บทที่ 10 บุญคุณ แอบหวั่นไหวต่อเสด็จอาจิ่ว

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นอกพระราชวัง ชายหนุ่มรูปงามในชุดท่านอ๋องก็ดูภาพนี้อยู่เช่นกัน
ตรงกันข้ามกับความน่ารังเกียจของตงหลิงจื่อลั่ว ใบหน้าที่งดงามดั่งหยกของเขามีรอยยิ้มเผยออกมา
“เอาล่ะ เฟิ่งชิงเฉินไม่ธรรมดาจริงๆ ตอนอยู่ที่ประตูเมือง นางสู้เมื่อตัวเองอยาก และเมื่ออยู่ในพระราชวัง นางออกไปเมื่อตนต้องการออกไป ที่ข้าคิดว่าเจ้าจะตายที่นี่เสียอีก เดิมจะช่วยเจ้าเก็บศพเพราะเห็นแก้แม่ทัพเฟิ่ง ตอนนี้คงไม่จำเป็นแล้วล่ะ…………”
เสียงนั้นชัดเจนและใสสะอาดปราศจากสิ่งเจือปน และมีกลิ่นอายของอิสระเล็กน้อย ซึ่งทำให้ผู้คนอยากฟังมันอีกครั้ง
“ท่าน ท่าน ท่านอ๋อง?” ขันทีที่อยู่ข้างหลังเขารู้สึกตะลึง
พระเจ้า เมื่อสักครู่เขาเห็นอะไร เขาเห็นท่านอ๋องยิ้มอย่างนั้นหรือ? ไม่เพียงแต่ยิ้ม ท่านยังพูดยาวมากในทีเดียว
ไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ขันทีพยายามขยี้ตา พยายามดูว่าตนมองผิดไปหรือไม่ แต่ก็พบว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของท่านอ๋องได้หายไปแล้ว
ช่างน่าเสียดาย!
ขันทีอยากจะชี้ด้วยความสงสัย แต่จู่ๆ ก็ได้ยินชายคนนั้นพูดอีกครั้งว่า “ไป ไปเอาเสื้อคลุมมา”
หลังจากพูดจบ ชายคนนั้นก็โบกมือแล้วเดินไปทางอื่น…
ผู้หญิงคนนั้นมีศักดิ์ศรีของตน
ไม่ค่อยมีหญิงใดเข้ามาเขา ในเมื่อช่วยได้ก็ช่วยไปเถิด
สำหรับเขามันเป็นแค่การช่วยเหลือเล็กๆ
แต่สำหรับนางมันคือบุญคุณที่ยิ่งใหญ่
ก็คิดเสียว่า เห็นแก่แม่ทัพเฟิ่งแล้วกัน
ชายคนนั้นคิดเช่นนี้
“ท่านอ๋อง?”
ชายคนนั้นจากไป เหลือเพียงขันทีที่สับสน
เขาได้ยินผิดไปหรือไม่?
ท่านอ๋องของเขากลายเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่นตั้งแต่เมื่อใด?
เขาแน่ใจได้เลยว่าตนมิได้หูฝาด “ท่านเจ้า ท่านถูกคนอื่นเข้าสิงหรือ?”
