บทที่ 332 นิทรานิรันดร์ (2)
“เจ้า…ไม่เลว” ซูหนิงเฟยไม่ได้พูดมาก เพียงแตะมือขวาเบาๆ สารกายสีม่วงจำนวนมากก็แผ่กระจายออกมาจากฝ่ามือของนางแล้วรวมตัวเป็นหินไข่ห่านสีม่วงเล็กกระจิ๋วก้อนหนึ่ง
“ถือมันเอาไว้ วันหน้าเจ้าสามารถเข้ามาในเขตถ่ายทอดความลับได้ตลอดเวลา ถ้าหากมีข้อสงสัยตรงไหนก็มาหาข้าได้” ในที่สุดซูหนิงเฟยก็ให้ของแทนตัวออกไป ไม่ใช่ของผู้เยาว์คนไหน หากเป็นของนางเอง
ขณะที่เร้นกายรับการหล่อเลี้ยงจากสารกายนับไม่ถ้วนของต้าอินในเขตถ่ายทอดความลับ ก็ย่อมต้องทำหน้าที่ให้เพียงพอด้วย
การให้คำชี้แนะที่จำเป็นต่อศิษย์สำนักที่ได้รับการคัดเลือกเข้ามาเป็นสิ่งที่ผู้เร้นกายซึ่งซุ่มฝึกฝนเหล่านี้ต้องทำ
ในหนึ่งร้อยปีอย่างน้อยต้องคัดเลือกใครสักคนมาให้คำชี้แนะ
ซูหนิงเฟยไม่ได้เลือกใครมาร้อยปีพอดิบพอดี และบังเอิญที่ลู่เซิ่งมาโผล่ตรงหน้านาง แม้นางจะไม่ต้องทำตามกฎข้อนี้ก็ได้ แต่ลู่เซิ่งได้สะกิดความสนใจของนางเข้าแล้วจริงๆ
ลู่เซิ่งย่อมรู้กฎข้อนี้ จิตใจพลันยินดี รีบเข้าไปรับหินสีม่วงมา
“ขอขอบคุณอาจารย์ที่ชี้แนะ!”
“ข้าไม่ใช่อาจารย์ของเจ้า เจ้าเรียกข้าว่าเฮยหนิงก็ได้” ซูหนิงเฟยกล่าวอย่างเรียบเฉย
“ขอรับ อาจารย์เฮยหนิง” ลู่เซิ่งพูดอย่างนอบน้อม
“ข้าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาบทหนึ่งด้านวิชาจริงแท้ให้ เจ้าไม่ต้องฝึกวิชาจริงแท้พื้นฐานในตัวเจ้าแล้ว เปลี่ยนปราณจริงแท้ทั้งหมดเป็นวิชาที่ข้าจะส่งให้เจ้าเสีย” ซูหนิงเฟยกล่าวอย่างรวบรัดก่อนจะถ่ายทอดวิชาพื้นฐานเฉพาะของตนเองให้เหมือนกับคนก่อนๆ ที่เคยรับเป็นศิษย์เมื่อก่อนหน้า
เพียงแต่ว่าสิ่งที่แตกต่างจากคนก่อนๆ ก็คือ นางลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็เพิ่มขั้นตอนเล็กๆ ขั้นตอนหนึ่งให้ในขณะที่บรรยายวิชาด้วยปาก
ขั้นตอนนี้เป็นสิ่งที่นางไม่เคยเพิ่มให้ใครที่รับเป็นศิษย์มาก่อน
ตามลำดับทั่วไปแล้ว การรับคนและถ่ายทอดวิชาของผู้เร้นกายเช่นพวกนาง ล้วนเป็นการทำภารกิจให้จบอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ทว่าครั้งนี้ไม่รู้เพราะอะไร ซูหนิงเฟยกลับเพิ่มขั้นตอนเล็กๆ เข้าไปด้วยเหมือนมีภูตผีดลบัลดาล ทั้งยังย้ำให้ลู่เซิ่งจดจำให้ขึ้นใจ
เวลาค่อยๆ เคลื่อนคล้อย พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามชั่วยามแล้ว
