บทที่ 331 นิทรานิรันดร์
ลู่เซิ่งมองสารกายที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันตรงหน้าด้วยความตกใจ สารกายในสภาพเมฆหมอกผืนใหญ่ลอยวนเวียนรอบเขาอย่างต่อเนื่อง
‘เกิดอะไรขึ้นกัน เมื่อครู่ยังไม่เยอะขนาดนี้เลย…’
“ออกมา”
มีเสียงตวาดดังมาจากใต้ดินอย่างฉับพลัน
ฟิ้ว!
พื้นดินริมทะเลสาบแยกออกเป็นช่อง แสงสีเทาพุ่งขึ้นมาจากด้านใน จากนั้นก็ตกลงบนหาดทรายด้านข้างอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น แล้วกลายเป็นสตรีสวมเสื้อคลุมสีดำที่ร่างห่อหุ้มด้วยจุดแสงสีเงิน
นางมีผิวขาวซีด ริมฝีปากเป็นสีม่วง เกล้าผมสีดำไว้สูง ท่อนล่างที่โผล่มาใต้เสื้อคลุมสีดำไม่ใช่ขา หากเป็นรากไม้นับไม่ถ้วน
“มีปัญญาให้เด็กน้อยมารบกวนการดูดซับสารกายของข้า แต่ไม่กล้าออกมาอย่างนั้นหรือ” ใบหน้าของนางฉายแววอับอายและเดือดดาล
เมื่อเสาสารกายกลายเป็นสภาพดูดซับ หากว่าถูกคนชิงดูดซับไป เช่นนั้นก็เทียบกับการถูกคนขโมยจูบ ทั้งยังถูกสอดลิ้นเข้าไปเลียสองสามที ความรู้สึกนั้นอ่อนไหวถึงขีดสุด
ซูหนิงเฟยอยู่มาเป็นหลายพันปี นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าหยามนางแบบนี้!
“ไสหัวออกมา!” นางสอดส่ายสายตามองรอบๆ แล้วโบกแขนเสื้ออย่างฉับพลัน
พริบตานั้นเมฆดำก้อนหนึ่งกดทับลงมาจากชั้นเมฆบนท้องฟ้า ก่อนจะกระแทกใส่พื้นหญ้าอย่างรุนแรง
เปรี้ยง!
สนามหญ้าระเบิดออก ดินโคลนเน่ากลายเป็นน้ำสีดำไปพร้อมกับหญ้า ทั้งยังส่งกลิ่นหอมจางๆ มีแสงสีดำจุดหนึ่งในน้ำสีดำลอยเข้าไปกลางหลังสตรี ก่อนจะหายไป
นางโบกแขนเสื้อติดต่อกันด้วยหน้างามที่เย็นชา
ตูมๆๆๆ!
ป่าไม้และทะเลสาบที่อยู่ใกล้ๆ โดนลูกหลงไปด้วย ทุกหนแห่งระเบิดและถูกกัดกร่อนกลายเป็นน้ำสีดำ แสงสีดำนับไม่ถ้วนปลิวว่อนก่อนจะลอยหายเข้าไปในกลางหลังของนาง
หลังจากระบายความโกรธไปสักพักหนึ่ง นางจึงค่อยสังเกตเห็นลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกล
“เด็กน้อย เมื่อครู่เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเพิ่มพลังเสาปราณสารกายให้แก่เจ้า” ซูหนิงเฟยเดินเข้าไปช้าๆ แล้วถามเบาๆ
ลู่เซิ่งเก็บเสาปราณสารกายไปตั้งแต่นางโผล่มาแล้ว
หลังได้ยินเขาก็ส่ายหน้าอย่างงุนงง
“ไม่มีใครเพิ่มพลังให้นะขอรับ แถวๆ นี้มีผู้เยาว์เพียงคนเดียว ผู้อาวุโสใช่มองผิดหรือไม่” เขารออยู่กับที่อย่างว่าง่ายพร้อมกับพิจารณาสตรีสวมเสื้อคลุมสีดำที่โผล่มาตรงหน้าอย่างละเอียด
