ตอนที่ 25 แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มแย่งชิงภรรยา

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

นางทำราวกับว่าตัวเขาเพิ่งขอแต่งงานก็ต้องประสบความล้มเหลวอย่างแน่นอน

 

 

เสินเซ่อเทียนมองเฉิงเสี่ยวจวน ถามอย่างอดไม่ได้ว่า “ทำไม เจ้าคาดการณ์ว่าข้าอาจจะล้มเหลว?”

 

 

“ใช่!” เฉิงเสี่ยวจวนไม่ไว้หน้าเจ้านายเลยสักนิด

 

 

เป่ยเจี้ยนเกอมองเงียบๆ อยู่ด้านข้าง เขาไม่เอ่ยอะไร ความจริงแล้วเขาก็คิดว่า จวินซ่างน่าจะล้มเหลวอย่างแน่นอน

 

 

เยี่ยเม่ยเป็นสตรีประเภทไหน?

 

 

สตรีเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ต้องการอะไร ก็สมควรเป็นของที่มีค่าจับต้องได้ นางหาใช่คุณหนูที่เติบโตมาในห้องหอ ไร้เดียงสาใสซื่อ เฝ้ารอเรื่องราวความรักหวานชื่น

 

 

กลับกันนางอยู่ในสนามรบ สังหารคนไม่น้อย

 

 

ในสถานการณ์นี้ จวินซ่างวิ่งไปส่งของกินให้ อืม… เป่ยเจี้ยนเกอยังไม่เข้าใจว่าจวินซ่างคิดอะไรอยู่กันแน่ ดังนั้นก่อนจวินซ่างออกเดินทาง เขากับเฉิงเสี่ยวจวนก็ปรึกษากันก่อนแล้วว่าต้องเกลี้ยกล่อมจวินซ่างให้ได้

 

 

เพื่อช่วยจวินซ่าง

 

 

มิเช่นนั้นคาดหวังว่าจวินซ่างทำแบบนี้ยังหาภรรยาได้อีกหรือ ไม่ถูกคนไล่ตะเพิดมาก็ไม่เลวแล้ว

 

 

ส่วนที่ว่าทำไมต้องให้เฉิงเสี่ยวจวนเอ่ยปากน่ะหรือ ก็เพราะว่านางเป็นสตรี ผู้หญิงจะพูดถึงสิ่งที่เยี่ยเม่ยน่าจะชอบมากกว่าให้จวินซ่างเข้าใจ

 

 

เห็นสีหน้ามีเหตุผลของนาง เสินเซ่อเทียนก็หันกลับไปมองเป่ยเจี้ยนเกอทีหนึ่ง แววตาที่คนสนิทมองตนแทบไม่กล้าสบตาตรงๆ ด้วยซ้ำ

 

 

เสินเซ่อเทียนเส้นเอ็นตรงขมับเต้นตุบๆ

 

 

ในยามนี้อดใคร่ครวญไม่ได้ว่า หรือว่าการกระทำของเขาในวันนี้มีปัญหาจริงๆ

 

 

ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากถามด้วยความฉงน

 

 

เฉิงเสี่ยวจวนชิงเอ่ยว่า “จวินซ่าง ท่านเคยคิดหรือไม่ ในยามปกติท่านคิดจะเอาใจคนผู้หนึ่ง สมควรทำอย่างไร”

 

 

เป่ยเจี้ยนเกอที่อยู่ด้านข้างก็ร่วมสนับสนุนว่า “ย่อมต้องให้ของที่ผู้อื่นชอบ ถึงทำให้ผู้อื่นมองเราในทางที่ต่างออกไป!”

 

 

“ถูกแล้ว!” เฉิงเสี่ยวจวนพยักหน้า มองเสินเซ่อเทียน เอ่ย “แต่ว่าจวินซ่าง ท่านไม่เคยคิดว่าเยี่ยเม่ยชอบอะไรเลยสักนิด ท่านก็เอาของที่ท่านชอบที่สุดให้กับนาง ท่านเคยได้ฟังหรือเปล่า น้ำผึ้งของข้าอาจเป็นยาพิษสำหรับเจ้า”

 

 

นางเอ่ยเช่นนี้ เสินเซ่อเทียนลองคิดแล้วก็พลันรู้สึกว่ามีเหตุผล จริงด้วย อาหารอร่อยเป็นของที่ตนเองรักชอบจากใจ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นของที่เยี่ยเม่ยชอบด้วย เมื่อมอบให้นางก็อาจไม่เหมาะสม

 

 

แต่ว่า…

 

 

เขามองเฉิงเสี่ยวจวนทีหนึ่ง กล่าวว่า “ใช้คำว่ายาพิษ ก็ออกจะเกินไปกระมัง”

 

 

ต่อให้เยี่ยเม่ยไม่ชอบของอร่อย ก็ไม่น่าเห็นถึงขั้นว่าเป็นยาพิษ!

