ตอนที่ 23 ชั่วชีวิตของท่าน ไม่เคยพ่ายแพ้หรือ

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

เยี่ยเม่ยเอ่ยแล้ว เสินเซ่อเทียนก็มองนางหัวเราะเสียงใสเอ่ยถามว่า “หลังจากนั้นเล่า”

 

 

“ข้าจะใคร่ครวญดู”

 

 

หากบอกว่าจะพิจารณาคนอื่นล้วนเป็นความจริงจากใจ แต่หากบอกว่าจะพิจารณาเสินเซ่อเทียนนั้นคือการตอบแค่พอเป็นพิธีเท่านั้น ระหว่างนางกับเขาไม่มีความเป็นไปได้โดยสิ้นเชิง

 

 

เพราะว่าพวกเขาสองคน ไม่ใช่คนบนเส้นทางสายเดียวกัน

 

 

สิ่งที่เขาปกป้อง คือสิ่งที่นางคิดทำลาย

 

 

เสินเซ่อเทียนย่อมไม่รู้ความคิดจริงๆ ในใจนาง เพียงแต่ไม่รู้เพราะอะไรในยามนี้เขากลับมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง

 

 

เขานอนหนุนแขนอยู่บนหลังคาห้องมองเยี่ยเม่ย

 

 

เอ่ยเบาๆ “เยี่ยเม่ยไม่รู้เพราะอะไร ข้ามีลางสังหรณ์ว่าเจ้าไม่มีทางเลือกข้า”

 

 

เมื่อเขาโพล่งออกมา เยี่ยเม่ยใจเต้นกระตุก

 

 

ในชั่วอึดใจนั้นไม่รู้ตัวเองสมควรตอบว่าอะไร ถูกแล้ว นางไม่มีทางเลือกเขา แต่ว่า…ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ไม่อาจให้เขารู้เหตุผลได้ ดังนั้นนางไม่อาจยอมรับ ทั้งไม่อาจเลือกเขา

 

 

เยี่ยเม่ยมองเสินเซ่อเทียน เอ่ยถามด้วยเสียงแปลกใจ “ไฉนจวินซ่างถึงเอ่ยเช่นนี้ ท่านหาได้ย่ำแย่กว่าคนอื่นๆ อีกอย่างด้วยวรยุทธ์ของท่านทั่วหล้าไร้คู่ต่อสู้ ข้าได้ยินมาว่าธาตุพลังของท่านเป็นดาวข่มเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เมื่อเขาประมือกับท่าน เกรงว่าต่อให้มีกำลังภายในอยู่ในขั้นเดียวกัน เขาก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบ”

 

 

หากบอกว่าในโลกนี้มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าชะตาชีวิต อย่างนั้นของสิ่งนี้ก็คือชะตาชีวิตแล้ว

 

 

พวกเขาเป็นศิษย์อาจารย์กันพอดี

 

 

ทั้งยังมีธาตุพลังที่ข่มกัน ความบังเอิญอย่างไม่น่าเชื่อนี้กลายเป็นความบังเอิญอย่างหนึ่งที่คนทั่วไปไม่อยากเชื่อ หากมิใช่เพราะธาตุประจำกายนี้เป็นสิ่งที่เกี่ยวพันกับนิสัยใจคอ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

 

 

เยี่ยเม่ยสงสัยว่าเสินเซ่อเทียนจงใจสอนวรยุทธ์ธาตุไฟให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เป้าหมายก็เพื่อสยบเขา

 

 

“ถูกแล้ว เจ้ากล่าวไม่ผิด ข้ามีฐานะสูงส่งอำนาจเหนือล้น วรยุทธ์ไร้เทียมทาน หากพูดถึงรูปโฉมข้าก็ไม่ด้อยกว่าใคร ดังนั้นหากสุดท้ายเจ้าไม่เลือกข้า อย่างนั้น…หมายความว่าอย่างไร” เสินเซ่อเทียนเอ่ยประโยคนี้ออกมา แววตาล้ำลึกขึ้นมองเยี่ยเม่ย

 

 

ชั่วขณะนี้ เยี่ยเม่ยค่อยตระหนักได้

 

 

ความจริงครั้งนี้เสินเซ่อเทียนมาเพื่อเตือนนาง

 

 