รูปโฉมโนมพรรณของสตรีนางนี้งดงามเลิศล้ำเป็นอันดับหนึ่ง ผมสีดำสยายอยู่รอบๆ ตัว ทรวงอกตั้งตระหง่าน อวบอิ่มไม่เกินพอดี องค์เอวคอดกิ่วจนโอบได้อย่างง่ายดาย มีเพียงสองขาใต้เสื้อคลุมสีดำรัดรูปที่ไม่ใช่ขา หากเป็นรากไม้สีดำจำนวนมาก
ดีที่ลู่เซิ่งเคยเห็นสิ่งประหลาดในโลกนี้มาทุกรูปแบบแล้ว ความผิดปกติแค่นี้ไม่ทำให้เขาตกตะลึง รอจนซูหนิงเฟยถามเขา เขาก็รู้สึกตัวและตอบอย่างจริงจัง
“อย่างนั้นหรือ” ซูหนิงเฟยขมวดคิ้ว รากไม้จำนวนนับไม่ถ้วนด้านล่างค่อยๆ แยกออก สองขาขาวผ่องที่เรียวยาว กลมกลึง และสมส่วนค่อยๆ ยื่นออกมาระหว่างรากไม้ เท้าเปล่าเปลือยเหยียบลงบนพื้น
นางยืนเท้าเปลือยอยู่บนสนามหญ้าที่สกปรก ของเหลวสีดำที่สาดกระจายไปรอบๆ เหมือนกับถูกกั้นไว้ ไม่แปดเปื้อนร่างนางแม้แต่น้อย
ลู่เซิ่งหนังตากระตุกขณะกวาดมองสองขาของสตรีตรงหน้า ขาคู่นั้นให้ความรู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย เขามองปราดเดียวก็รีบเลื่อนสายตากลับทันที
เสื้อคลุมสีดำไม่ยาวมาก ชายด้านล่างคลุมถึงแค่กลางขาอ่อนพอดี ถ้าไม่ใช่ว่ารอบๆ มีรากไม้จำนวนมากปิดไว้ เสื้อคลุมสีดำจะกลายเป็นกระโปรงสั้นจุ๊ดจู๋สีดำโดยสมบูรณ์
“เด็กน้อย เจ้ามาจากโลกเดิมหรือ ถูกส่งมาหรือมีคนพาเข้ามา” ซูหนิงเฟยถามต่อ คล้ายกับไม่สนใจเลยว่าจะโดนเห็นจุดลับหรือไม่ เสื้อคลุมสีดำบนท่อนล่างของนางกลายเป็นกระโปรงสีดำ รากไม้จำนวนมากยืดอออกมาจากใต้กระโปรง ช่วยค้ำยันสองขาใต้ร่างไว้
สองขาของนางกลับไขว่ห้างอย่างสบายๆ เหมือนกับนั่งอยู่บนม้านั่งในขณะที่ลอยอยู่
“เรียนผู้อาวุโส ข้าน้อยมาจากโลกเดิมผ่านค่ายกลเคลื่อนย้าย” ลู่เซิ่งตอบอย่างนอบน้อม
เขาสัมผัสได้ว่ามีกระแสคลื่นที่น่ากลัวและยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งซ่อนอยู่ในร่างสตรีตรงหน้า
กระแสคลื่นนี้แข็งแกร่งถึงขั้นน่ากลัวยิ่งกว่ามือกระดูกยักษ์ของจ้าวแห่งมารที่เขาเคยเห็นมาเสียอีก ดังนั้นแค่ใช้ความคิดเล็กน้อย เขาก็เดาออกว่าสตรีตรงหน้านี้จะต้องเป็นผู้เข้มแข็งระดับสุดยอดที่เร้นกายในเขตถ่ายทอดความลับมานานแล้ว น่าจะเป็นผู้อาวุโสที่มีศักดิ์สูงสุดในสำนักพันอาทิตย์
เขากระสับกระส่ายอยู่บ้างจริงๆ ไม่กลัวอย่างอื่น หากกลัวว่าตัวเองจะความแตก แต่ดูท่าทางสตรีนางนี้จะไม่ค้นพบความลับของตน
ซูหนิงเฟยแค่นเสียง ไม่เชื่อถืออยู่บ้าง นางหลับตาลง
ฟู่ว!
