ส่วนที่ 8 ภาคตำนานแม่พระแห่งวังหลัง ตอนที่ 26-1 ตำนานแม่พระแห่งวังหลัง (ปัจฉิมบท)

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

เหยียนอวี่นั่วเพิ่งจะรู้ข่าวที่ลู่มู่สวินและเหยียนอวี่ชิงถูกจับในเช้าวันที่สองและในเวลาเดียวกันสำนักพระภูษายังกระจายข่าวที่สวีปิงเยวี่รายงานมีความดีความชอบถูกพระทัยฝ่าบาท จึงได้เข้าวังกลางเป็นอวี่เฉียนซ่างอี๋

 

 

อวี่เฉียนซ่างอี๋คือนางกำนัลที่ใกล้ชิดพระองค์

 

 

หรือก็คือนางกำนัลที่ตำแหน่งสูงที่สุดในวังหลัง

 

 

จากนางกำนัลในกองพระภูษาไปเป็นนางกำนัลใกล้ชิดของฝ่าบาท นี่เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ชัดๆ

 

 

ขันทีที่อำนาจเงินตราในกองพระภูษาต่างพากันรายล้อมสวีปิงเย่ว์ยิ้มแย้มป้อยอประจบประแจงก่อนที่นางจะไป

 

 

สวีปิงเย่ว์ยิ้มรับต่อหน้าพวกคนประจบสอพลอเหล่านั้น

 

 

เมื่อนางเดินออกจากประตูใหญ่กองพระภูษาอย่างสง่าผ่าเผยก็ได้พบกับเหยียนอวี่นั่วที่เพิ่งได้ทราบข่าวจากสำนักหมอหลวงกลับมา

 

 

ทั้งสองอาจกล่าวกรรมบันดาลให้พบกันโดยแท้

 

 

“สวีปิงเย่ว์! เจ้าทำเกินไปแล้วนะ เจ้าใส่ร้ายหมอหลวงลู่กับอวี่ชิง

 

 

ต้องเป็นเจ้าแน่ๆ ข้าจะพาเจ้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท!”

 

 

เวลานั้น

 

 

เหยียนอวี่นั่วได้มองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของสวีปิงเย่ว์อย่างกระจ่างแจ้ง เห็นหน้านางที่แสดงความพอใจที่แผนสำเร็จออกมา นางก็อดไม่ได้รีบพุ่งเข้าใส่

 

 

แต่ยังไปไม่ถึงตัวสวีปิงเย่ว์ก็ถูกนางกำนัลระดับล่างที่อยู่ด้านหลังของสวีปิงเย่ว์ขวางเอาไว้

 

 

“นังบ่าวสามหาวใจ บังอาจกล่าววาจาหยาบคายกับท่านสวีซ่างอี๋

 

 

เจ้ารู้หรือไม่ว่าได้ทำผิดอะไรลงไป”

 

 

ใช่สิ

 

 

ตอนนี้สวีปิงเย่ว์ได้เป็นสวีซ่างอี๋แล้วและมีตำแหน่งนางยังสูงกว่าเลี่ยวซืออี๋อยู่ครึ่งขั้น

 

 

นี่สินะที่เขาเรียกว่าหนูตกถังข้าวสาร

 

 

เหยียนอวี่นั่วถูกนางกำนัลสองนางกั้นเอาไว้

 

 

มือทั้งสองข้างก็ถูกหนีบไว้ มองนางที่หน้าตาร้อนรนและท่าทีจนใจนั่นแล้ว

 

 

สวีปิงเย่ว์ยิ้มอย่างสบายใจ “เหยียนอวี่นั่ว เจ้าจะตบข้าอีกแล้วหรือ หึ

 

 

พวกเจ้า…มาอ้าปากนางซะ!”

 

 

“เพียะๆ !”

 

 

”เพียะๆ !”

 

 

เสียงตบดังก้องทั่วไม่มีที่สิ้นสุดตามการตบของพวกนางกำนัล

 

 

หน้าทั้งสองด้านของเหยียนอวี่นั่วถูกตบจนหน้าบวมช้ำแดงก่ำ เลือดสีแดงสดค่อยๆ

 

 

ไหลออกจากมุมปาก

 

 

“พอแล้ว”

 

 

สวีปิงเย่ว์ทำสัญญาณมือหนึ่งครั้ง

 

 

ค่อยๆ เดินทีละก้าวๆ ไปอยู่ต่อหน้าเหยียนอวี่นั่ว

 

 

นางเผยยิ้มเล็กน้อยก่อนยกมือขึ้นใช้นิ้วเรียวยาวของตนบีบคางของเหยียนอวี่นั่วไว้

 

 

“เหยียนอวี่นั่ว อย่างเจ้าคู่ควรจะมาต่อกรกับข้าหรือ

 