จริงอยู่ที่วรยุทธ์ของเสินเซ่อเทียนไร้คู่ต่อสู้ ทั้งยังยืนอยู่บนจุดสูงสุดของราชสำนักเป่ยเฉิน นอกจากฮ่องเต้แล้วไม่มีใครอื่นสามารถสั่นคลอนเขาได้ เรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างของคนที่อยู่เหนือคนเรือนหมื่นอยู่ใต้คนผู้เดียว ทั้งยังหน้าตาหล่อเหลา เป็นสามีที่ไม่มีให้เลือกอีกแล้ว

 

 

แต่หากว่าเป็นเช่นนี้แล้ว สุดท้ายนางยังไม่เลือกเขา นั่นก็หมายความว่าอย่างไรนะ

 

 

หมายความว่านาง…

 

 

มีเป้าหมายอื่น!

 

 

เขาคงคิดตกในเรื่องนี้ ถึงอยากรู้เป้าหมายที่แท้จริงของเยี่ยเม่ย รวมไปถึงลอบหยั่งเชิงดูสิ่งที่เยี่ยเม่ยจะทำ

 

 

ในชั่วขณะนั้น

 

 

เยี่ยเม่ยรับรู้ได้ถึงแรงกดดัน

 

 

นางคิดไม่ถึงเลยว่า เดิมทีการที่นางไม่เลือกเสินเซ่อเทียน ในเวลานี้กลับยืนอยู่ในตำแหน่งที่แปลกพิสดารนัก

 

 

หากไม่เลือกเขา

 

 

คล้ายกับกำลังบอกเสินเซ่อเทียนว่านางมีปัญหา นางมีเจตนาอื่น มีเป้าหมายอื่น คราวนี้เป็นการเผยตัวเองออกมา

 

 

แต่

 

 

สุดท้ายเยี่ยเม่ยก็หาใช่พวกโง่งม หลังจากไตร่ตรองสักพักหนึ่ง นางก็หันกลับมามองเสินเซ่อเทียน ยิ้มตอบ “คำพูดนี้ของจวินซ่างผิดแล้ว ความจริงข้ายังมีอีกทางเลือกหนึ่ง นั่นคือเลือกความรัก! ดังนั้นหากข้าไม่เลือกจวินซ่าง ก็สมควรเลือกคนที่ข้ารัก ต่อให้คนผู้นั้นสมบูรณ์เพียบพร้อมขนาดไหน ก็ไม่อาจเทียบกับคนที่เรารักได้ มิใช่หรือ”

 

 

เสินเซ่อเทียนสมบูรณ์แบบก็จริง ทั้งเรียกได้ว่าแทบจะบรรลุถึงจุดสุดยอดไปแล้ว ในเวลานี้นางปฏิเสธเขา ย่อมมีการแก้ต่างอื่น

 

 

ความรักถือเป็นข้ออ้างที่ดี

 

 

เสินเซ่อเทียนฟังแล้วกลับคลี่ยิ้ม ท่าทางไม่ชัดเจน สีหน้าเปลี่ยนไปยากคาดเดาได้ เขาถามเบาๆ “เจ้าไม่มีความรู้สึกดีๆ ให้กับข้าเลยสักนิดหรือ”

 

 

“ถ้าบอกว่าไม่ก็คงโกหก ในเมื่อจวินซ่างโดดเด่นถึงเพียงนี้ ก็เหมือนกับบุรุษชื่นชมสตรีที่โดดเด่น สตรีก็ชื่นชมบุรุษที่เด่นล้ำหล่อเหลาเช่นกัน แต่ว่า…ความรู้สึกดีกับความชอบนั้นมีการแบ่งแยกจากกันอย่างเด่นชัด!”

 

 

นางค่อยๆ อธิบายให้เขาฟัง

 

 

จากนั้นมองเสินเซ่อเทียน ถามว่า “ดังนั้นจวินซ่างสมควรเข้าใจความหมายของข้าแล้ว อย่างนั้น…ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จวินซ่างยังลุ่มหลงมัวเมา อยากแต่งงานกับข้าอีกหรือ”

 

 

นางคิดว่า การที่เขาอยากแต่งงานกับนางเป็นความคิดที่ดื้อดึงอย่างหนึ่ง

 

 