ลมเย็นเยียบขนาดมหึมาสายหนึ่งพลันพัดกระจายออกไปรอบๆ โดยมีนางเป็นศูนย์กลาง
ท้องฟ้าปรากฏเมฆดำผืนใหญ่ เมฆหมอกสารกายสีขาวที่อยู่รอบๆ กลายเป็นสีเทา แล้วกลายเป็นสีดำด้วยความเร็วสูงเหมือนถูกหมึกย้อม
ท้องฟ้ามืดสลัวลงทันตา
ลู่เซิ่งรู้สึกได้ว่ามีความเย็นเยียบเสียดกระดูกแผ่กระจายจากฝ่าเท้าขึ้นมาบนร่าง ท่อนล่างของเขาถูกแช่แข็งโดยสมบูรณ์ในไม่กี่อึดใจ
ร่างกายของเขาโคจรปราณภายในเพื่อขจัดความเย็นโดยสัญชาตญาณ แต่กลับถูกสะกดเอาไว้จนต้องปล่อยให้ความเย็นนี้ขยายตัว
“ซูหนิงเฟย!” เสียงอันยิ่งใหญ่ตะโกนมาจากท้องฟ้าไกลออกไป “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?!”
“เจ้านับเป็นตัวอะไร บังอาจเรียกชื่อข้าตรงๆ ด้วยหรือ” ซูหนิงเฟยกล่าวอย่างเย็นชา
“เจ้า!…เจ้าคิดอะไรกันแน่ รีบเก็บสัมผัสเสีย ผู้เยาว์ที่มาในครั้งนี้จะถูกเจ้าแช่แข็งตายแล้ว!” เสียงนั้นดังมาแต่ไกล ขณะเดียวกันยังแผ่ซ่านแสงสีเหลืองอ่อนที่มีคลื่นความร้อนอันอบอุ่นกระจายอยู่ออกมาด้วย ทว่าเทียบกับความเย็นนี้แล้ว เหมือนกับใช้น้ำถ้วยหนึ่งดับรถติดไฟ ได้แต่ฝืนรักษาพื้นที่เล็กๆ ไว้ หนำซ้ำพื้นที่ที่รักษาไว้ยังหดเล็กลงด้วยความเร็วสูง
ซูหนิงเฟยค่อยสังเกตเห็นว่าลู่เซิ่งถูกแช่แข็งเป็นเสาน้ำแข็งไปครึ่งท่อนแล้ว เหลือแค่ท่อนบนที่ยังปรากฏด้านนอก ทว่าผิวมีเกล็ดน้ำแข็งสีขาวปลกคลุมไปแล้ว
นางจึงแค่นเสียง แสงจันทร์สีทองเข้มบนศีรษะกะพริบแวบหนึ่งแล้วหายไป
ความเย็นหยุดลงอย่างฉับพลัน ทุกอย่างกลับไปเป็นสภาพอากาศอบอุ่นอีกครั้ง
แต่ว่าสิ่งที่ถูกแช่แข็งไปแล้วไม่อาจกลับเป็นปกติได้ในเวลาอันสั้น ลู่เซิ่งเป็นหนึ่งในนี้ เขาถูกแช่แข็งเป็นน้ำแข็งเสียบไม้ ยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ยังคงรักษาอิริยาบถในตอนแรกโดยไม่ขยับเขยื้อน
ซูหนิงเฟยเดินเข้าไปลูบศีรษะลู่เซิ่งเบาๆ
‘ยังดี ยังมีลมหายใจอยู่’ นางไม่แสดงสีหน้า แต่ดวงตาปรากฏความเสียใจแวบหนึ่ง
‘ขนาดเปิดสัมผัสวิญญาณทั้งหมดก็ไม่เจอเฒ่าชราที่ซ่อนตัว หรือจะเป็นแค่เหตุบังเอิญจริงๆ สารกายเกิดการเชื่อมผสานกันโดยบังเอิญ เลยชิงเสาปราณสารกายที่ข้าผนึกรวมไว้ไปได้อย่างนั้นหรือ’ นางขมวดคิ้วอย่างงุนงงอยู่บ้าง
นางอยู่ในระดับใด คนที่มีความสามารถด้านสัมผัสวิญญาณพอๆ กับนางในต้าอินมีจำนวนงอนิ้วนับได้ มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถหลบซ่อนตัวภายใต้การค้นหาชนิดเปลี่ยนฟ้าแยกดินจากสัมผัสวิญญาณของนางได้ แต่ด้วยสถานะของคนเหล่านั้น ไม่มีทางมาเล่นมุกตลกเลวทรามชนิดนี้กับนางเพราะเบื่อหน่ายเป็นแน่
‘อาจจะบังเอิญจริงๆ ก็ได้’ เฟยซูหนิงคับข้องใจ รากไม้จำนวนมากตรงท่อนล่างที่บิดเบี้ยวพันเกี่ยวกลายเป็นเสาแล้วค้ำยันร่างกายขึ้นมา นางหงายไปด้านหลังเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่รากไม้เชื่อมต่อกันขึ้น
‘ช่างเถอะ อาจจะบังเอิญจริงๆ ก็ได้ คนผู้นี้โดนผลกระทบเพราะเรา คุณสมบัติไม่เลว พาไปให้คนอื่นชี้แนะสักหน่อย นับว่าชดเชยร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บของเขาในครั้งนี้’
นางสับสนเล็กน้อย สุดท้ายก็ละทิ้งการไล่ตามตรวจสอบ หันไปมองลู่เซิ่งที่อยู่ตรงหน้า
นางยื่นนิ้วชี้ออกไปจิ้มหว่างคิ้วลู่เซิ่งเบาๆ
ซู่!