 

เจ้าทำให้พี่เสิ่นต้องจงเกลียดจงชังข้า

 

 

ข้าจะทำให้หมอหลวงลู่ของเจ้าได้ตายไม่มีหลุมฝัง”

 

 

ในขณะที่สวีปิงเย่ว์กำลังพูดก็อดใจไม่อยู่เอียงตัวไปกระซิบยังข้างหูเหยียนอวี่นั่วเบาๆ

 

 

“ตายจริง ข้าลืมบอกเจ้าไปว่าฝ่าบาททรงปล่อยตัวรุ่ยอ๋องออกจากศาลจงเหรินแล้ว

 

 

ข้ายังได้ยินมาว่าอาการบาดเจ็บของเขาค่อนข้างสาหัสนัก

 

 

เกรงว่าชาตินี้คงจะมีทายาทไม่ได้อีก

 

 

เจ้าว่าเขาออกมาแล้วยังจะสนใจความเป็นความตายของซูหว่านอีกหรือไม่?”

 

 

รุ่ยอ๋องออกมาแล้วรึ

 

 

และยังไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดชีวิตอีกหรือ

 

 

ได้ฟังคำพูดของสวีปิงเย่ว์

 

 

สมองเหยียนอวี่นั่วพลันนึกถึงเด็กในท้องของเหยียนอวี่ชิง

 

 

งั้นก็เป็น…ลูกของรุ่ยอ๋องนะสิ

 

 

ถ้าข้าไปข้อความช่วยเหลือจากชายรุ่ยอ๋อง

 

 

พระองค์จะยื่นมือช่วยหรือไม่นะ

 

 

ชั่วขณะหนึ่งสมองของเหยียนอวี่นั่วถาโถมด้วยความคิดไร้สาระที่ไม่อาจสลัดมันออกไปได้

 

 

นางจะไปขอร้องรุ่ยอ๋อง รุ่ยอ๋องต้องเห็นแก่หน้าของอวี่ชิงและต้องยอมช่วยพวกเขาแน่ ๆ

 

 

ต้องบอกว่า

 

 

เหยียนอวี่นั่วเวลานี้ยังโลกสวยมองคนในโลกใบนี้ดีเกินไปนัก

 

 

เมื่อนางดั้นด้นระหกระเหินมายังจวนรุ่ยอ๋องจนได้พบรุ่ยอ๋อง

 

 

อีกทั้งหลังจากนำเรื่องของอวี่ชิงและลู่มู่สวินบอกกับตงฟางหลี่แล้ว

 

 

ตงฟางหลี่ก็มีสีหน้ายินดีตกปากรับคำเหยียนอวี่นั่ว

 

 

รับปากจะช่วยสองคนนั้นออกมาให้ได้

 

 

แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน

 

 

ก็มีข่าวลือมาจากศาลจงเหรินว่าเหยียนอวี่ชิงติดโรคสิ้นชีพแล้ว

 

 

อีกทั้งยังมีจดหมายที่เหยียนอวี่ชิงเขียนด้วยเลือดหนึ่งฉบับแนบไปพร้อมกับข่าวที่ลอยเข้าวัง

 

 

ในจดหมายเลือดนางยอมรับว่าตนเองมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับหมอหลวงลู่ยอมรับว่าโทษของตนนั้นต่อให้ตายก็ยังชดใช้ไม่หมด

 

 

เหยียนอวี่ชิงตายแล้วงั้นหรือ

 

 

ในฐานะที่เป็นพี่สาวของเหยียนอวี่ชิง

 

 

เหยียนอวี่นั่วรีบไปรับศพที่ศาลจงเหรินแต่เพียงลำพัง

 

 

แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นศพแปลกหน้าและศพร่างนั้นไม่ใช่ของเหยียนอวี่ชิง

 

 

อย่างไรเสียเหยียนอวี่นั่วก็เป็นคนสนิทสนมคุ้นเคยสำหรับเหยียนอวี่ชิง

 

 

เวลานั้นต่อให้นางโง่ยิ่งกว่านี้ก็เข้าใจเรื่องราวบางอย่างบ้างแล้ว

 

 

การตายลวงของเหยียนอวี่ชิง

 

 

ทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือขององค์ชายรุ่ยอ๋อง

 

 

และนางก็

 

 

‘สารภาพผิด’ ก่อนที่จะ ‘ตาย’ เพื่อยืนยันความผิดของลู่มู่สวิน

 

 

ทำให้เขาไม่มีวันล้างความผิดได้ อันที่จริงลู่มู่สวินเป็นคนวงใน

 

 

หากเขาถูกบีบจนต้องเปิดโปงเรื่องความสัมพันธ์ของรุ่ยอ๋องและเหยียนอวี่ชิง

 

 

