บทที่ 330 เปิดเผยความลับ (4)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 330 เปิดเผยความลับ (4)

‘ยุ่งยากจริงๆ…’ ลู่เซิ่งลุกขึ้นแล้วใช้ผ้าขนหนูเช็ดน้ำบนร่าง ก่อนจะสวมใส่เสื้อผ้าที่จัดเตรียมไว้แล้ว

เขายื่นมือไปรูปรอยสีแดงจางๆ หลายสายบนหน้าอก

ตอนนี้เขามีสภาพหนึ่งเพิ่มขึ้นมา เป็นสภาพวิชาจริงแท้

สภาพวิชาจริงแท้อยู่บนพื้นฐานของสภาพหยินโชติช่วง ใช้กดอัดและซ่อนเร้นพลังของร่างหลักเพิ่มอีกขั้น จนกลายเป็นสภาพพิเศษ มีพลังอยู่ระหว่างระดับเอกะลักษณ์ถึงทวิลักษณ์เท่านั้น

ต่อจากนั้นเป็นสภาพหยินโชติช่วง สภาพร่างหลัก สภาพหยางโชติช่วง สุดท้ายจึงเป็นสภาพผู้ทำลายล้างที่เผาไหม้ทุกสิ่ง

ลู่เซิ่งตั้งชื่อให้สภาพปราณจริงแท้ว่าสภาพที่หนึ่ง หยินโชติช่วงคือสภาพที่สอง ร่างหลักคือสภาพที่สาม หยางโชติช่วงคือสภาพที่สี่ ผู้ทำลายล้างในอันดับสุดท้ายคือสภาพที่ห้า

สภาพทั้งห้าแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ผู้ทำลายล้างในลำดับสุดท้ายคือพลังอันน่าสะพรึงกลัวในระดับราชามารอันเป็นขั้นสูงสุด

ปัจจุบันเขาใช้ปราณจริงแท้เป็นตัวกระตุ้น ปราณภายในกับแก่นมารมีแนวโน้มผสานรวมกันอย่างเลือนราง หากพลังฝึกปรือปราณจริงแท้ของเขาไปถึงขอบเขตเดียวกันกับแก่นมาร จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงเลื่อนระดับชนิดพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินขึ้นแน่

หลังจากอาบน้ำเสร็จ เขาก็กลับห้องไปพักผ่อน เช้าตรู่วันต่อมา ผู้อาวุโสจางซื่อหลงก็มาหาและแจ้งผลลัพธ์การทดสอบกับเขา

นอกจากเขาที่ผ่านแล้ว ซ่งตูจากตระกูลซ่งกับหมาซางจิวล้วนผ่านการทดสอบอย่างราบรื่น อีกสองคนที่เหลือล้มเหลว ได้แต่เป็นศิษย์ภายในทั่วไปก่อน

และพวกเขาที่ผ่านจะได้กลายเป็นศิษย์จริงแท้โดยตรง โดยที่ต้องมุ่งหน้าไปยังเขตลับเพื่อดำเนินการทดสอบสุดท้าย

ครั้งนี้จางซื่อหลงมาส่งลู่เซิ่งพร้อมกับสตรีงดงามที่มีผมยาวสีม่วงอีกคนหนึ่ง สตรีงามคนนั้นแสดงสีหน้าราบเรียบ คล้ายกับมีนิสัยเงียบๆ อยู่แล้ว ตลอดทางด้านในรถม้า นางได้อธิบายให้ลู่เซิ่งฟังไม่หยุดว่าหลังจากเข้าเขตลับแล้วควรทำอย่างไร

ลู่เซิ่งเข้าใจคร่าวๆ แล้วว่าเขตลับนี้คืออะไร

รถม้าไปถึงด้านหน้าหอไม้สีดำอมม่วงห้าชั้นที่คลับคล้ายเหลาสุราและโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว

ทั้งสามลงรถแล้วเดินเข้าไปในโถงใหญ่สีม่วงทรงกลมที่อยู่ในชั้นหนึ่งของหอไม้ ซ่งตูกับหมาซางจิวอยู่ในโถงใหญ่อยู่แล้ว ทั้งสองกำลังสนทนาเบาๆ กับผู้อาวุโสข้างกายตนเอง