สารกายสีม่วงสายหนึ่งมุดจากปลายนิ้วนางเข้าไปในหว่างคิ้วของลู่เซิ่งด้วยความเร็วสูง
‘สารกายปราณม่วงนี้น่าจะรักษาบาดแผลจากการแช่แข็งให้เขาได้แล้ว แถมยังยกระดับพลังฝึกปรือวิชาจริงแท้ได้ในระดับหนึ่งด้วย สารกายนี้สมควรพอให้เขาดูดซับไปสองสามเดือนกลับไปรักษาและเรียนรู้ดีๆ ถ้าหากดูดซับและย่อยสลายสารกายจันทราม่วงสายนี้ได้ จะมีส่วนช่วยอย่างมหาศาลต่ออนาคตของเขา…’
สีหน้าของซูหนิงเฟยเคร่งเครียดอีกครั้ง
สารกายจันทราม่วงที่นางเพิ่งส่งเข้าไปเมื่อครู่วิ่งอยู่ในเส้นเลือดอีกฝ่ายสองรอบแล้วอยู่ๆ ก็สูญสลายไป
นางนึกฉงน สารกายจันทราม่วงที่แทบกลายเป็นของเหลวหายไปอย่างลึกลับโดยไม่มีสาเหตุอย่างนั้นหรือ
‘นี่…’
“ผู้อาวุโส…ขอขอบคุณที่ช่วยเหลือ” ตอนนี้ในที่สุดลู่เซิ่งก็ ‘ฟื้น’ ขึ้นมาแล้ว ทั้งยังก้มหัวกล่าวขอบคุณนางด้วยใบหน้าซาบซึ้ง
ซูหนิงเฟยชักนิ้วชี้กลับอย่างงงงวยอยู่บ้าง นางถอยหลังไปก้าวหนึ่งพร้อมกับพิจารณาลู่เซิ่งอย่างละเอียด ค่อยเห็นสีม่วงอ่อนๆ บนผิวหนังของเขา
‘โดน…โดนเขาดูดซับไปแล้วหรือนี่!?’ ซูหนิงเฟยรู้สึกว่าโลกทัศน์ตลอดหลายปีของตนกำลังถูกทำลายย่อยยับ
ศิษย์สำนักระดับพันธนาการธรรมดาๆ คนหนึ่ง…สามารถดูดซับสารกายจันทราม่วงที่นางปล่อยออกไปด้วยตัวเองได้หรือ
นั่นมันสารกายประหลาดที่แม้แต่ผู้ถืออาวุธทั่วไปยังไม่กล้าสัมผัสตามใจเชียวนะ
“เจ้า…ชื่ออะไร” ซูหนิงเฟยสูดหายใจลึกพลางถามโดยไม่แสดงสีหน้า
“ผู้เยาว์ลู่เซิ่ง” ตอนนี้ร่างลู่เซิ่งหลุดออกมาจากเสาน้ำแข็งแล้ว เขารีบร้อนคุกเข่าข้างหนึ่งคำนับนางอย่างเคารพ
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนแล้วว่า จากการโจมตีด้วยความเย็นเมื่อครู่นี้ สตรีตรงหน้าเป็นผู้เข้มแข็งระดับสุดยอดตัวจริงเสียงจริงที่อยู่เหนือกว่าจ้าวแห่งมาร!