อย่างไรเสียระหว่างเขาสองคน ไม่มีแม้กระทั่งพื้นฐานความรัก ทั้งเป็นไปไม่ได้อีกด้วย นางยอมให้เป่ยเฉินอี้ กูเยว่อู๋เหินรับรู้ฐานะของนางได้ นางกล้าเอ่ยปากยอมรับหลังจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสืบพบฐานะของนาง

 

 

เว้นแต่เสินเซ่อเทียนเท่านั้น

 

 

ที่นางไม่อาจสารภาพฐานะของนางกับเขา ต่อให้เสินเซ่อเทียนสืบพบ ให้ตายนางก็ไม่ยอมรับ นี่คือขอบเขตกั้นระหว่างพวกเขา ถึงแม้ไม่ใช่ต้นเหตุ ทว่าก็เป็นผลสะท้อนออกมา

 

 

เดิมคิดว่าคำพูดของนาง จะสลายความคิดของเสินเซ่อเทียน ได้

 

 

อย่างไรเสียบุรุษที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดย่อมมีความโอหังเย่อหยิ่ง เยี่ยเม่ยเข้าใจว่าเสินเซ่อเทียนต่างกับกูเยว่อู๋เหิน กูเยว่อู๋เหินนั้นสันโดษ ส่วนเสินเซ่อเทียนช่างเย่อหยิ่ง

 

 

เสินเซ่อเทียนดูแคลนคนทั่วหล้า และเขาก็มีคุณสมบัติเช่นนั้น คนเช่นนี้ยามเมื่อได้ยินนางบอกว่ารู้สึกดีแต่ไม่ชอบ นางสมควรปล่อยวางได้

 

 

คิดไม่ถึงว่า

 

 

เมื่อนางเอ่ยออกมา เสินเซ่อเทียนกลับมองนางทีหนึ่ง เอ่ยว่า “ครั้งนี้ เจ้าคิดผิดแล้ว เยี่ยเม่ยเจ้าคิดว่าข้ายโสโอหัง ดูแคลนคนทั่วหล้า ถึงยอมรับที่เจ้าไม่ชอบข้าไม่ได้หรือ เพราะว่าข้ามีความสามารถเช่นนี้ ข้าถึงต้องการแต่งงานกับเจ้า ข้าชอบเจ้าก็พอแล้ว ส่วนเจ้าต้องมีสักวันที่ตกหลุมรักข้าเอง”

 

 

ในเมื่อเป็นคนโอหัง ก็ต้องมีความมั่นใจในตัวเอง

 

 

เขามั่นใจตัวเองไม่ใช่แค่เรื่องวรยุทธ์ แต่ว่ายังเป็นทุกๆ ด้านของชีวิต ทุกๆ สถานการณ์ด้วย

 

 

เยี่ยเม่ยเงียบไปชั่วครู่ มองเขา พลันถามว่า “ชั่วชีวิตของจวินซ่าง เคยพ่ายแพ้ไหม”

 

 

“ไม่เคย” เสินเซ่อเทียนมองเยี่ยเม่ยแววตาทอรอยยิ้ม ภายใต้แสงจันทร์ ความสูงส่งของเขายิ่งคล้ายเทพเทวา น้ำเสียงทรงความศักดิ์สิทธิ์ดังขึ้นอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่เคยแพ้มาก่อน ข้าไม่อาจรับรองได้ว่า ภายหน้าจะไม่พ่ายแพ้หรือไม่ แต่คนที่คิดเอาชนะข้า ล้วนต้องจ่ายค่าตอบแทนที่เหมาะสม”

 

 

เมื่อเขาเอ่ยจบ ก็เห็นสีหน้าของเยี่ยเม่ยเปลี่ยนไป

 

 

เขายิ้มขึ้นอีกครั้ง “แต่เจ้าวางใจเถอะ แพ้หรือชนะ ไม่รวมการเดิมพันในงานแต่งฉากนี้ ครั้งนี้ข้าแพ้ได้ แล้วข้าก็ไม่แก้แค้นด้วย นี่คือบุคลิกที่บุรุษพึงมี เพียงแต่…”

 

 

ครั้นเอ่ยถึงยามนี้ เขาเว้นระยะเล็กน้อยมองสีหน้าเยี่ยเม่ยที่ล้ำลึกลง หัวเราะเบาๆ “ข้าเพียงหวังว่า ข้ากับเจ้าคงไม่มีการเดิมพันอีกฉากหนึ่ง!”