ส่วนที่ 8 ภาคตำนานแม่พระแห่งวังหลัง ตอนที่ 26-2 ตำนานแม่พระแห่งวังหลัง (ปัจฉิมบท)

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

“นี่คือจดหมายระหว่างเหยียนอวี่ชิงและสวีปิงเย่ว์ สองคนนี้วันๆ คิดแต่จะเล่นงานเจ้าอย่างไรดี หากเจ้ายังจะทำตัวเป็นคนโง่แสนใจดีเช่นนี้ต่อไป ข้าก็จะช่วยสนองเจ้าให้เจ้า ลู่มู่สวินและซูหว่านได้ไปตายด้วยกันสามคน!” พูดถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของซูรุ่ยเยียบเย็นจนน่าหวาดกลัว

 

 

นี่คือ…

 

 

เหยียนอวี่นั่วมองกระดาษที่ปลิวกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น

 

 

นางจำลายมือของเหยียนอวี่ชิงได้

 

 

อ่านข้อความในจดหมายที่สวีปิงเย่ว์กับเหยียนอวี่ชิงวางแผนว่าจะทำร้ายตนเองอย่างไร

 

 

สายตาของเหยียนอวี่นั่วก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป

 

 

นางจะตายได้ยังไง

 

 

ไม่ใช่เพราะนางกลัวตายแต่นางตายไม่ได้

 

 

นางยังไม่ได้ช่วยลู่มู่สวินกับซูหว่านออกมาเลย

 

 

นางจะตายไม่ได้ ตายไม่ได้เด็ดขาด!

 

 

“ฝ่าบาทได้โปรดชี้แนะหม่อมฉันด้วยเพคะ!”

 

 

อันที่จริงแล้วเหยียนอวี่นั่วเพียงแค่ใจดีมากเกินไป

 

 

ไม่ได้โง่เขลาจริงๆ นางฟังออกว่าฝ่าบาทมีความนัยแฝงอยู่

 

 

ดังนั้นเหยียนอวี่นั่วในเวลานี้จึงได้พูดคำพูดเช่นนี้ออกมา

 

 

นางรู้ว่าที่ฝ่าบาทตรัสสิ่งเหล่านี้กับนางไม่ได้เพียงจะเยาะเย้ยความโง่ของนางเท่านั้น

 

 

“ข้าสามารถยืดเวลาโทษประหารของลู่มู่สวินและซูหว่านไปได้”

 

 

ได้เห็นเหยียนอวี่นั่วในที่สุดก็เข้าใจถ่องแท้

 

 

ซูรุ่ยก็อดยิ้มไม่ได้ “เจ้าไม่ต้องอยู่ที่กองพระภูษาแล้ว

 

 

จากพรุ่งนี้เป็นต้นไปเจ้าไปรับใช้เหลียงเฟย นางเหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว

 

 

หากเจ้ารับใช้นางเป็นอย่างดี นางก็จะช่วยเจ้าให้สมปรารถนาได้”

 

 

แค่อวี่เฉียนซ่างอี๋คนหนึ่งไม่ใช่คู่ปรับของพระสนมเหลียงเฟย

 

 

แต่การได้อยู่กับเหลียงเฟย ซูรุ่ยคิดว่าจะทำให้นาง ‘ฉลาด’ ขึ้นกว่าตอนนี้ได้อีกเยอะ

 

 

“หม่อนฉันน้อมรับพระบัญชาเพคะ!”

 

 

เมื่อซูรุ่ยกล่าวจบ

 

 

เหยียนอวี่นั่วก้มหัวคำนับขอบพระทัย

 

 

เมื่อนางเงยหน้าขึ้นเห็นเพียงเงาของฝ่าบาทและวังอี้

 

 

ถ้าหากวังหลังเป็นที่ที่คนกินคนละก็

 

 

นางก็จะไม่ยอมอยู่เฉยๆ รอให้ถูกคนอื่นกิน ไม่มีทาง!