พอเห็นลู่เซิ่งเข้ามา พวกเขาก็พยักหน้าให้อย่างราบเรียบ นับเป็นการทักทาย

จางซื่อหลงยิ้มตอบพลางฉุดลากลู่เซิ่งไปยืนตรงกลางโถงใหญ่

ค่ายกลทองแดงทรงกลมขนาดใหญ่ฝังอยู่บนพื้น ขอบมีลวดลายรูปม้าขนาดต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วน ม้าจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายอยู่บนค่ายกลทองแดงในอิริยาบถต่างๆ ทำให้คนชื่นชมในความงดงาม

“อย่าได้เสียเวลาแล้ว ในเมื่อคนมาครบแล้วก็เริ่มกันเลยเถอะ” ผู้อาวุโสหญิงด้านหลังหมาซางจิวกล่าวเสียงทุ้ม

“ได้”

“ได้”

จางซื่อหลงกับอีกคนพากันพยักหน้า จากนั้นก็บอกให้พวกลู่เซิ่งยืนอยู่ตรงกลางค่ายกลทองแดงในลักษณะสามเหลี่ยม

“ตอนนี้ขอให้ทั้งสามคนหลับตา หลังจากนับถึงสามให้กระโดดพร้อมกัน” จางซื่อหลงกำชับ

พวกลู่เซิ่งหลับตาตามคำบอก

‘หนึ่ง’

‘สอง’

‘สาม’

ทั้งสามกระโดดขึ้นเบาๆ พร้อมกัน ลมอ่อนโชยปะทะหน้า รอบๆ เหมือนกับทะลุผ่านฟองเบาบางชั้นหนึ่ง

ตุบ

ทั้งสามตกลงพื้น พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ ก็เปลี่ยนไปแล้ว

ทั้งสามยืนอยู่ในถ้ำที่มืดมิดแห่งหนึ่ง ข้างใต้เท้าเป็นค่ายกลทองแดงหมื่นอาชาเหมือนเดิม กลิ่นหญ้าอ่อนๆ โชยมาจากด้านนอกถ้ำ ทั้งยังมีกลิ่นดอกไม้จางๆ กับกลิ่นอากาศที่สดชื่นแทรกอยู่ ทำให้คนรู้สึกปลอดโปร่ง

“ทั้งสองท่าน ข้าขอไปก่อนก้าวหนึ่ง…” ซ่งตูหัวเราะแห้ง ไม่กล้ามองลู่เซิ่ง จากนั้นก็รีบพุ่งออกจากถ้ำ ไม่นานก็หายไปในป่าไม้พุ่มหญ้า

หมาซางจิวมองลู่เซิ่งอย่างเป็นมิตร

“คุณชายลู่ เขตถ่ายทอดความลับในครั้งนี้ขอแค่อยู่จนครบเวลาก็พอ ที่นี่เต็มไปด้วยผู้อาวุโสสายหลักที่เร้นกายอยู่ เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของพวกเราพอดี อย่าได้พลาดไปเป็นอันขาด”

“ขอบคุณที่เตือน” ลู่เซิ่งพยักหน้า ตอบสนองต่อเจตนาดีของอีกฝ่าย

หมาซางจิวพยักหน้าก่อนจะออกจากถ้ำไปอย่างรวดเร็ว

เหลือแค่ลู่เซิ่งคนเดียว

เขาสูดหายใจลึกพลางเงยหน้ามองยอดถ้ำ เหมือนกับมองทะลุผนังหินไปเห็นท้องฟ้าไร้ขอบเขตด้านบนได้

‘สารกายที่เข้มข้นแบบนี้…ช่าง…’

เขาไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าสารกายจะเข้มข้นจนน่ากลัวแบบตอนนี้ได้

แค่หายใจครั้งเดียว ก็สามารถดูดซับได้เทียบเท่ากับปริมาณที่ตนดูดซับมาหนึ่งเดือนได้แล้ว เพิ่งจะมาถึงที่นี่ได้ครู่เดียว เขาก็รู้สึกได้ว่าร่างกายบวมเป่งขึ้นมาเล็กน้อย