แม้แต่จ้าวแห่งมารปราชญ์อริยะ ที่อยู่ด้านหลังประตูในตอนนั้นยังสู้กลิ่นอายอันน่ากลัวบนตัวนางไม่ได้
แม้เขาจะแยกแยะไม่ออกว่าสตรีตรงหน้าแข็งแกร่งกว่าจ้าวแห่งมารปราชญ์อริยะขนาดไหน แต่เขาสังหรณ์ได้อย่างปราดเปรียวว่าสตรีนางนี้อันตรายถึงขีดสุด
“ลู่เซิ่ง…ถนนสู่ชัยชนะหรือ” ซูหนิงเฟยพยักหน้า สายเลือดคุณสมบัติที่ดูดซับสารกายจันทราม่วงของนางได้…
นี่หรือว่าจะเป็นโชคชะตาในเรื่องเล่าขาน
นางเคยใช้เวลาสองร้อยปีเที่ยวค้นหาคนรุ่นหลังที่สามารถถ่ายทอดวิชาจริงแท้ของตัวเองได้ น่าเสียดาย…ที่ไม่ประสบผล
สารกายจันทราม่วงมีความรุนแรงมากเกินไป จนทำให้ ถ้าเกิดว่านางไม่ควบคุมด้วยตัวเอง ก็สามารถกลืนกลาย กลืนกิน และย่อยสลายคนเป็นๆ ให้กลายเป็นสารกายจันทราม่วงจำนวนมากกว่าเดิมได้โดยใช้เวลาแค่ไม่กี่อึดใจ
สิ่งที่ต้านทานความรุนแรงนี้ได้เพียงหนึ่งเดียวมีแต่ร่างจันทราทมิฬในตำนาน หรือก็คือคุณสมบัติของร่างกายอย่างตัวนาง
“เจ้า…อึดอัดตรงไหนหรือไม่” ซูหนิงเฟยถามต่อ
“ไม่มีขอรับ ผู้เยาว์สบายดี ร่างกายเป็นปกติดี” ลู่เซิ่งงุนงงอยู่บ้าง แต่ยังคงตอบตามจริง
“อย่างนั้นหรือ” ซูหนิงเฟยยื่นมือออกไปแตะแขนของลู่เซิ่งเบาๆ อีกครั้ง
ส่งสารกายจันทราม่วงให้มุดเข้าไปในร่างลู่เซิ่งอีกสาย
ลู่เซิ่งไม่รู้สึกแม้แต่น้อยเพราะว่าสารกายสายนั้นอ่อนแอเกินไป เพิ่งจะเข้าไปในร่างของเขาก็ถูกปฏิกิริยาทางชีวภาพที่น่ากลัวกัดกร่อนดูดซับ ก่อนจะโดนกลืนกลายให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตนเองอย่างรวดเร็ว
หากเป็นด้านปฏิกิริยาทางร่างกายและปฏิกิริยาของเซลล์ทั่วร่าง ต่อให้เป็นจ้าวแห่งมารก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
หลังจากเขาฝึกฝนวิชากำลังภายในและวิถีภายนอกจนถึงขอบเขตพลังยุทธ์พันปีที่ไม่เคยมีมาก่อน ระดับความแข็งแกร่งและปฏิกิริยาทางร่างกายก็ได้รับการยกระดับไปสู่ขอบเขตอันน่ากลัว
กล่าวได้อย่างไม่เกินจริงว่าเลือดหยดหนึ่งของลู่เซิ่งสามารถกลืนกินและกัดกร่อนเยื่อดำในระดับพันธนาการทั่วไปได้อย่างบ้าคลั่ง
ปรารเหลวของวิชาภายในและวิถีภายนอกอันเป็นวิชาแข็งกร้าว ไม่ใช่แค่เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่กายเนื้อของเขาเท่านั้น แม้พวกในระดับพันธนาการที่เหลือจะมีการฟื้นฟูด้วยความเร็วสุดยอด รวมถึงความสามารถต้านพิษกับการป้องกันอันเด็ดขาด แต่ว่าปฏิกิริยาโดยคุณสมบัติที่แท้จริงของร่างกายยังไม่ได้ไปถึงขั้นนี้
พวกเขาเพียงแค่ใช้พลังของเยื่อดำ แต่ลู่เซิ่งไม่เหมือนกัน
……………………………………….