 

 

แววตาของเหยียนอวี่นั่วเปลี่ยนเป็นแน่วแน่

 

 

ความรู้สึกของนางได้ถูกเปลี่ยนไปแล้วในค่ำคืนหนาวเหน็บนี้

 

 

มีบางคน

 

 

เมื่อถูกต้อนจนจนมุมก็จะระเบิดพลังที่ซ่อนไว้ออกมาได้

 

 

แต่บางคน

 

 

เมื่อคนสำคัญอับจนหนทาง เพื่อคนผู้นั้น

 

 

นางถึงจะกระตุ้นพลังที่ซ่อนเร้นในตัวออกมาได้

 

 

เหยียนอวี่นั่วเป็นคนเช่นนี้

 

 

ท่ามกลางความสิ้นหวังที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด กลับทำให้นางแข็งแกร่ง

 

 

 

 

 

ฤดูหนาวผ่านพ้นไปและย่างสู่ฤดูใบไม้ผลิ

 

 

ตั้งแต่เหยียนอวี่นั่วเข้ามาอยู่ในตำหนักซิ่วหนิงก็ได้รับความโปรดปรานจากเหลียงเฟยด้วยความรวดเร็วดังคาด

 

 

แม้ว่าตอนนี้สุขภาพของพระสนมจะดีขึ้นมากแล้ว

 

 

แต่พิษที่ออกฤทธิ์ช้าภายในร่างกายกลับไม่สามารถขจัดไปง่ายๆ เป็นเหตุให้อายุขัยของพระนางเหลือไม่มากนัก

 

 

รู้สึกถึงอายุขัยของตนที่อยู่ได้อีกไม่นาน

 

 

เหลียงเฟยยิ่งอบรมสั่งสอนเหยียนอวี่นั่วอย่างจริงจังมากขึ้น

 

 

พระนางจะเปลี่ยนหญิงผู้ไม่กล้าแม้แต่จะฆ่าไก่ให้เป็นหญิงสาวที่ฆ่าคนได้ในพริบตาอย่างเลือดเย็น

 

 

ขั้นตอนนี้ยากเย็นแสนสาหัสแต่กลับทำให้เหลียงเฟยรู้สึกภาคภูมิใจ

 

 

นางจะสิ้นพระชนม์แล้ว

 

 

แต่นางจะปั้นคลื่นลูกใหม่มาสร้างกระแสในวังหลังแห่งนี้แทนที่นางด้วยน้ำมือตนเอง

 

 

เหยียนอวี่นั่วในเวลานี้ผ่านเรื่องราวมามากมายเหลือเกิน

 

 

นางไม่ไร้เดียงสาเช่นเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้วเหลียงเฟยสั่งสอนอย่างไร

 

 

นางก็ทำอย่างนั้น

 

 

นางสาบานภายในใจ

 

 

จะต้องพาซูหว่านและลู่มู่สวินออกมาให้ได้

 

 

ชีวิตที่เหลืออยู่ในชาตินี้

 

 

ขอใช้ตนเองปกป้องพวกเขาก็พอ…

 

 

เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาเยือนอีกครา

 

 

ซูหว่านที่ยังคงถูก ‘จองจำ’ ในศาลจงเหรินจู่ๆ ก็ได้รับสาสน์ว่าภารกิจสำเร็จลุล่วง

 

 

เรื่องนี้ทำเอาซูหว่านตกใจไปชั่วครู่

 

 

เธอนึกว่าการจะทำให้เหยียนอวี่นั่วเปลี่ยนสภาพได้สมบูรณ์อย่างน้อยต้องใช้เวลาปีกว่า

 

 

ไม่นึกเลยว่าจะสำเร็จรวดเร็วถึงขนาดนี้

 

 

วันนี้

 

 