สารกายจำนวนมหาศาลทะลักเข้าไปในตัวเขาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้กายเนื้อของเขาที่อยู่ในสภาพหิวโหยมาโดยตลอดอิ่มเอิบอย่างรวดเร็ว

‘ถ้าหากฝึกฝนอยู่ที่นี่ได้ คิดจะทำให้พลังฝึกปรือวิชาจริงแท้บรรลุถึงระดับราชามาร ไม่รู้ว่าจะประหยัดเวลาที่ต้องใช้ได้มากขนาดไหน’ ลู่เซิ่งทอดถอนใจพร้อมกับค่อยๆ เดินออกจากถ้ำ

สารกายด้านนอกเข้มข้นยิ่งกว่า

หมอกเมฆสีขาวหลายสายค่อยๆ ลอยผ่านด้านหน้าเขาไป

หมับ

ลู่เซิ่งพลันยื่นมืออกไปจับเมฆก้อนหนึ่ง

“ทำอะไร” เมฆขาวพลันหันกลับมา เผยให้เห็นใบหน้าตายด้านเหมือนกับเป็นอัมพาต

เมฆก้อนหนึ่งมีใบหน้าตายด้านเป็นอัมพาต ลอยเอื่อยๆ อย่างสะเปะสะปะกลางอากาศ…

ลู่เซิ่งตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยหางก้อนเมฆอย่างไม่รู้ตัว

“ขออภัย”

“ไม่เป็นไร ครั้งหน้าอย่าบุ่มบ่ามแบบนี้อีก” เมฆหันกลับไปแล้วกลายเป็นสภาพลูกอ๊อดเหมือนเดิม จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยไปยังที่ไกล

ลู่เซิ่งอึ้งอยู่บ้าง เดินไปด้านหน้าอีกหลายก้าว เขาพบว่าขอแค่ไม่ตั้งใจจับเมฆเหล่านี้ พวกมันก็จะไม่สนใจเขา ทั้งยังถูกชนสลายไปเหมือนกับก้อนเมฆของจริง

ลู่เซิ่งเดินในป่าได้สักระยะ จากนั้นก็เจอทะเลสาบเล็กๆ สีฟ้าทรงกลมผืนหนึ่งตามคำกำชับของผู้อาวุโสจางซื่อหลงในตอนมาอย่างรวดเร็ว

น้ำในทะเลสาบกระเพื่อมเป็นระลอกน้อยๆ ตามลม กวางน้อยและกระทิงน้อยหลายตัวก้มศีรษะดื่มน้ำอยู่ด้านข้าง แมลงปอกับนกจิกน้ำบนผิวทะเลสาบตลอดเวลา

ลู่เซิ่งไม่ได้รีบร้อน เขานั่งขัดสมาธิลงริมทะเลสาบ ก่อนจะหลับตาและเริ่มฝึกฝนวิชาอาทิตย์วสันต์สงบจิตใจ วิชาจริงแท้นี้มีแค่หกขั้น เขาฝึกถึงขั้นที่สามแล้ว พลังฝึกปรือปราณจริงแท้ไปถึงระดับเอกะลักษณ์ของขอบเขตพันธนาการแล้ว

สำหรับลู่เซิ่ง ข้อจำกัดของวิชาอาทิตย์วสันต์สงบจิตใจในตอนแรกเกิดจากการที่มีปริมาณสารกายไม่พอ

ทว่าตอนนี้ต่างไปจากเดิมแล้ว สารกายในเขตถ่ายทอดความลับมีความเข้มข้นสูงจนน่าตกตะลึง แม้แต่ไอหมอกเมฆขาวยังกลายเป็นปีศาจเพราะสารกายที่เข้มข้น

‘แสดงคุณสมบัติของตัวเอง ขอแค่ดีพอ จะดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้อาวุโสที่เร้นกายในเขตถ่ายทอดความลับได้เอง’ ลู่เซิ่งนึกถึงสถานการณ์ที่สตรีงามผมม่วงนั้นพูดถึง

เขาหลับตาค่อยๆ รวบรวมสมาธิ ดำดิ่งในร่างกาย

เป้าหมายในการมายังต้าอินของเขาไม่ใช่การเพิ่มระดับพลังฝึกปรือตามลำดับขั้นตอน แต่เป็นการหาทรัพยากรจำนวนมากอย่างรวดเร็ว แล้วใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยนเพื่อไปถึงระดับสูงสุด