เช่นนั้นรุ่ยอ๋องก็ต้องมาเกี่ยวพันด้วย

 

 

ทว่าหยียนอวี่ชิงคนทรามก็ยื่นคำร้องต่อศาลเสียก่อน จึงกลายเป็น

 

 

‘คนตายไม่สามารถให้การได้’ ไปเสียแล้ว

 

 

ตอนนี้ต่อให้ลู่มู่สวินมีสักร้อยปากก็แก้ตัวไม่ได้

 

 

เหยียนอวี่นั่วตอนนี้เพิ่งจะนึกได้

 

 

ตอนนี้ต่อให้วิ่งไปกราบทูลเรื่องจริงทั้งหมดให้ฝ่าบาททรงทราบ ฝ่าบาทก็ไม่เชื่อนางแน่นอน

 

 

กลยุทธ์ถอนฟืนใต้กระทะ[1] นี้ช่างทำได้บรรเจิดเสียจริง!

 

 

เมื่อคิดถึงลู่มู่สวินที่ถูกต้อนเสียจนมุมก็พลอยคิดถึงซูหว่านที่ถูกจองจำในศาลจงเหรินที่ไร้หนทางแก้ต่างให้ตนเองเช่นเดียวกัน

 

 

เหยียนอวี่นั่วรู้สึกได้เพียงความไร้ซึ่งเรี่ยวแรง

 

 

เหตุใดกัน

 

 

เหคุใดคนดีจึงไม่ได้ดีเล่า

 

 

พวกเขาทำผิดอันใดจึงต้องพบกับความอยุติธรรมเยี่ยงนี้

 

 

ในเวลาเช่นนี้

 

 

กลับไม่มีความช่วยเหลือใดๆ จากเสิ่นเฉิงเป่ยตามเนื้อเรื่องเดิม

 

 

ทั้งยังสูญเสียที่พักผิงอย่างลู่มู่สวินไปอีกหรือแม้กระทั่งความรักใคร่เป็นพิเศษจากฮ่องเต้ตงฟางเย่าก็ยังไม่มี

 

 

จนกระทั่งวันนี้เหยียนอวี่นั่วอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนโลกใบนี้

 

 

ในที่สุดก็รู้ซึ้งถึงความมืดมนไร้ความปราณีของวังหลังแล้ว…

 

 

หลังจากสวีปิงเย่ว์รับตำแหน่ง

 

 

นางก็เริ่มใช้อำนาจของตนเองกำจัดเสี้ยนหนามไม่หยุดหย่อน

 

 

นางเริ่มจากการใส่ร้ายเลี่ยวซืออี๋จากกองพระภูษา

 

 

จากนั้นกำจัดมิตรสหายของเหยียนอวี่นั่วในกองพระภูษาทีละคนและเปลี่ยนเป็นคนของนางเอง เป็นเช่นนี้ส่งผลให้ชีวิตขิงเหยียนอวี่นั่วในกองพระภูษาเป็นไปอย่างไม่ราบรื่นนัก

 

 

คนรักถูกใส่ร้าย

 

 

ผู้เดียวที่จริงใจกับนางก็มีเพียงน้องสาวที่ติดคุกไปเสียแล้ว

 

 

แม้แต่ผู้ที่กัดฟันสู้มาตลอดอย่างนางจะอยู่ที่วังหลังก็อยู่ยาก

 

 

ไปที่ไหนก็ถูกควบคุม เหยียนอวี่นั่วที่มีจิตใจไม่ย่อท้อต่อการช่วยเหลือผู้อื่น

 

 

ในสถานการ์ณเลวร้ายเช่นนี้ ในที่สุดใจของนางก็ค่อยๆ เริ่มแตกเป็นเสี่ยงๆ

 

 

“เหตุใดกัน เหตุใดฟ้าดินจะต้องไม่เป็นธรรมเยี่ยงนี้!”

 

 

ยามค่ำคืนอันมืดสนิท

 

 

นางยืนอยู่เพียงผู้เดียวบนทางเดินหลวงและตะโกนออกไปอย่างบ้าคลั่ง

 

 

วันพรุ่งนี้เป็นวันประหารของลู่มู่สวินและซูหว่าน

 

 

แต่เหยียนอวี่นั่วกลับทำอะไรไม่ได้เลย นางได้แต่มองคนที่ดีกับนาง

 

 

รักนางที่สุดต้องจากนางไป

 

 

บางครั้งการให้ใครสักคนได้เห็นถึงสัจธรรม

 

 

ก็ไม่จำเป็นต้องให้เขารับความเจ็บปวดถึงเพียงนี้ก็ได้นี่

 

 

ให้นางเป็นผู้อยู่ในเหตุการ์ณทั้งหมด

 

 

ต้องมองคนรอบกายถูกใส่ความคนแล้วคนเล่า จากไปทีละคนทีละคน

 