ขันทีแอบเดาในใจ แต่เขาไม่กล้าที่จะล่าช้า เขาเร่งเดินไปหาเสื้อคลุมทันที
นิสัยของท่านอ๋องนั้น
ไม่ใช่แค่แย่……แบบธรรมดา
คราวนี้ไม่มีใครออกมาหยุดนาง เฟิ่งชิงเฉินรีบเดินออกจากตำหนักของฮองเฮา
เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่นอกวัง สูดหายใจเข้าลึกๆ
ในที่สุดก็รอดชีวิตแล้ว
เมื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ภายนอกตำหนักแล้ว เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าฝีเท้าของตนเบาลงเล็กน้อย และสภาพอากาศที่มืดมนนั้นก็ไม่น่ารำคาญอีกต่อไป
การมีชีวิตอยู่นั้นรู้สึกดียิ่งนัก
มีรอยยิ้มที่ผ่อนคลายบนใบหน้า เมื่อเฟิ่งชิงเฉินกำลังจะเดินออกจากพระราชวัง นางเห็นชายผู้สง่างามที่ไม่มีใครเทียบได้ยืนอยู่ตรงมุมหัวเลี้ยวพร้อมกับเสื้อผ้าหนึ่งชิ้น
ท่าทางนั้นราวกับว่ารอใครสักคนอยู่
เมื่อมองให้ละเอียดยิ่งขึ้น
ฮึ่ม…
เฟิ่งชิงเฉินสัมผัสได้ถึงความร้อนที่ไหลผ่านหน้าผากของตน นางยืนนิ่ง จ้องมองไปที่ชายคนนั้นอย่างเหม่อลอยโดยไม่กะพริบตา
คำชมนี้ปรากฏในหัวนางอย่างกะทันหัน ” เขาเปรียบเสมือนหยก เป็นชายรูปงามที่มิอาจมีใครเทียบได้”
ผู้ชายคนนี้หล่อเหลาและสง่าในตัว และในความสง่าก็ดูสูงศักดิ์อย่างมาก มีราศีเผยออกมาอย่าไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เพียงแค่เขายืนนิ่งๆ ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาพิเศษ สูงส่งและมิอาจแตกต้องได้
เราสามารถมองโลกอีกใบได้จากดอกไม้เพียงหนึ่งดอก และความคิดที่ไม่ฟุ้งซ่านและเป็นหนึ่งเดียวนั้นสามารถทำให้จิตใจสงบได้
ผู้ชายคนนี้เป็นดั่งดอกไม้ที่มีโลกของเขาเอง
ผู้ชายแบบนี้เป็นสิ่งที่ผู้หญิงแพ้มากที่สุด และเขามีทุกอย่างที่จะทำให้ผู้หญิงทั่วโลกคลั่งไคล้
วันนี้ท้องฟ้ามืดมนและน่ากลัวอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อชายคนนั้นยืนอยู่ตรงนั้น เหมือนว่ามีแสงสีทองจาง ๆ อยู่บนร่างกายของเขา เหมือนกับความสง่างามของท้องฟ้าทั้งหมดถูกเขาครอบครองไว้เพียง
คนเดียว ทำให้มิอาจละสายตาได้
ชายคนนั้นเห็นเฟิ่งชิงเฉินแต่เนิ่นๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยืนอยู่เงียบๆ
ดวงตาคู่หนึ่งมองไปที่เฟิ่งชิงเฉิน ไม่มีความดูถูกหรือตกใจ ราวกับว่าเขาไม่เห็นความน่าสมเพชของเฟิ่งชิงเฉิน หรืออีกนัยหนึ่งคือ เขามิได้มีเฟิ่งชิงเฉินอยู่ในสายตาเลยก็ว่าได้
ชายคนนี้?