‘ดีปบลู’

ฟิ้ว

กรอบเครื่องมือปรับเปลี่ยนโผล่ขึ้นด้านหน้าเขา

ดวงตาที่ปิดสนิทของลู่เซิ่งมองไปที่กรอบวิชาอาทิตย์วสันต์สงบจิตใจอย่างรวดเร็ว

‘ยกระดับวิชาอาทิตย์วสันต์สงบจิตใจถึงขั้นที่สี่’ เขาค่อยๆ เพ่งสมาธิบนกรอบทั้งกรอบแล้วหยุดนิ่งลงสักพักหนึ่ง

ชิ้ง

กรอบพร่ามัว จากนั้นก็ชัดขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื้อหาด้านในยกระดับจากระดับที่สามไปถึงระดับที่สี่โดยตรง

[วิชาอาทิตย์วสันต์สงบจิตใจ: ระดับที่สี่ ผลพิเศษ: ดูดซับสารกายระดับสี่ เพิ่มความแข็งแกร่งแก่จิตใจระดับสี่ ปริมาณปราณจริงแท้เพิ่มขึ้นตลอดไประดับสี่]

สิ่งนี้ความจริงเป็นวิชาพื้นฐาน ประโยชน์เพียงหนึ่งเดียวคือผลพิเศษอย่างปริมาณปราณจริงแท้เพิ่มขึ้นตลอดไป ผลการเพิ่มขึ้นอีกสองอย่างที่เหลือมีน้อยนิดเหลือจะกล่าว

เนื้อหาของกรอบเพิ่งจะชัดเจนขึ้น ลู่เซิ่งก็รู้สึกได้ในทันทีว่าสารกายเหนียวขึ้น

เส้นสีทองเส้นหนึ่งค่อยๆ รวมตัวและปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเขา ทั้งยังดูดซับสารกายสีขาวที่ทะลักมาจากรอบๆ ด้วยความเร็วสูง

สารกายเข้มข้นเกินไปจนทำให้สารกายนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าหาเส้นสีทองเอง โดยที่เส้นสีทองไม่ต้องดูดซับ

‘ยกระดับวิชาอาทิตย์วสันต์สงบจิตใจถึงระดับที่ห้า’ ตอนนี้มีสารกายมากพอแล้ว ลู่เซิ่งย่อมไม่ตระหนี่ ยกระดับได้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น

เสียงชิ้งดังขึ้น กรอบพร่ามัวอีกรอบจากนั้นก็ชัดขึ้น

[วิชาอาทิตย์วสันต์สงบจิตใจ: ระดับที่ห้า ผลพิเศษ: ดูดซับสารกายระดับห้า เพิ่มความแข็งแกร่งแก่จิตใจระดับห้า ปริมาณปราณจริงแท้เพิ่มขึ้นตลอดไประดับห้า]

เส้นสีทองบนศีรษะลู่เซิ่งใหญ่ขึ้นและสว่างขึ้นด้วยความเร็วที่ตาเนื้อเห็นได้

สารกายจำนวนมากทะลักเข้าไปในเส้นสีทอง อันเป็นวัตถุชนิดพิเศษที่เหมือนหลุมลึกไม่เห็นก้นนี้ เส้นสีทองค่อยๆ กลายเป็นสีทองเข้ม และมีความยาวเพิ่มขึ้นหนึ่งข้อ

‘ยกระดับถึงระดับที่หก’ ลู่เซิ่งยังไม่พอใจ ด้วยความแข็งแกร่งทางกายเนื้อของเขา การพุ่งชนของสารกายที่วิชาอาทิตย์วสันต์สงบจิตใจดูดซับมาไม่ได้ก่อให้เกิดภาระแม้แต่น้อย

ฟิ้ว!

