บทที่ 333 นิทรานิรันดร์ (3)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 333 นิทรานิรันดร์ (3)

เจ้าสำนักเฉินเว้นจังหวะเล็กน้อย รอหลังจากโซ่ที่ชายชราซึ่งอยู่ด้านข้างปล่อยออกมาปิดผนึกรอบๆ ไว้แล้ว จึงค่อยถอนใจเฮือกหนึ่ง

“พวกเราเรียกนางว่าอริยะเจ้านิทรานิรันดร์ แต่หลายๆ คนในโลกภายนอกเรียกนางว่าจ้าวแห่งมารนิทรานิรันดร์”

“จ้าวแห่งมารนิทรานิรันดร์…” ลู่เซิ่งหยีตาเล็กน้อย เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน จ้าวแห่งมารไม่ใช่คำเรียกทัพมารในยามปกติหรอกหรือ

จางซื่อหลงที่อยู่ข้างเขามองออก จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มขื่นขมว่า “ยังมีอีกชื่อ เจ้าอาจเคยได้ยินมาก่อน”

“อะไรหรือขอรับ”

“เชียนตู้”

ลู่เซิ่งงุนงง จากนั้นก็นึกถึงตำราประวัติศาสตร์ต้าอินที่เขาเคยอ่านทันที มันบันทึกชื่อนี้ไว้หลายครั้ง

“เชียนตู้…ท่านคงไม่ได้หมายถึงคนในประวัติศาสตร์ที่ทำให้เมืองทั้งสามสิบเจ็ดเมือง…” เขาไม่ได้พูดประโยคต่อไปจนจบ เป็นเพราะจางซื่อหลงพยักหน้าอย่างอ่อนใจเพื่อยืนยันการคาดเดาของเขาแล้ว

ในประวัติศาสตร์ต้าอินเคยปรากฏโรคระบาดที่น่ากลัวถึงขีดสุดชนิดหนึ่ง

ในเวลาหลายปีนั้นมีผู้ป่วยสิบล้านคนเสียชีวิต นี่ทำให้ต้าอินที่มีประชากรแค่สามพันล้านกว่าคนได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงโดยไม่ต้องสงสัย

เดิมทีประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า เชียนตู้เป็นโรคระบาดชนิดพิเศษที่แพร่กระจายผ่านอากาศ แต่ดูจากตอนนี้…

“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” ลู่เซิ่งเริ่มเครียดขึ้นแล้ว เขาแข็งแกร่งมากก็จริง แต่ว่าไม่ได้ไปถึงระดับที่สังหารคนหลายสิบล้านคนได้ในครั้งเดียว ประมาณการดูถ้าเขาเข่นฆ่าอย่างเต็มที่ อย่างมากสุดหลังฆ่าได้ไม่กี่ล้านคน ก็คงถูกผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดนับไม่ถ้วนรุมล้อม และเป็นเขาที่จะตาย ถึงอย่างไรประชากรของต้าอินก็เป็นปัจจัยสำคัญ

จางซื่อหลงลากเก้าอี้มานั่งลง อย่างไรก็ถูกกักตัวแล้ว เขาจึงถือว่าเลยตามเลย “ข้าเองก็ไม่รู้ข้อเท็จจริงเหมือนกัน เพียงทราบว่าท่านผู้นั้นปรากฏตัวและเข้ามาในต้าอินของเราอย่างกะทันหัน ไม่มีใครรู้ว่านางมาจากไหน เพียงรู้ว่านางติดต่อกับเมืองเล็กๆ อย่างเมืองธุลีม่วงเป็นครั้งแรก เมืองเล็กๆ เมืองนั้นพินาศในคืนเดียว ไม่ว่าคน สัตว์ แม้แต่แมลงมีพิษหรือหนู ล้วนตายหมดสิ้น ภายหลังพอท่านนี้ไปที่ไหน ที่นั่นก็เกิดโรคระบาดขนาดใหญ่แพร่ระบาด นางเรียกตัวเองว่าเชียนตู้ มีความสามารถด้านการคืนชีพที่น่ากลัวสุดแสน มีอริยะเจ้าจากขุมกำลังมากมายในอดีต ออกปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง แต่ก็เอาชนะนางไม่ได้”

ผู้อาวุโสเฉินถอนใจ กล่าวเสริมว่า “เรื่องจากนี้ให้ข้าเล่าเอง ซื่อหลงเจ้าไม่ได้รู้ดีนัก ตอนนั้นข้าเป็นแค่ศิษย์คนที่ยี่สิบสี่ของอาจารย์ เสวียนชิงจื่ออาจารย์ของข้าเป็นหนึ่งในยอดฝีมือที่เข้าร่วมการปฏิบัติการตรวจสอบครั้งใหญ่ในตอนนั้น”