ได้เวลาที่ลู่เซิ่งควรไปแล้ว การเข้ามายังเขตถ่ายทอดความลับของศิษย์เช่นพวกเขาล้วนมีเวลาจำกัด ด้วยระดับความแข็งแกร่งด้านพลังฝึกปรือของพวกเขาในวันนี้ หากรั้งอยู่นี้นานไปจะไม่เป็นผลดี
“ขอบคุณอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชา ศิษย์ขอตัวก่อน” ลู่เซิ่งโค้งตัวให้ซูหนิงเฟยอย่างจริงจัง
ไม่ว่าจะเป็นพลังฝึกปรือหรือว่าท่าที อีกฝ่ายล้วนควรค่าได้รับการเคารพจากเขา
เพียงแต่เขาค้นพบเบื้องหลังส่วนหนึ่งของซูหนิงเฟยผ่านการบรรยายวิชาจริงแท้อันสุดยอดเมื่อก่อนหน้านี้
นางรู้จักวิชาจริงแท้นับไม่ถ้วนของต้าอินในปัจจุบันประดุจฝ่ามือและสมบัติในบ้าน มีความรอบรู้เหนือกว่าที่ลู่เซิ่งจะจินตนาการได้ ความรู้และการศึกษาเกี่ยวกับกายเนื้อและจิตใจไปถึงระดับจุลทรรศน์ที่เล็กละเอียดถึงขีดสุด
กล่าวได้ว่า วิชาความรู้ของอาจารย์เฮยหนิงผู้นี้ไปถึงระดับที่ทั่วทั้งต้าอินเรียกได้ว่าเป็นจุดสูงสุด
“ไปเถอะ อย่าลืมฝึกฝนวิชาจริงแท้ทุกวัน อย่างน้อยต้องมาเขตลับเดือนละครั้ง ข้าจะตรวจสอบพลังฝึกปรือและความก้าวหน้าของเจ้า” ซูหนิงเฟยกำชับ
“ศิษย์รับทราบ” ลู่เซิ่งก้มหน้าก่อนถอยหลังหลายก้าว ร่างกายค่อยๆ เริ่มโปร่งแสงและจางลง ไม่กี่อึดใจให้หลังก็หายไปจากริมทะเลสาบโดยสมบูรณ์
ซูหนิงเฟยยืนอยู่กับที่พลางหยีตามองจุดที่ลู่เซิ่งหายไป ไม่ขยับอยู่เนิ่นนาน
ตอนแรกเพียงคิดจะชี้แนะอย่างขอไปที่เพื่อทำภารกิจให้เสร็จๆ ไป ทว่าครั้งนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าคนหนุ่มที่ชื่อลู่เซิ่งผู้นี้ นางกลับเพิ่มสิ่งหนึ่งเข้าไปในการสอนตามมาตรฐาน
“ถ้าเป็นร่างจันทราทมิฬเหมือนข้าจริงๆ…” ซูหนิงเฟยพึมพำ นานมากๆ แล้วที่ไม่เกิดความหวั่นไหวในจิตใจ
‘รอร่างหลักมาค่อยพิจารณาอย่างละเอียดก็แล้วกัน ถ้าหากเป็นจริงๆ…’ นางหลับตาแล้วหมุนตัวเดินไปยังสถานที่ที่จากมา
ฟิ้ว! แสงสีม่วงสายหนึ่งพุ่งออกไป
ลมอ่อนโชยพัดผ่าน ใบไม้กระจัดกระจาย พริบตาเดียวริมทะเลสาบก็ว่างเปล่า ไม่มีเงาคนสักสายเดียว
…
เสาแสงสีขาวพลันพุ่งจากท้องฟ้าลงมาบนค่ายกลทองแดงหมื่นอาชากลางโถงใหญ่อย่างไร้สุ้มเสียง
เงาร่างของลู่เซิ่งค่อยๆ ปรากฏในเสาแสง ขณะเดียวกันยังมียันต์อาญาสายหนึ่งตกลงมาข้างตัวเขาด้วย
แกร๊ก!
