดปะลองกันใหม่ในวันถัดไปก็แล้วกัน!’ และลงชื่อ ‘ตู้กู่’
ลายมือนั่นถูกสลักไว้ที่ราวบันไดเหล็กที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางราวสองเซ็นติเมตร และเป็นการสลักด้วยปลายดาบ
หลังจากอ่านข้อความที่ตู้กู่โม่สลักทิ้งไว้ที่ราวบันไดแล้ว หลิงหยุนก็ใช้นิ้วของตนเองแนบลงไปกับราวเหล็ก และรูดไปตามตัวอักษร จากนั้นตัวอักษรเหล่านั้นก็หายไป
หลิงหยุนก็ใช้นิ้วสลักคำว่า ‘ตกลง’ ลงไปแทน! แต่ในใจกลับนึกอยากให้ตู้กู่โม่ลงไปสำรวจด้านล่างด้วยกัน
หลิงหยุนยิ้มลุกขึ้นไปมองไปยังก้นหลุมสีดำ และในยามค่ำคืนเช่นนี้มันช่างดูเหมือนกับปากปีศาจขนาดใหญ่
“ไม่รู้ว่าสองสามวันที่ผ่านมา มีคนลงไปสำรวจมากเท่าไหร่แล้ว เอาล่ะได้เวลาสนุกกันแล้ว!”
“ขาวปุย.. ไปกันได้แล้ว!”
หลิงหยุนพาเจ้าขาวปุยลงไปอีกฝั่งของเขามังกร ที่ทั้งชัน เต็มไปด้วยหินและหญ้า แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับหลิงหยุนกับเจ้าขาวปุย และทั้งคู่ฝ่าเข้าไปในป่าทึบและมุ่งหน้าไปยังหุบเขาที่อยู่ระหว่างเขามังกรกับเขาหยกด้านใต้
หลิงหยุนและเจ้าขาวปุยหยุดอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ทั้งคู่เคยมาเมื่อครั้งที่แล้ว มันเป็นต้นไม้เก่าแก่ที่มีอายุหลายปี
บริเวณนี้ห่างจากปากหลุมยักษ์ราวสองร้อยเมตร สำหรับหลิงหยุนแล้วใช้เวลาไม่ถึงสิบวินาทีก็ไปถึงปากหลุมได้
“ขาวปุย.. พวกเราจะลงไปสำรวจก้นหลุมยักษ์นั่นกัน ว่าแต่มีรูที่สามารถทะลุไปถึงที่ก้นหลุมได้ไม๊?”
เจ้าขาวปุยเข้าใจในสิ่งที่หลิงหยุนพูด มันกระพริบตาคู่สวยพร้อมกับส่ายหน้า แล้วก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว!
แม้ท่าทางของเจ้าขาวปุยจะดูขัดแย้ง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพูดว่า “เอาล่ะ.. ถ้างั้นเจ้าก็ขุดหลุมไป ส่วนฉันจะลงไปทางปากหลุม แล้วไปเจอกันที่ก้นหลุม แบบนี้เป็นไง?”
เจ้าขาวปุยกระพริบตาให้หลิงหยุนอยู่นาน จากนั้นเงาสีขาวก็พุ่งหายไปในทันที!
หลิงหยุนเห็นเจ้าขาวปุยลงไปแล้วก็ไม่ได้กังวลอะไรมาก เขาหันมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร เขาก็พุ่งไปที่หลุมยักษ์นั่นทันที
เมื่อไปถึงปากหลุม หลิงหยุนก็ย่อตัวลงพร้อมกับมองลงไปด้านล่างครู่ใหญ่
หลิงหยุนเคยสำรวจก้นหลุมด้วยจิตหยั่งรู้มาก่อนแล้ว เขาจึงรู้สภาพด้านล่างเป็นอย่างดี สภาพหลุมนี้มีลักษณะคล้ายกับถังทรงกลมที่คว่ำหน้าลง
ที่ปากหลุมมีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดสามร้อยเมตร ส่วนก้นหลุมนั้นเส้นผ่าศูนย์กลางราวสี่ร้อยเมตร
ภายในหลุมนั้นมืดมาก ไม่มีแสงสว่างแม้แต่น้อย ขนาดสายตาของหลิงหยุนที่เหนือกว่าคนธรรมดานั้น ยังสามารถมองลงไปได้ลึกเพียงแค่สามสิบเมตร แต่ต่อให้สามารถมองไปถึงก้นหลุมได้ ก็มองอะไรไม่เห็น
และท่ามกลางความมืดที่เงียบสงัด หลิงหยุนได้ยินเสียงน้ำในแม่น้ำที่กำลังไหลอยู่ด้านล่าง เสียงของมันไม่ต่างจากเสียงควบม้าที่ดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ
ในเมื่อตัดสินใจที่จะลงไปสำรวจแล้ว หลิงหยุนจึงไม่รู้สึกลัวแม้แต่น้อย เขาลุกขึ้นตั้งหลัก ก่อนจะกระโจนลงไป!