สำหรับคนส่วนใหญ่ในพระราชวังนั้นเป็นเพียงวันอันแสนยุ่งเหยิงเหมือนเช่นทุกวัน

 

 

แต่สำหรับเหยียนอวี่นั่วแล้ว กลับเป็นวันที่มีความหมายนัก

 

 

ภายในศาลอาญาหลวง

 

 

กลิ่นคาวเลือดสดที่สาดอยู่เต็มพื้นฉุนขึ้นจมูก สวีปิงเย่ว์นอนจมกองเลือด

 

 

ตามตัวเต็มไปด้วยบาดแผล นางเบิกตาโพลงมองคนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างกราดเกรี้ยว

 

 

 “เหยียนอวี่นั่ว นังคนชั่ว! เป็นเจ้าที่ทำร้ายข้า!! เป็นเจ้า!”

 

 

“หึ”

 

 

เหยียนอวี่นั่วนั่งคุกเข่าลงช้าๆ ไม่สนใจกระโปรงวังสีน้ำเงินที่ถูกอาบด้วยสีแดงสดเลยแม้แต่น้อย

 

 

“จะเป็นข้าได้อย่างไรกัน จดหมายลับที่เจ้ากับจวนรุ่ยอ๋องส่งหากัน

 

 

ไม่ใช่ข้าที่นำไปให้ฮ่องเต้เสียหน่อย”

 

 

หรือว่า…

 

 

หรือว่าจะเป็นนาง

 

 

สวีปิงเย่ว์ได้ยินคำพูดของเหยียนอวี่นั่ว

 

 

แววตาเปี่ยมไปด้วยความสงสัย “ไม่ ต้องเป็นเจ้าแน่นอน

 

 

จนป่านนี้แล้วเจ้ายังวางแผนบิดเบือนความจริง มีความหมายอันใดกัน”

 

 

“หึ สวีปิงเย่ว์ เสียแรงที่ฉลาดเสียเปล่า จนป่านนี้แล้วจู่ๆ

 

 

เหตุใดเจ้าก็สับสนขึ้นมาเล่า”

 

 

พูดถึงตรงนี้เหยียนอวี่นั่วโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูของสวีปิงเย่ว์เบาๆ

 

 

“ข้าบอกเหยียนอวี่ชิงว่าเหลียงเฟยอีกไม่กี่เพลาก็จะได้ขึ้นเป็นฮองเฮา

 

 

แต่พลานามัยของนางไม่แข็งแรง ไม่สามารถมีทายาทได้

 

 

จึงจะเลือกลูกหลานราชวงศ์มารับอุปการะภายใต้ชื่อของนาง เพื่อลูกชายของตัวเอง

 

 

นางจึงจำต้องขายเจ้าไงเล่า”

 

 

ที่จริงแล้วเหยียนอวี่ชิงไม่ได้อยู่ดีกินดีนัก

 

 

ครั้งที่อยู่ในจวนรุ่ยอ๋อง ตงฟางหลี่ไม่ได้รักนางด้วยใจจริง

 

 

หลังจากนั้นช่วยนางออกมาอย่างลำบากลำบนเพียงเพราะเด็กในท้องของนางเท่านั้น

 

 

บัดนี้เด็กได้ถูกตงฟางหลี่นำตัวไปแล้ว สำหรับเหยียนอวี่ชิง

 

 

ตงฟางหลี่กลับไม่ชอบหน้ามานานแล้ว โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าเขาตกต่ำเช่นทุกวันนี้เพียงเพราะหญิงผู้นี้

 

 

ตงฟางหลี่คิดแม้แต่ที่จะฆ่านาง

 

 

ดังนั้นวันคืนในจวนรุ่ยอ๋องของเหยียนอวี่ชิงเหมือนตายทั้งเป็น

 

 

แต่เวลานี้ผู้ที่เป็นบุคคลสำคัญแห่งตำหนักซิ่วหนิงอย่างเหยียนอวี่นั่วได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือนางอีกครั้ง