ยันต์อาญาสูงเท่าครึ่งคน มันเสียบเข้าไปในค่ายกลทองแดงจนเกิดเสียงเชือดเฉือนเสียดหูเหมือนกับอาวุธแหลมคม
จางซื่อหลงกับองครักษ์ที่เฝ้าอยู่รอบๆ ค่ายกลทองแดงคอยอยู่นานแล้ว พอเห็นเสาแสงพุ่งลงมาก็รีบเข้าไปหา
สายตาทั้งหมดจับอยู่บนยันต์อาญาสีม่วงข้างๆ ตัวลู่เซิ่ง
“นี่คือสีม่วงหรือ ในเขตถ่ายทอดความลับมีอยู่ยี่สิบสามท่านที่มียันต์อาญาสีม่วง ส่วนบริเวณทะเลสาบที่ลู่เซิ่งไปมีสี่ท่านที่มียันต์อาญาสีม่วง…เป็นคนไหนกันแน่” จางซื่อหลงพิจารณาลวดลายบนยันต์อาญาอย่างละเอียดด้วยความคาดหวังอย่างแรงกล้า
“แปลกๆ นะ…ไม่ใช่ยันต์อาญาของจื่อหยางจินหยิน” คนที่ชอบรับคนชี้แนะศิษย์มากที่สุดริมทะเลสาบก็คือจื่อหยางจินหยินในตำนาน
คนผู้นี้มีพลังฝึกปรือสูงล้ำ ขึ้นชื่อเรื่องนิสัยเมตตาอ่อนโยน มีความน่าจะเป็นที่จะได้รับการชี้แนะและถูกรับเป็นศิษย์สูงมาก ดังนั้นจางซื่อหลงจึงแนะนำให้ลู่เซิ่งไปแสวงโชคตรงนั้น
ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าผู้เร้นกายจะชี้แนะและรับผู้ทดสอบที่เข้าไปในเขตถ่ายทอดความลับทุกคน พวกเขามีกฎเกณฑ์มาตรฐานของตนเอง ถ้าหากคุณสมบัติและนิสัยย่ำแย่เกินไป แม้แต่เผยโฉมก็ยังคร้านจะเผยโฉม ยิ่งอย่าว่าแต่การชี้แนะ
แต่ว่าดีที่ลู่เซิ่งมีคุณสมบัติไม่เลว ได้รับการประเมินระดับหยกสีชาด ผู้เร้นกายทั่วไปยินดีจะชี้แนะอยู่แล้ว เพียงแต่สิ่งที่ทำให้จางซื่อหลงคาดหวังอยู่บ้างก็คือ เขาหวังว่าอาจารย์ที่ชี้แนะลู่เซิ่งจะมีระดับพลังฝึกปรือสูงเล็กน้อย ดีที่สุดขอให้อยู่ในระดับสามขั้นบนของขอบเขตปฐมปฐพีขึ้นไป เมื่อเป็นแบบนี้เขาจะมีตำแหน่งและวาจาสิทธิ์ในสำนักสูงกว่าเดิม ทำให้ผู้แนะนำอย่างเขาได้เปรียบไปด้วย
และในหลายๆ ครั้ง คนที่ได้รับเป็นศิษย์แทบจะเหมือนตัวแทนของเหล่าผู้เร้นกายแห่งสำนักพันอาทิตย์ที่อยู่ด้านนอกเขตถ่ายทอดความลับ จึงมีสถานะไม่ธรรมดา
เพียงแต่ยันต์อาญาสีม่วงเข้มที่ปรากฏมาใหม่นี้ทำให้จางซื่อหลงงุนงงอยู่บ้าง
เขาไม่เคยเห็นลวดลายของยันต์อาญานี้มาก่อน รูปแบบและสัญลักษณ์ที่ประณีตนั้นทำให้เขารู้สึกคุ้นๆ ตาเล็กน้อย แต่อย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แม้แต่องครักษ์หลายๆ คนที่เฝ้าค่ายกลทองแดงอยู่ด้านข้างก็ไม่รู้จักยันต์อาญาสีม่วงที่โผล่มาใหม่นี้เช่นกัน
แสงสีขาวบนตัวลู่เซิ่งสลายไป เขายื่นมือไปกดบนยันต์อาญาสีม่วงด้านข้าง
แกร๊ก!
