“จวินซ่างคิดมากไปแล้ว!” เยี่ยเม่ยมองเสินเซ่อเทียนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์คราหนึ่ง
นางตอบเสียยงต่ำว่า “ระหว่างเยี่ยเม่ยกับจวินซ่างไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวพัน ดังนั้นย่อมไม่มีการเดิมพันใดๆ อย่างที่จวินซ่างถามถึง จวินซ่างคลายใจได้”
“อย่างนั้นหรือ” เสินเซ่อเทียนยิ้ม กลับไม่เห็นด้วยหรือว่าปฏิเสธ
ก็จริง
สำหรับตอนนี้เขากับเยี่ยเม่ยไม่มีความขัดแย้ง แต่ว่าไม่รู้เพราะอะไร เสินเซ่อเทียนมักมีลางสังหรณ์ไม่ดี ลางสังหรณ์นี้มาจากความฝันแปลกประหลาดของเขาเมื่อคืน
เขาฝันเห็นตัวเองลงมือฆ่านาง
สาเหตุที่ฆ่านางในฝันนั้นเลือนรางมาก ไม่อาจจดจำได้ เดิมทีความฝันตื่นหนึ่ง หากเกิดขึ้นกับคนทั่วไปก็ไม่มีอะไร แต่ว่า…ดันเกิดขึ้นกับตัวเขา
คนของสำนักเทียนจี โดยปกติแล้วจะไม่ฝัน พวกเขาต่างหลับลึก หลังจากนอนไปแล้วจะไม่ตกอยู่ในสภาวะใดๆ อีก
แต่ว่า…ทันทีฝัน นั่นคือสิ่งที่ต้องประสบ
เพราะเป็นเช่นนี้ เขาจึงไม่อาจสงบใจ ในเวลานี้เองเขาควรบอกตัวเองว่าเป็นความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น อย่ายึดเป็นจริงเป็นจังใช่ไหม
เขาออกจากสำนักเทียนจีมาตั้งนานแล้ว อีกทั้งนับตั้งแต่วันที่ออกจากสำนักมา อาจารย์ก็บอกแล้วว่าต่อไปเขาไม่ใช่ลูกศิษย์ของอาจารย์ต่อไป ทั้งเขาไร้คุณสมบัติที่จะกลับสำนักอีกแล้ว
เขาไม่เข้าใจมาตลอดว่าเพราะอะไรตอนที่เขาออกจากสำนักมา อาจารย์ถึงเอ่ยคำพูดเช่นนี้กับเขา
แต่ว่าในเมื่ออาจารย์ไม่ยอมให้เขากลับไป บางทีอาจหมายความว่าในสายตาของอาจารย์ เขาไม่ใช่คนของสำนักเทียนจีอีกแล้ว ดังนั้น…
เขาสมควรคิดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาผู้หนึ่ง เป็นคนที่ออกจากสำนักมาแล้ว ไม่ควรยึดติดฝันเพียงตื่นหนึ่งอีก
เพียงแต่ฝันนั้นเสมือนจริงเหลือเกิน
ในขณะที่เขาใช้ความคิดอยู่ เยี่ยเม่ยก็มองเขา เอ่ยล้อเล่นว่า “ไม่อย่างนั้นจวินซ่างคิดว่าอะไร หรือว่าท่านพบเหตุผลที่ต่อไปพวกเราจะกลายเป็นศัตรูกัน ไม่ขอปิดบัง เยี่ยเม่ยผู้นี้เป็นคนกระหายในอำนาจ คิดแย่งชิงตำแหน่งสูงสุดของขุนนาง เป็นคนเช่นเดียวกับจวินซ่างที่อยู่เหนือคนนับหมื่นแต่อยู่ใต้คนคนเดียว ดังนั้นสิ่งที่เยี่ยเม่ยต้องการก็คือ ความสำคัญที่ได้รับจากฝ่าบาท นอกจากนั้นก็ไม่มีสิ่งอื่นใด หรือจวินซ่างกังวลว่าจะมีคนแย่งชิงตำแหน่งของท่านในใจฝ่าบาท ดังนั้นถึงต้องการสังหารข้า”
นางจงใจเอ่ยเช่นนี้ นับว่าเป็นการลอบหยั่งเชิงเสินเซ่อเทียนไปด้วย บอกกับเขาว่าภายหน้านางจะแย่งชิงอำนาจในราชสำนัก อีกทั้งสาเหตุก็มีเพียงแค่นางต้องการอำนาจเท่านั้นเอง