 

แต่ตนเองกลับไม่มีความสามารถช่วยอะไรใครได้เลย ทั้งยังทำให้เรื่องแย่ลงไปอีก

 

 

นี่เป็นการลงโทษที่เลวร้ายที่สุด

 

 

เหยียนอวี่นั่วสิ้นหวังแล้วกับโลกใบนี้

 

 

“เจ้าอยากจะรู้ว่าเหตุใดหรือ”

 

 

เสียงเยือกเย็นลอยมาทางด้านหลังของเหยียนอวี่นั่ว

 

 

เหยียนอวี่นั่วตกใจหันกลับไป

 

 

พบวังอี้กำลังถือคบโคมไฟสว่างไสวที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ข้างหลังนางตั้งแต่เมื่อไหร่

 

 

ชายผู้หนึ่งรูปร่างสง่างามยืนอยู่ด้านหน้าของวังอี้ นั่นก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน

 

 

ตงฟางเย่า!

 

 

“ฝ่าบาท!”

 

 

เหยียนอวี่นั่วลงไปคำนับกับพื้นโดยทันทีรีบร้อนเอ่ยขึ้นว่า

 

 

“ใต้ฝ่าพระบาท! หมอหลวงลู่และซูหว่านล้วนถูกกล่าวหาใส่ร้าย

 

 

ฝ่าบาทโปรดสืบความให้แน่ชัดด้วยเถิด!”

 

 

แต่ไหนแต่ไรเหยียนอวี่นั่วก็แทบไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้

 

 

นางรู้ดีว่านี่คือโอกาสสุดท้ายของนาง

 

 

“ข้ารู้ดีว่าพวกเขาถูกใส่ร้าย”

 

 

ซูรุ่ยเหลือบตามองเหยียนอวี่นั่วที่อยู่บนพื้นอย่างเฉยชา

 

 

“ในวังหลังแห่งนี้ไม่จำเป็นต้องใจดีพร่ำเพรื่อ

 

 

ความใจดีเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ความโง่เขลาเบาปัญญา”

 

 

เมื่อได้เห็นสีหน้าตระหนกตกใจของเหยียนอวี่นั่ว

 

 

ซูรุ่ยยิ้มเยาะและค่อยๆ กล่าวต่อ

 

 

“ซูหว่านนั้นรู้ดีแก่ใจว่าเหยียนเหม่ยเหรินกระทำความผิด

 

 

แต่กลับรับผิดแทนนางดังนั้นนางจึงสมควรได้รับโทษที่นางไปแย่งชิงมา

 

 

สำหรับเจ้าและลู่มู่สวิน พวกเจ้าก็รู้ดีอยู่ว่าเหยียนเหม่ยเหรินกำลังมีครรภ์

 

 

นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะช่วยซูหว่านออกมา แต่พวกเจ้าก็ปล่อยมันไป เพื่ออะไรหรือ

 

 

ความสัมพันธ์พี่น้องน่าขันงั้นรึ? เหยียนอวี่นั่ว

 

 

เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าไม่ใช่พี่สาวแท้ๆ ของเหยียนอวี่ชิง

 

 

นางไม่เคยเห็นเจ้าเป็นพี่สาวเลยแม้แต่น้อย

 

 

แต่เจ้ายอมทิ้งโอกาสที่ดีที่สุดในการช่วยซูหว่านออกมา

 

 

เพื่อช่วยคนที่ไม่เคยเห็นเจ้าเป็นพี่น้องและยังทำให้ลู่มู่สวินไร้ซึ่งหนทางแก้ต่างใหแก่ตนเอง

 

 

ตัวเจ้าที่ใจดีมีเมตตาเช่นนี้ ตอนนี้รู้ซึ้งถึงความน่ารังเกียจแล้วหรือยังเล่า”

 

 

ความน่ารังเกียจหรือ

 

 

เจ้าควรจะรู้สึกรังเกียจตัวเองอย่างที่สุด

 

 

เพราะความผิดของตนเองกลับทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อน

 

 

ได้ฟังคำของซูรุ่ย

 

 

เหยียนอวี่นั่วคุกเข่านิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น

 

 

ใจดีพร่ำเพรื่อคือโง่เขลาหรือ?

 

 

ในขณะที่เหยียนอวี่นั่วกำลังอึ้งไป

 

 

ซูรุ่ยก็โบกมือ วังอี้ที่อยู่ด้านข้างเข้าใจในทันที

 

 

หยิบจดหมายหนึ่งปึกขึ้นมาจากอ้อมแขน โยนลงไปบนพื้นหินเบื้องหน้าเหยียนอวี่นั่วเบา ๆ

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] ถอนฟืนใต้กระทะ หมายถึงการใช้วิธีอ่อนเอาชนะวิธีแข็ง