ยันต์อาญากลายเป็นลำแสงสายหนึ่งหายเข้าไปในหว่างคิ้วของเขา จากนั้นก็กลายเป็นสัญลักษณ์สีม่วงรูปลูกศรชี้ลง
“ลู่เซิ่ง” จางซื่อหลงรีบเข้าไปหา “เจ้าไม่ได้เจอจื่อหยางจินหยินหรอกหรือ” เขาถามอย่างร้อนใจอยู่บ้าง
ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ไม่เจอขอรับ ผู้เร้นกายที่ข้าได้เจอเป็นอิสตรีนางหนึ่ง นางมีรากไม้มากมายบนตัว ผิวขาวยิ่ง ริมฝีปากเป็นสีม่วง…”
“ริมฝีปากสีม่วงหรือ” จางซื่อหลงขมวดคิ้วกล่าว “บนตัวมีรากไม้มากมายใช่หรือไม่” เขาเหมือนไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีผู้เร้นกายท่านนี้ด้วย
หรือจะเป็นยอดฝีมือสำนักที่เพิ่งเข้าไปในเขตลับ เขางุนงงอยู่บ้าง
“ประ…ประเดี่ยวก่อน!” ทันใดนั้นมีเสียงสั่นเครือดังเลือนรางมาจากด้านข้าง
ลู่เซิ่งหันไปมอง เป็นซ่งตูนั่นเอง
คนผู้นี้ออกมานานแล้ว พอเห็นลู่เซิ่งออกมาก็รีบเข้ามาใกล้ เพราะอยากเห็นว่าอีกฝ่ายได้กราบอาจารย์คนไหนหรือไม่ และได้ยินเสียงพูดคุยระหว่างคนทั้งสองเข้าพอดี
มีสีทองเข้มดวงหนึ่งอยู่เหนือศีรษะหรือไม่?!” ซ่งตูมีสีหน้าพิลึก นั่นไม่ใช่ระดับแตกตื่นประหลาดใจ หากไปถึงขั้นหวาดกลัวแล้ว
เขาเหมือนกำลังกลัวอยู่!
“ข้าไม่ได้สังเกต แต่ตอนอาจารย์ลงมือจะมีเมฆดำกดทับใส่พื้น” ลู่เซิ่งพูดอย่างลังเล
โครม!
เสียงเพิ่งขาดลง ซ่งตูก็ถอยหลังไปสิบกว่าหมี่เหมือนเห็นผี
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น จางซื่อหลงกับองครักษ์ที่เหลือก็รีบหนีออกห่างจากตัวลู่เซิ่งเหมือนเห็นผีเช่นกัน
ชั่วขณะนั้นโถงใหญ่เงียบงันเป็นเป่าสาก มีแต่เสียงกลิ้งของเตาสำริดที่ถูกชนล้มลงบนพื้นดังอยู่ไม่หยุด
“พวกท่าน…ผู้อาวุโส” ลู่เซิ่งมีสีหน้าสับสน ไม่ทราบว่าคนพวกนี้ทำอะไร
จางซื่อหลงยังคงปากสั่น ถูสองมือเข้าด้วยกันไม่หยุด โดยเฉพาะข้างที่ตบตัวลู่เซิ่งเมื่อครู่ เขาหน้าเขียวอยู่บ้าง ไม่ทราบว่านึกถึงเรื่องน่ากลัวเรื่องไหน ร่างกำลังสั่นระริกอยู่
“สีม่วง…เป็นท่านผู้นั้น! สวรรค์!”
“เร็ว! รีบไปแจ้งเจ้าสำนัก!”
องครักษ์คนหนึ่งพลันตะโกนพลางพุ่งออกจากโถงใหญ่
“ตีระฆังเตือนภัย! เร็วเข้าๆ! รีบเตรียมการป้องกัน! ทุกคนกักตัว! กักตัวให้หมด!”
“ทั้งหมดออกห่างจากรอบๆ โถงใหญ่สองลี้!”
องครักษ์หลายคนพุ่งออกจากโถงใหญ่อย่างคลุ้มคลั่ง พลางส่งเสียงร้องสุดชีวิตขณะส่งยันต์ข้อความออกไป
ยันต์ข้อความสีเหลืองที่พุ่งขึ้นฟ้าคือสัญลักษณ์ระดับสูงสุดที่บ่งบอกว่าสถานการณ์คับขันสุดขีด
หง่าง…!