ขณะเดียวกันนางใช้คำพูดเหล่านี้เพื่อกลบความสงสัยที่เสินเซ่อเทียนมีต่อนาง เพราะว่านางดูออก คนอย่างเสินเซ่อเทียนไม่ใส่ใจว่าใครจะแย่งชิงตำแหน่งกับเขา
แล้วก็เป็นดังที่นางคาดไว้
เมื่อนางกล่าวออกมา เสินเซ่อเทียนพลันหัวเราะออกมา เอ่ยปากว่า “ข้ากลับเฝ้ารอว่าสักวันเจ้าจะแย่งชิงตำแหน่งของข้าในใจฝ่าบาทได้ หากเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาทถึงยอมปล่อยข้าไปด้วยตัวเองแล้ว”
เดิมทีเขาเป็นคนของสำนักเทียนจีที่ไม่มีความกระหายต่ออำนาจใดๆ อยู่แล้ว
หากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้มีบุญคุณกับตน เขาไม่เคยคิดเข้าสู่ราชสำนักเป่ยเฉินด้วยซ้ำ ทั้งไม่สนใจตำแหน่งจวินซ่างที่เหนือคนนับหมื่นแต่อยู่ใต้คนเดียวด้วย น่าเสียดายเขาให้คำสาบานกับฮ่องเต้ไว้แต่แรก เขาจะจงรักภักดีไปชั่วชีวิต ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จึงมีเพียงสถานการณ์นั้นที่เขาจะจากไปได้
นั่นก็คือยามที่ฮ่องเต้ไม่ต้องการเขาอีกต่อไป
ราวกับเยี่ยเม่ยได้ยินความหมายในคำพูดของเสินเซ่อเทียน นางหันไปมองเขา “จวินซ่างไม่สนใจอำนาจ แล้วไฉนไม่ล่าถอยออกมา”
ความจริงนางไม่อยากเป็นศัตรูกับเสินเซ่อเทียน ไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ ก็ไม่อยากเป็น เขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ หากเป็นอย่างที่เสินเซ่อเทียนว่า ต่อให้นางเอาชนะเขาได้ ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ ดังนั้นนางได้แต่หวังว่า เสินเซ่อเทียนจะยอมจากไปเอง
ครั้นนางเอ่ยประโยคนี้
เสินเซ่อเทียนเป็นฝ่ายหัวเราะออก
เขามองนาง เอ่ยเบาๆ “แต่ละคนต่างมีสิ่งที่พันธนาการผูกรัดตัวเอาไว้ มีบางคนทำเพื่อบุญคุณ บางคนทำเพื่อหน้าที่ ก็เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ คนจึงไม่อาจกระทำตามอำเภอใจตนเอง แต่ว่าก็เพราะสิ่งเหล่านี้ คนผู้หนึ่งถึงนับว่าเป็นคน ไม่ใช่หรืออย่างไร”
คำพูดเขาเอ่ยตรงประเด็น
ด้วยเหตุนี้เยี่ยเม่ยก็เข้าใจแล้ว เสินเซ่อเทียนไม่อาจปล่อยวางบุญคุณที่ฮ่องเต้มีต่อเขา เช่นเดียวกับนางที่ไม่อาจปล่อยวางความแค้นของราชสำนักจงเจิ้งได้
เพราะพันธนาการเหล่านี้ คนจึงไม่อาจทำตามใจ กระทำเพียงเรื่องที่อยากทำเท่านั้น
แต่…
ก็เพราะพันธนาการเหล่านี้
คนถึงมีความเป็นคน ไม่ใช่เดียรัจฉานที่ลืมบุญคุณ ไม่มีความรับผิดชอบ ไร้ความกตัญญู
ดังนั้นนางกับเสินเซ่อเทียนถูกกำหนดให้เป็นศัตรูอย่างไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