 

 

เหยียนอวี่ชิงคิดมาตลอดว่าเหยียนอวี่นั่วยังเป็นคนใจดีไร้เดียงสาคนนั้นที่เชื่อใจนางอย่างหมดใจ

 

 

นึกถึงการพรากจากลูกของตนเอง

 

 

ทั้งยังเรื่องที่โดนตงฟางหลี่หักหลัง เหยียนอวี่ชิงที่ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ทำ

 

 

แต่ถ้าทำก็ทำโดยไม่ยอมฟังอีร่าค่าอีรมจึงปลอมจดหมายระหว่างสวีปิงเย่ว์กับตงฟางหลี่ขึ้นมาและประทับตราจวนรุ่ยอ๋อง

 

 

จากนั้นก็ส่ง ‘หลักฐานความผิด’ ทั้งหมดให้กับเหยียนอวี่นั่ว

 

 

“เหยียนอวี่นั่ว เจ้าเปลี่ยนไปจริงๆ”

 

 

ได้ฟังเหยียนอวี่นั่ว

 

 

สวีปิงเย่ว์เหลือบตาขึ้นมองใบหน้าที่คุ้นเคยตรงหน้า เบื้องหน้านางก็ยังเป็นคนเดิม

 

 

แต่ในแววตาของนางนั้นไม่มีความรู้สึกที่คุ้นเคยอีกแล้ว

 

 

“มนุษย์เราเปลี่ยนกันได้ ข้าถูกพวกเจ้าบังคับให้ข้าเปลี่ยนไงเล่า”

 

 

ถ้าตอนนี้นำการได้พบกับเหยียนอวี่นั่วมาเขียนเป็นหนังสือล่ะก็

 

 

จะต้องใช้ชื่อเรื่องว่า ‘การพลิกเกมของแม่พระ’ อย่างแน่นอน

 

 

เมื่อกล่าวจบเหยียนอวี่นั่วลุกขึ้นช้าๆ

 

 

และจากไปอย่างเยือกเย็น “ขันทีวังกำชับให้สังหารนางวันนี้ ดีใจเสียเถอะ”

 

 

กล่าวจบ

 

 

เหยียนอวี่นั่วจากไปไม่มีแม้แต่เหลียวมอง

 

 

“เหยียนอวี่นั่ว! เจ้าไม่ตายดีแน่!”

 

 

“เหยียนอวี่นั่ว ต่อให้ลู่มู่สวินออกมาได้ก็ไม่ชอบเจ้าแล้ว!”

 

 

 

 

 

เบื้องหลังคือการด่าทออย่างร้ายกาจมากขึ้นทุกทีของสวีปิงเย่ว์

 

 

เหยียนอวี่นั่วเดินออกมาจากศาลอาญาโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แสงแดดอ่อนๆ

 

 

ของฤดูใบไม้ร่วงฉายลงบนใบหน้าของเหยียนอวี่นั่ว เหยียนอวี่นั่วเหม่อลอย

 

 

คิดไปถึงเวลานี้ของปีที่แล้ว นางได้เจอกับลู่มู่สวินที่สำนักหมอหลวงเป็นครั้งแรก

 

 

มู่สวิน…เสี่ยวหว่าน

 

 

ข้าทำได้แล้วนะ

 

 

พรุ่งนี้ข้าก็ไปรับพวกเจ้าที่ศาลจงเหรินได้แล้ว

 

 

บางทีตัวข้าในตอนนี้อาจจะทำให้พวกเจ้ารังเกียจดูแคลน

 

 

แต่เพื่อสิ่งที่ข้าอยากปกป้องแล้ว ข้าเหยียนอวี่นั่วผู้นี้ไม่มีทางเสียใจภายหลัง

 

 

 

 

 

วันที่สอง

 

 

ท้องฟ้าสดใส อากาศสดชื่นของฤดูใบไม้ร่วง

 