 

 

เฉิงเสี่ยวจวนพยักหน้า “ถูกต้อง! จุดนี้ข้าน้อยเอ่ยเกินไปจริง ที่เอ่ยเช่นนี้ก็เพื่อจวินซ่างจะได้เข้าใจมุมมองของข้าน้อยได้มากขึ้น ท่านชอบอาหารอร่อย ท่านก็มอบอาหารให้ นี่ท่านกำลังทำอะไรกันแน่ ท่านคิดจะเอาใจผู้อื่น แต่ยังหวังให้ภายหน้าผู้อื่นยอมรับความชอบของท่านด้วยหรือ”

 

 

คำถามนี้ของนางทำเสินเซ่อเทียนอึ้งไปแล้ว

 

 

ถึงการเอาอาหารไปมอบให้เยี่ยเม่ยมีความหมายถึงการแบ่งปัน แต่ว่าคำพูดง่ายๆ ของเฉิงเสี่ยวจวนก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล

 

 

ด้วยเหตุนี้

 

 

เขานิ่งไปเล็กน้อย มองเฉิงเสี่ยวจวนทีหนึ่ง เอ่ยปากถามว่า “ดังนั้นเจ้าคิดว่า ข้าควรทำอย่างไรดี”

 

 

“ข้าเองก็เป็นสตรี ข้าย่อมรู้ว่าเหล่าสตรีชอบอะไร! จวินซ่าง อย่างแรกท่านต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าสิ่งที่แม่นางเยี่ยเม่ยต้องการคืออะไร นางชอบอะไรมากที่สุด จากนั้นค่อยมอบของที่นางต้องการ! มอบของที่นางชอบ! ไม่ใช่ของที่ท่านชอบ…” เฉิงเสี่ยวจวนอธิบายไปก็แอบปาดเหงื่อ

 

 

ไม่รู้จริงๆ ว่าจวินซ่างคิดอะไรอยู่

 

 

เขาคิดว่าคนทั้งโลกล้วนเป็นแบบเขา ต่างก็เป็นจอมตะกละ เห็นของอร่อยก็ก้าวเท้าไม่ออกอย่างนั้นหรือ เขาถึงกับมีความคิดไม่ได้เรื่องอย่างการเอาของกินไปส่งให้เยี่ยเม่ยกลางดึก อีกทั้งยามออกจากบ้านไปยังทำท่าทางมั่นอกมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม

 

 

เสินเซ่อเทียนฟังแล้ว จึงเริ่มคิดอย่างจริงจัง ก็เหมือนจะถูก

 

 

คิดจะทำให้คนอื่นยอมรับตน ก็สมควรมอบของที่ผู้อื่นชอบ เขากลับเอาของที่ตัวเองชอบไปให้เยี่ยเม่ย ผลักไสให้คนอื่นเช่นนี้ หลงคิดว่าของที่เขาชอบนางก็ต้องชอบไปด้วย ทำแบบนี้ไม่เหมาะสมเลยจริงๆ

 

 

อย่างไรเสียเรื่องราวในโลกนี้ไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะผลักไสให้คนอื่นได้

 

 

อย่างเช่นความชอบไม่อาจบีบบังคับคน เอาของที่ตนเองชอบไปยัดเยียดให้ผู้อื่น

 

 

แต่ว่า…

 

 

“บางทีในยามนี้นางอาจจะยังไม่ชอบของอร่อย หลังจากการกระทำของข้า นางอาจจะค่อยๆ เป็นเหมือนข้า หลงรักของอร่อยขึ้นมาแล้วเล่า” เสินเซ่อเทียนถามออกไป

 

 

ถึงความชอบไม่อาจยัดเยียดให้ผู้อื่นได้

 

 

แต่สามารถแนะนำให้ผู้อื่นได้นิ ไม่แน่ว่าผู้อื่นอาจยอมรับได้ด้วยเล่า

 

 

เฉิงเสี่ยวจวนกลอกตา เอ่ยปากว่า “จวินซ่าง ท่านรู้ไหมว่าท่านมีศัตรูหัวใจที่แข็งแกร่งกี่คน ต่างก็เป็นพยัคฆ์เฝ้ารอตะครุบเหยื่อทั้งสิ้น ท่านไม่รีบใคร่ครวญดูว่าแม่นางเยี่ยเม่ยชอบอะไร ยังมีเวลามาคิดว่าจะแนะนำให้ผู้อื่นเป็นจอมตะกละอีก ก็ถูก บางทีท่านอาจแนะนำได้สำเร็จ คนอื่นก็กอดสาวงามไปก่อนล่วงหน้าแล้ว ส่วนท่านก็เป็นได้แค่พี่น้องที่แสนดีกับแม่นางเยี่ยเม่ย!”