นางมองท้องฟ้า จากนั้นก็มองเสินเซ่อเทียนอย่างว่องไว เอ่ยว่า “ดึกมากแล้ว คำที่จวินซ่างคิดเอ่ยก็เอ่ยหมดแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้จวินซ่างกลับไปพักผ่อน เยี่ยเม่ยก็คิดจะพักผ่อนแล้ว”
นางเชื่อว่าคำที่เสินเซ่อเทียนอยากบอกนาง เอ่ยไปหมดแล้ว
เขาคิดแต่งงานกับนางจริงๆ ถึงในใจเขาไม่เชื่อนางทั้งหมด แต่ก็เป็นความจริง ดังนั้นคำพูดของเขา ทางหนึ่งก็เพื่อหยั่งเชิงนาง อีกทางหนึ่งก็เพื่อเตือนนาง
บอกนางว่าอย่าคิดเป็นศัตรูกับเป่ยเฉิน มิเช่นนั้นก็เป็นศัตรูกับเขา เขาไม่มีทางทอดทิ้งบุญคุณ ดังนั้นไม่มีทางเลือกจากไปเอง อีกทั้งทันทีที่เป็นศัตรูกับเขา หากคิดจะเอาชนะเขาที่ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนสูง
ความหมายเหล่านี้ เยี่ยเม่ยเข้าใจหมดแล้ว
แต่ว่าในยามนี้ เยี่ยเม่ยก็นับว่าบรรลุเป้าหมายแรกของนางแล้ว อย่างนั้นต่อให้…เสินเซ่อเทียนรู้ว่านางจะไม่เลือกเขา แต่เขาก็ไม่มีทางมีความคิดเช่นตอนแรก คิดว่านางมีเป้าหมาย
แต่เป็นเพราะ…นางชอบคนอื่นแล้ว
เพียงแต่
เยี่ยเม่ยลอบถอนใจอยู่ในใจ นางสามารถทำอย่างคำที่บอกเสินเซ่อเทียน เลือกคนที่นางชอบได้หรือไม่
เสินเซ่อเทียนแจ่มแจ้งว่าเยี่ยเม่ยเข้าใจความหมายของเขาทั้งหมด ในเมื่อนางฟังรู้เรื่องแล้ว เขาก็สมควรจากไปได้
เสินเซ่อเทียนลุกขึ้นมองเยี่ยเม่ย ยิ้มเอ่ยว่า “อาหารรสเลิศในโลกนี้ ขอเพียงเจ้าเคยได้ยินชื่อ บนตำหนักเขาหลินซานแทบมีทุกอย่าง หากอยากกินก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ ป้ายคำสั่งที่ข้ามอบให้เจ้าจะเปิดทางให้เจ้าเข้าตำหนักเขาหลินซานได้ พวกเขาจะเห็นเจ้าเป็นนายคนหนึ่ง!”
เยี่ยเม่ยครุ่นคิด
ป้ายคำสั่งนั้นความจริงเป็นของขอแต่งงานของเขา ดังนั้นนางย่อมรู้ว่า ที่เขาเอ่ยถึงนั้นถือว่าเป็นความจงใจเช่นกัน
นางทำเป็นเหมือนฟังไม่เข้าใจ หัวเราะ “อย่างนั้นต้องขอบคุณจวินซ่างแล้ว หากเยี่ยเม่ยเกิดความอยากกินเมื่อไร ย่อมไปหาจวินซ่าง!”
เสินเซ่อเทียนหัวเราะแล้วก็จากไป
……
เมื่อออกจากจวนแม่ทัพของเยี่ยเม่ย สีหน้าของเสินเซ่อเทียนก็สงบนิ่งลง
เฉิงเสี่ยวจวนมองเจ้านายเดินออกมา ก็เข้าไปถามว่า “จวินซ่าง เป็นอย่างไรบ้าง ท่านล้มเหลวแล้วใช่หรือไม่”
เสินเซ่อเทียนมุมปากกระตุก
เขาเลิกคิ้วมองเฉิงเสี่ยวจวน นี่เขาเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า หลังจากเขาสนทนากับเยี่ยเม่ยเป็นต้นมา เขาคิดว่าตัวเองไม่มีโอกาสชนะในศึกแย่งชิงการแต่งงานนี้อย่างแน่นอน แต่ว่าจากคำพูดของเฉิงเสี่ยวจวน ทำไมเขาถึงฟังออกว่า…
เป็นเรื่องสมเหตุสมผลกันเล่า