เขาผายมือให้ลู่เซิ่งนั่งลง ส่วนตัวเองค่อยๆ ลากเก้าอี้มานั่งเช่นกัน

“ครั้งนั้นจนกระทั่งเจ้าแห่งอาวุธของตระกูลใหญ่ๆ หลายตระกูลลงมือด้วยตัวเอง ได้แต่จับกุมนางไว้ สุดท้ายเจอวิธีการฆ่านาง นั่นคือการใช้หินทำลายเขตแดน ถลกร่างหลักของนาง จากนั้นก็ทำลายส่วนที่เฉือนออกมา บดขยี้จนตาย อย่างค่อยเป็นค่อยไป”

“ภายหลังพอดีที่เจอจักรพรรดิมารบุกโจมตี ขุมกำลังมากมายร่วมมือกันกลายเป็นทัพพันธมิตรป้องกันประตูแห่งพิภพมาร ศิลาทำลายเขตแดนจึงมีไม่พอใช้ ได้แต่ผนึกเชียนตู้ไว้ชั่วคราว พริบตาเดียวก็ผ่านไปมากกว่าพันปี เจ้าแห่งอาวุธถูกจักรพรรดิตรึงกำลังเอาไว้ พลังของเชียนตู้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่อาจควบคุมได้อีก หากไม่ระวังแม้แต่น้อย แค่พลังไหลออกมานิดเดียว ก็ทำให้คนหลายหมื่นคนติดเชื้อตายได้แล้ว

ดังนั้นเจ้าแห่งอาวุธคงเหิงซึ่งเป็นเจ้าสำนักพันอาทิตย์ของพวกเราจึงออกโรงด้วยตัวเอง เขาบรรลุข้อตกลงกับใต้เท้าเชียนตู้หลังจากเจรจาอย่างลับๆ เป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม ใต้เท้าเชียนตู้เข้ามาในสำนักพันอาทิตย์ของพวกเราเพราะสาเหตุนี้”

ความจริงมีคนรุ่นอาวุโสหลายคนที่ไม่รู้เรื่องนี้ พวกเขานึกว่าท่านผู้นั้นเป็นผู้อาวุโสของสำนักพันอาทิตย์ ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่ว่าท่านผู้นั้นเลือกเจ้าเป็นศิษย์ ข้าคงจะไม่พูด เดิมทีข้านึกว่านี่เป็นแค่ตำนาน ถึงอย่างไรผู้ใดจะจำเรื่องเมื่อหลายพันปีก่อนได้แม่นเล่า บนตำราก็มีหลายส่วนที่เลือนรางไป แต่นึกไม่ถึงว่า…” เจ้าสำนักเฉินกล่าวอย่างจนใจ

ลู่เซิ่งทราบตำแหน่งและสถานะของสตรีประหลาดผู้นั้นคร่าวๆ แล้ว…จ้าวแห่งมารระดับสุดยอด หนำซ้ำแม้แต่เจ้าแห่งอาวุธก็ไม่อาจฆ่านางได้ในระยะเวลาสั้นๆ ตัวนางเหมือนกับภัยพิบัติฟ้าเคลื่อนที่ได้ คงเป็นเพราะสาเหตุนี้นางจึงได้แต่หลบอยู่ในเขตถ่ายทอดความลับ เพื่อไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์มากเกินไป

เพียงแต่จุดหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจก็คืออีกฝ่ายให้ความสำคัญกับเขาเพราะเหตุใด ทำไมอยู่ๆ จึงโผล่มารับเขาเป็นลูกศิษย์ แถมยังชี้แนะวิชาจริงแท้ให้

เจ้าสำนักเฉินมีชื่อเต็มๆ ว่าเฉินจิ้งจือ ในเขตจันทราสารทเขาไม่ใช่แค่เป็นผู้ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับหนึ่งเท่านั้น ขณะเดียวกันยังขึ้นชื่อเรื่องความรอบคอบด้วย ตอนนี้จึงมองความสงสัยของลู่เซิ่งออก

“ไม่ว่าอย่างไร ใต้เท้าท่านนั้นก็ให้ความสำคัญกับเจ้าแล้ว ถือเป็นวาสนาของเจ้า ผู้อาวุโสหลายๆ คนที่ท่านผู้นั้นชี้แนะให้ ไม่ว่าจะเป็นหญิงชายชราเด็ก สุดท้ายล้วนไม่มีใครเป็นคนธรรมดา รองเจ้าสำนักของสาขาใหญ่ที่รับตำแหน่งในปัจจุบันมีคนหนึ่งที่เคยเป็นศิษย์ที่นางชี้แนะเช่นกัน”

“แล้วการกักตัวนี้เล่า” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย

เฉินจิ้งจือไม่ได้ตอบ เพียงแต่ชักกระบี่ยาวที่เปล่งแสงสีฟ้าออกมาจากด้านหลังอย่างแผ่วเบา กระบี่สาดประกายแวบหนึ่ง เหมือนการปักเส้นสีฟ้าไว้กลางผืนผ้าสีขาว

พรึ่บ!