เฟิ่งชิงเฉินหรี่ตาและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นไม่นาน นางก็กระจ่าง…
ตงหลิงจิ่ว น้องชายคนเดียวที่รอดตายของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน เสด็จอาเก้าคนที่อยู่ภายใต้บุคคลเดียว แต่อยู่เหนือทุกคน เขามีสถานะสูงส่งอย่างยิ่ง
ไม่แปลกใจเลยที่มีเสน่ห์เช่นนี้
กลิ่นอายของความสูงส่งตามธรรมชาติของชาวราชวงศ์เป็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถมีได้ และเสด็จอาเก้านี้เป็นหนึ่งในคนที่ดีที่สุด แม้แต่จักรพรรดิก็เคยยกย่องต่อสาธารณชนว่า “บนโลกนี้ มีเขาเพียงคนเดียวที่เป็นเช่นนี้ และมิอาจมีใครเทียบได้”
และผู้ชายเช่นนี้ทำให้ผู้หญิงในโลกนี้คลั่งไคล้ แต่เขากลับชอบอยู่ตัวคนเดียว จนตอนนี้เขาก็ยังไม่แต่งงาน และฮ่องเต้มิได้เร่งเร้าเขา
กลิ่นอายของความสูงส่งตามธรรมชาติของชาวราชวงศ์เป็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถมีได้ และเสด็จอาเก้านี้เป็นหนึ่งในคนที่ดีที่สุด แม้แต่จักรพรรดิก็เคยยกย่องต่อสาธารณชนว่า “บนโลกนี้ มีเขาเพียงคนเดียวที่เป็นเช่นนี้ และมิอาจมีใครเทียบได้”
ในแง่เรื่องของการแต่งงาน ตงหลิงจิ่วพิเศษอย่างมาก
เพียงแต่ว่า เหตุใดเสด็จอาเก้าจึงมายืนอยู่ตรงนี้?
เมื่อมองดูเสื้อผ้าในมือของเขา เฟิ่งชิงเฉินอดไม่ได้ที่จะเดาว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าเสด็จอาเก้ายืนรอตนอยู่
เฟิ่งชิงเฉินรีบส่ายหัว นางไม่กล้าที่จะมีอารมณ์อ่อนไหวและคิดไปเอง
ในความทรงจำของนาง ร่างกายนี้ไม่เคยมีการติดต่อกับเสด็จลงจิ่วเลย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งสตรีในโลกนี้ไม่เคยได้มีสัมพันธ์กับเสด็จอาเก้าเลย
เสด็จอาเก้าเป็นที่เลื่องลือเรื่องเกลียดชังสตรี!
เฟิ่งชิงเฉินเคยเห็นเสด็จอาเก้าจากไกลๆ อยู่สองสามครั้ง และท่านพ่อก็ไม่เคยมีการไปมาหาสู่กับเขา หรือจะพูดอีกอย่างว่า เสด็จอาเก้าไม่มีมิตรภาพกับขุนนางของราชวังตงหลิงเลย
เสด็จอาเก้าพิเศษอย่างมาก!
เขามีหน้าตาหล่อเหลาแต่ไม่ชอบยิ้ม มักจะทำหน้าบึ้งอยู่ตลอดเวลา เป็นคนที่เย็นชาอย่างมาก เข้าหายาก
เสด็จอาเก้าคือผู้มีเกียรติที่สุดในโลกและเป็นคนที่เดียวดายมากที่สุด เพราะนอกจากบ่าวใช้แล้ว เขาไม่มีใครอีกเลย
ว่ากันว่าทั้งปีเสด็จอาเก้าพูดไม่เกินหนึ่งร้อยประโยค!
เมื่อเห็นตงหลิงจิ่ว เฟิ่งชิงเฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่งและก้าวไปข้างหน้า
เมื่อเดินห่างจากตงหลิงจิ่วประมาณ 1 เมตร เฟิ่งชิงเฉินกลับหยุดลง เท้าของนางหนักมากไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวต่อได้
นางไม่เคยคิดว่าตัวเองสกปรกในเวลานี้ แม้ว่านางจะยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ของพระราชวังก็ตาม นางยังคงกล้าที่จะมองทุกคนอย่างเย่อหยิ่ง และมองข้ามสายตาดูหมิ่นของผู้อื่นไปได้
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อเผชิญหน้ากับตงหลิงจิ่วที่เป็นดั่งเทพเจ้า เฟิ่งชิงเฉินกลับรู้สึกว่าสภาพของของตนนั้นแย่อย่างมาก
ในใจนางไม่อยากให้ชายคนนี้เห็นภาพตนตอนที่น่าสมเพชเช่นนี้
เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ อันที่จริงภาพนางที่รันทดกว่านี้โหดร้ายกว่านี้ตงหลิงจิ่วก็เห็นมาแล้ว
แต่ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือท่านอ๋อง
เฟิ่งชิงเฉินก้มหน้าลง และซ่อนความกังวลและอึดอัดในใจตนเอาไว้ และถวายพระพร “ชิงเฉินน้อมถวายพระพร ขอพระองค์ทรงพระเจริญ”
“……”
ตงหลิงจิ่วไม่พูดและรับการถวายพระพรของนางเอาไว้ เมื่อมองไกลๆ รู้สึกว่าเฟิ่งชิงเฉินน่าสมเพชอย่างมาก แต่ตอนนี้……………
“น่าเกลียดมาก.”