เสาสารกายเล็กๆ ต้นหนึ่งหมุนวนปรากฏบนศีรษะของเขา สารกายอันมหาศาลไหลเชี่ยวเข้าไปในเส้นสีทอง

ซูหนิงเฟยนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำลับที่ก้นทะเลสาบ

เสาสารกายสีขาวอมเทาสายหนึ่งหมุนวนอย่างช้าๆ อยู่บนศีรษะของนาง สารกายอันมหาศาลถูกจันทร์เสี้ยวสีทองเข้มดวงหนึ่งบนศีรษะนางดูดซับเข้าไปอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย

ทันใดนั้นเสาสารกายสั่นไหวน้อยๆ

‘มีคนกำลังเลื่อนระดับหรือ’ ซูหนิงเฟยค่อยๆ ลืมตาขึ้น ประกายตาคล้ายมองผ่านผนังถ้ำไปเห็นลู่เซิ่งที่กำลังดูดซับสารกายได้

‘เด็กน้อยผู้หนึ่ง…คุณสมบัติไม่เลว น่าเสียดาย…’ น่าเสียดายที่มาในเวลาฝึกดูดซับสารกายประจำวันของนางพอดี มิฉะนั้นสารการที่อยู่รอบๆ คงมีระดับความเข้มข้นสูงกว่านี้

‘ต่อจากนี้ค่อยให้ของชดเชยกับคำชี้แนะส่วนหนึ่งกับเขาก็แล้วกัน’ ซูหนิงเฟยคิดในใจ

นางฝึกอยู่ที่นี่มาเกือบสามร้อยปีแล้ว การนั่งขัดสมาธิสามร้อยปีโดยคงท่าเดิมไว้ตลอด ต่อให้เป็นในเขตถ่ายทอดความลับก็มีไม่กี่คนที่ทำได้

ฟุ่บ…

อยู่ๆ เสาสารกายบนศีรษะซูหนิงเฟยก็สั่นไหว

‘รุนแรงขนาดนี้เชียวหรือ น่าสนใจ’ นางประหลาดใจเล็กน้อย ‘แบบนี้น่าจะดึงดูดความสนใจของพวกรุ่นหลังเหล่านั้นได้แล้วกระมัง ไม่แน่อาจมีรุ่นหลังออกจากการกักตนมาเพื่อชี้แนะเขาก็ได้’

นางเห็นการแสดงแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

‘วิถีพลังไม่เลว น่าเสียดายยังไม่เพียงพอ’ ซูหนิงเฟยมองดูเสาสารกายที่แปรปรวนกลับมาตรงดิ่งเหมือนเดิม จากนั้นก็ค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้ง นางอยู่ในขอบเขตใด เด็กน้อยนั่นอยู่ในขอบเขตใด มีความแตกต่างระหว่างกันมากมายมหาศาล ไม่อาจเปรียบเทียบกันได้โดยสิ้นเชิง

‘ทำถึงขั้นนี้ได้ เจ้าควรจะภูมิใจได้แล้ว’ ซูเฟยหนิงยิ้มอย่างชื่นชม

ฟู่ว

อยู่ๆ ก็มีระลอกคลื่นกลุ่มหนึ่งส่งมาแต่ไกล เสาสารกายเริ่มสั่นไหวอีกรอบ

‘ยังมาอีกหรือ’ ซูหนิงเฟยส่ายหน้าน้อยๆ ‘เป็นเด็กที่ดื้อด้านจริงๆ นึกถึงตอนที่ข้าถูกอาจารย์แย่งชิงสารกายในอดีต แต่ว่าไม่ได้…’

พรึ่บ!

เสาสารกายพลันบิดงอแล้วหักสะบั้นในพริบตา เหมือนกับมีมือใหญ่ล่องหนฉีกกระชากออกไป

ตั้งแต่เสาสารกายบิดงอแล้วลอยออกไป ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งอึดใจ แล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ตูม

หินบนพื้นแตกเป็นร่องแยกหลายสาย

ซูหนิงเฟยค่อยๆ ลุกขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

‘ดูเหมือนข้าจะไม่ได้ออกไปด้านนอกนานมาก จนหลายๆ คนลืมความเจ็บปวดในวันวานไปแล้ว’ นางเดินไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง ท่อนล่างที่ยื่นออกมาจากในกระโปรงสีดำไม่ใช่ขา หากเป็นรากไม้สีดำอมเทาน่ากลัวนับไม่ถ้วน

……………………………………….