 

 

เสินเซ่อเทียนสะอึกไป

 

 

เขาหันกลับไปมองเป่ยเจี้ยนเกอ ถามว่า “เจ้าก็คิดเช่นนั้นหรือ”

 

 

เป่ยเจี้ยนเกอพยักหน้ารัวๆ “ถูกแล้ว! จวินซ่าง! คำพูดของเสี่ยวจวนไม่ผิดเลย ความจริงข้าน้อยรู้ว่าท่านไปส่งอาหารอาจมีความนัยแฝงอย่างอื่นอีก แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรการมอบสิ่งที่ผู้อื่นชอบถึงสำคัญที่สุด ความคิดเรื่องอื่นท่านควรพักไว้ชั่วคราวแล้ว!”

 

 

เมื่อทุกคนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกัน เสินเซ่อเทียนก็มุ่นคิ้ว

 

 

เขาพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว!”

 

 

เสินเซ่อเทียนกวาดตามองเฉิงเสี่ยวจวน เอ่ย “เจ้าเป็นสตรี เจ้าเข้าใจสตรีมากกว่า ลองคิดดูสิว่านางอาจจะชอบอะไร แล้วไปเตรียมของขวัญแทนข้า”

 

 

“เจ้าค่ะ!” เฉิงเสี่ยวจวนรับคำทันที นางแทบน้ำตาไหลด้วยความดีใจเพราะไม่ง่ายที่จวินซ่างจะคิดได้

 

 

ถัดมา

 

 

เสินเซ่อเทียนมองเป่ยเจี้ยนเกอ สั่งการว่า “เจ้าให้คนคิดหาวิธี สืบจากคนรอบข้างเยี่ยเม่ย พยายามสืบให้ได้ว่านางชอบอะไร ถามให้ได้มากที่สุด!”

 

 

“ขอรับ!” เป่ยเจี้ยนเกอถอนหายใจทีหนึ่ง

 

 

ดีเหลือเกิน

 

 

พวกเขาน่าจะเกลี้ยกล่อมจวินซ่างได้สำเร็จแล้ว ไม่เช่นนั้นหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปคงได้พ่ายแพ้ยับเยินเป็นแน่ ถึงเมื่อครู่จวินซ่างออกไปส่งอาหารด้วยท่าทางปริ่มเปรม แต่นั่นก็คือการที่จวินซ่างขี่ม้าล้มลงบนเส้นทางแห่งความล้มเหลวในการแย่งชิงภรรยาแล้ว

 

 

แต่ว่าตอนนี้อยู่ในสภาพขี่ม้าบนขอบเหว เคราะห์ดีที่ยังพอมีหวังเหลืออยู่บ้าง ใช่หรือไม่

 

 

เป่ยเจี้ยนเกอคิดด้วยน้ำตาคลอเบ้า

 

 

“อย่างนั้นก็ไปจัดการเถอะ!”

 

 

เสินเซ่อเทียนกล่าวจบ ก็เดินกลับเข้าตำหนัก

 

 

เวลานี้เฉิงเสี่ยวจวนกลับถามขึ้นอีกประโยคว่า “แต่ว่าจวินซ่าง ด้านฝ่าบาทนั้น…ท่านไม่กังวลว่าเมื่อฝ่าบาททรงพิโรธแล้วจะสังหารแม่นางเยี่ยเม่ย”

 

 

อย่างไรเสียความคิดของฝ่าบาทที่มีต่อจวินซ่างก็ชัดแจ้ง คนรอบข้างต่างก็รับรู้ทั้งนั้น

 

 

พวกเขามองออกอย่างชัดเจน ยากรับรองว่าในยามนี้พระองค์จะไม่เกิดความคิดอยากสังหารเยี่ยเม่ย

 

 

เสินเซ่อเทียนส่ายหน้า ตอบ “ไม่ต้องกังวลชั่วคราว อย่างน้อยภายในสามวันนี้ ฝ่าบาทก็ไม่มีทางแตะต้องนางแน่! ส่วนพ้นจากสามวันไป…”