ตงหลิงจิ่วพูดจริง
เขาแบ่งหนึ่งประโยคจากหนึ่งร้อยประโยคต่อปีให้เฟิ่งชิงเฉิน ไม่ธรรมดาจริงๆ
แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้สึกเป็นเกียรติ นางรู้สึกเจ็บปวดหัวใจอย่างกะทันหัน
เมื่อเงยหน้ามองตงหลิงจิ่ว นางเผลอหลงใหลในดวงตาคู่นั้น
เป็นดวงตาที่งดงามอย่างมาก
นัยน์ตาสีดำเป็นประกายเจิดจ้าเหมือนท้องฟ้าอันไร้ขอบเขต ซึ่งทำให้ผู้คนหลงใหลอย่างสุดซึ้ง
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกทึ่งมากจนไม่สามารถละสายตาได้อยู่เป็นเวลานาน
แต่ไม่คาดคิดว่านางกำลังทำข้อห้ามของตงหลิงจิ่ว
“เฟิ่งชิงเฉิน!” ตงหลิงจิ่วพูดอย่างเข้มงวด นัยน์ตาสีดำของเขาดูเย็นชา แต่จริงๆ แล้วมันเป็นกลิ่นอายของความสังหาร และแววตาที่เขามองเฟิ่งชิงเฉินก็ดูรำคาญเล็กน้อย
นี่เป็นประโยคที่สอง!
“ไสหัวไป……”
นี่เป็นประโยคที่สาม!
ตงหลิงจิ่วโยนเสื้อผ้าในมือใส่เฟิ่งชิงเฉิน และไม่มองที่นางอีกต่อไป เขาหันหลังกลับและเดินไปอย่างหยิ่งยโส
เฟิ่งชิงเฉิน ก็แค่นี้! ผู้หญิงที่ต่ำต้อย เสียดายที่เขายังคิดว่านางไม่ธรรมดาเสียอีก
ในขณะที่หันหลังกลับมา แววตาของตงหลิงจิ่วมีความผิดหวังเล็กน้อย
“นี่?” เฟิ่งชิงเฉินมองดูเสื้อผ้าบนร่างกายของตนและไม่รู้ว่าจะตอบสนองอย่างไรชั่วขณะหนึ่ง
ลมกระโชกแรง เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกหนาวไปทั่วทั้งร่างกาย และนางก็มีสติขึ้นมาทันที
ไม่ว่าเหตุผลของเสด็จอาเก้าคืออะไร แต่นางจะรับการช่วยเหลือครั้งนี้เอาไว้
นางยิ้มที่มุมปาก และคลี่เสื้อผ้าในมือออกโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็พาดไปบนร่างกายของตน
อบอุ่นมาก!
ขณะที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังเดินไปข้างหน้า ตงหลิงจิ่วก็หยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวเช็ดมืออย่างละเอียด หลังจากเช็ดเรียบร้อยแล้ว ก็โยนผ้านั้นไปที่บึงบัว
เฟิ่งชิงเฉินก็ได้หายไปจากความทรงจำของตงหลิงจิ่วราวกับผ้าเช็ดมือนี้
บทที่ 009 ให้ตาย นางก็จะเดิมพัน

บทที่ 11 รับศพ