 

เหยียนอวี่นั่วสวมเครื่องแบบเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน

 

 

รออยู่ที่ประตูใหญ่ของศาลจงเหรินอย่างสงบ

 

 

ประตูใหญ่ค่อย

 

 

ๆ ถูกเปิดออก ร่างของสองคนที่นางคุ้นเคยปรากฏขึ้นต่อหน้านาง

 

 

เหยียนอวี่นั่วหยุดอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหว

 

 

นางกำลังตื่นเต้น นอกเหนือจากความตื่นเต้นนั้นมีแต่ความหวาดกลัวสุดกำลัง

 

 

นางรู้สึกว่าซูหว่านจิตใจดีถึงเพียงนั้น

 

 

ลู่มู่สวินก็อบอุ่น

 

 

ตัวนางในตอนนี้ไม่เหมาะสมจะเป็นพี่น้องกับซูหว่านและยิ่งไม่เหมาะจะเป็นคนรักของลู่มู่สวิน

 

 

“อวี่นั่ว”

 

 

เห็นเหยียนอวี่นั่วยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ไหวติง

 

 

ลู่มู่สวินก็รีบเดินไปข้างหน้าคว้านางเข้ามาสู่อ้อมกอด

 

 

จริงๆ

 

 

แล้วนางทำอะไรเอาไว้ในวังบ้าง วังอี้ได้รายงานให้ซูหว่านฟังทุกวัน

 

 

ซูหว่านยังได้สนทนากับลู่มู่สวินเป็นระยะอีกด้วย

 

 

เหยียนอวี่นั่วนึกว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องทั้งหมด

 

 

แต่แท้จริงแล้ว พวกเขารู้เรื่องทั้งหมดมาตั้งนานแล้ว

 

 

มองสองคนกอดกันอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์

 

 

ซูหว่านเดินมาข้างๆ อย่างสงบ

 

 

เวลานี้ถ้ามีคนมารับเรา

 

 

จะเหมือนฉากจบอันแสนสุขในละครช่อง 3 รึเปล่านะ?

 

 

ซูหว่านก็แค่คิดเล่นๆ

 

 

เธอรู้ว่าซูรุ่ยส่งเสิ่นเฉิงเป่ยออกจากเมืองหลวงไปนานแล้ว

 

 

องค์ฮ่องเต้ไม่อาจให้อดีตรักเก่ามีโอกาสพลิกกลับมาชนะได้แม้แต่นิดเดียว

 

 

ถึงเวลาต้องไปแล้วสินะ

 

 

ในโลกใบนี้

 

 

ซูหว่านใช้ชีวิตเหมือนแม่พระมาตลอด

 

 

แต่ว่าในโลกใบนี้กลับทำให้เธอเห็นอะไรหลายอย่างที่เธอไม่เคยเห็นในโลกใบอื่น

 

 

สันดานคนเดิมทีดีงามหรือชั่วช้า?

 

 

เป็นคนดีทำแต่ความดี

 

 

จะไม่ได้รับกรรมดีตอบแทนเลยหรือไร

 

 

จริงๆ

 

 

แล้ว นี่ก็เหมือนเรื่องความกตัญญูนั่นแหละ ความจงรักภักดีงี่เง่าและความกตัญญูล้วนทำให้เรื่องมันแย่ไปกันใหญ่

 

 

ขอแค่พวกเราทำตามกฎเกณฑ์ของตัวเอง ไม่ทำให้ตัวเองละอายใจก็พอ

 

 

“เสียวหว่าน”

 

 

ร่างเงาย้อนแสงที่คุ้นเคยตัดกับท้องฟ้าที่สดใส

 

 

เขาเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนเช่นเคย

 

 

ซูหว่านหันไปด้วยความดีใจ

 

 

รีบมุ่งหน้าสู่ที่มาของเสียง หยักรอยยิ้มขึ้นอย่างสง่างาม