หง่าง…!
หง่าง…!
ไม่นานนัก ลู่เซิ่งยังไม่ทันมีปฏิกิริยา ก็ได้ยินเสียงระฆังอันกังวานที่ทุ้มหนักและทอดยาวดังมาจากด้านนอก
ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าคนกลุ่มใหญ่หลายกลุ่มห้อมล้อมที่นี่เอาไว้
ซู่…
ฝาครอบแสงสีทองปิดประตูทางเข้าออก สัญลักษณ์สีทองจำนวนมากหมุนเวียนอยู่ทั่วฝาครอบแสง
ฟ้าว!
เงาคนสวมเกราะอ่อนสีเงินสองสายพุ่งลงมาจากท้องฟ้าแล้วก้าวเท้ายาวๆ ทะลุฝาครอบแสงสีทองเข้ามา สายตากวาดผ่านด้านในโถงใหญ่รอบหนึ่ง ก่อนจะหยุดอยู่บนร่างลู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว หรือควรกล่าวว่าหยุดอยู่บนสัญลักษณ์สีม่วงตรงหน้าผากของเขา
“เจ้าสำนักว่าน ฝากด้วย” คนสวมเกราะอ่อนคนหนึ่งในนี้กล่าวเบาๆ กับอีกคน
“เจ้าสำนักเฉินเกรงใจแล้ว ภัยพิบัติมาถึง พวกเราควรร่วมแรงร่วมใจกันอยู่แล้ว” คนสวมเกราะอ่อนอีกคนกล่าวอย่างจริงจัง เห็นเครายาวสีขาวใต้คางของเขาได้ผ่านหมวกเกราะ แสดงให้เห็นว่าเป็นชายชราคนหนึ่ง
ลู่เซิ่งสับสนอยู่บ้าง เขาแค่เข้าไปในเขตถ่ายทอดความลับเท่านั้น จำเป็นต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ
ซู่…
งูที่มีเขาคู่ซึ่งใหญ่เท่าถังน้ำค่อยๆ เลื้อยมาจากนอกประตู ลำตัวสีขาวสวมเกราะอ่อนสีเงินสลับดำ สำนักพันอาทิตย์ส่งมังกรเขาคู่อันเป็นสัตว์ยักษ์สำหรับทำสงครามมาปิดผนึกที่นี้ไว้แล้ว
“จบกัน…จบกัน…”
จางซื่อหลงมีสีหน้าขื่นขม ตรวจสอบอยู่นานกลับไม่พบอะไรเลย ได้แต่ยิ้มอย่างฝืดเฝื่อนให้ลู่เซิ่ง
“ผู้อาวุโสจาง ต่อจากนี้ต้องพึ่งพาท่านติดต่อกับศิษย์น้องลู่บ่อยๆ แล้ว” คนสวมเกราะอ่อนอีกคนหนึ่งประสานมือกล่าวกับจางซื่อหลง
“เจ้าสำนัก…ข้า…” จางซื่อหลงอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายก็หนีไม่พ้น
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!?” ถ้าไม่ใช่เพราะได้ยินบทสนทนาของคนพวกนี้ ลู่เซิ่งคงนึกว่าตนความแตกไปแล้ว
“เรื่องนี้…พูดแล้วยาว” จางซื่อหลงกล่าวอย่างจนปัญญา
“ข้าเล่าเองก็แล้วกัน” เจ้าสำนักเฉินเดินไปด้านหน้าหนึ่งก้าวพร้อมกล่าวเสียงดัง เจ้าสำนักว่านที่อยู่ข้างเขาเริ่มใช้สองมือดึงโซ่แสงสีเขียวหลายเส้นมาผนึกรอบๆ เอาไว้
“ถ้าหากข้าฟังไม่ผิด อาจารย์ที่ศิษย์น้องลู่กราบน่าจะเป็นท่านผู้นั้นในตำนานที่เข้าร่วมสำนักพันอาทิตย์ของพวกเราโดยบังเอิญ”
“ท่านผู้นั้นอันใด” ลู่เซิ่งหมดคำพูด อย่าเอาแต่ลีลาได้หรือไม่
……………………………………….