รอบๆ ตัวลู่เซิ่งพลันเหมือนมีสิ่งของไม่น้อยลุกไหม้แล้วหล่นลงมา

ของส่วนหนึ่งเล็กละเอียดและดำเกรียมเหมือนกับเมล็ดงา พอร่วงแตะกับอิฐ ก็มีเสียงกัดกร่อนอันรุนแรงดังฉ่าๆ ขึ้นมาทันที

ควันสีดำจำนวนมากลอยออกมา อิฐอันเป็นวัสดุระดับสูงที่ผ่านการเสริมความแข็งแกร่งจากค่ายกลถูกกัดกร่อนเป็นรูขนาดไม่เท่ากันต่อหน้าทุกคนด้วยความเร็วสูง

ลู่เซิ่งสังเกตเห็นอย่างมึนงงว่าในควันสีดำนั้นยังมีแมลงตัวเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนที่มีร่างกายกึ่งโปร่งแสงซ่อนอยู่ แมลงเหล่านี้มีดวงตาเล็กๆ สีแดงฉานและขาสิบข้าง ปีกกึ่งโปร่งแสงสี่ข้างด้านหลังกำลังกระพือด้วยความเร็วสูงจนส่งเสียงดังหึ่งๆ อย่างแผ่วเบา พวกมันตายไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับควันดำที่จางลง

แมลงเหล่านี้มีขนาดตัวเล็กสุดขีดจนกำลังสายตาธรรมดามองไม่ออก มีแต่ประสาทสัมผัสที่ว่องไวปราดเปรียวของลู่เซิ่งเท่านั้นที่สัมผัสได้

“คนที่สัมผัสกับใต้เท้าผู้นั้นจะต้องดำเนินการกักตัว” เฉินจิ้งจืออธิบาย “เพราะว่าใต้เท้าท่านนั้นมีวัยวุฒิสูงมาก ดังนั้นตอนนี้เจ้าจึงเท่ากับเป็นศิษย์น้องของข้า กำหนดตำแหน่งเป็นศิษย์จริงแท้สาขาย่อยของเขตจันทราสารทไปก่อน นอกจากนี้…” เจ้าสำนักที่จิตใจดีผู้นี้อดเตือนประโยคหนึ่งไม่ได้ “ขอให้ระวังตัวด้วย…”

“ข้าเข้าใจแล้ว” ตอนที่เห็นแมลงเหล่านั้น ลู่เซิ่งก็เข้าใจแล้ว คาดว่าใต้เท้าเชียนตู้ผู้นี้ไม่ชอบฆ่าคน แต่ว่านางควบคุมภัยคุกคามบนร่างตัวเองไม่ได้

ต่อจากนั้นก็มีคนส่วนหนึ่งถืออุปกรณ์พิเศษเข้ามา พวกเขาสวมเสื้อกักตัวที่คลุมทั้งร่างสีขาว ใช้จานวงกลมประณีตที่เหมือนเข็มทิศในมือ ยิงเส้นแสงอักขระสีเขียวและสีฟ้าหลายสายใส่ลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่อง

ลำแสงที่มีอักขระวนเวียนหลายสาย ยิงใส่ร่างลู่เซิ่งแล้วกลายเป็นตราประทับพิเศษที่บ่งบอกถึงการผนึก การชำระล้าง รวมถึงการกักตัวทันที

เฉินจิ้งจือกับเจ้าสำนักอีกคนเฝ้าอยู่ใกล้ๆ เป็นเวลานาน ค่อยตรวจสอบเจอปัญหาบนตัวลู่เซิ่งอย่างยากลำบาก

สรุปคือไม่มีอันตราย

เทียบกับศิษย์ของท่านผู้นั้นที่ได้รับการชี้แนะมาก่อนหน้า แมลงพิษที่อยู่บนตัวลู่เซิ่งมีน้อยมากๆ แค่ทำการผนึกเล็กน้อยก็จัดการปัญหาได้แล้ว

พวกเฉินจิ้งจือถอนใจเฮือกใหญ่ อย่างไรพวกเขาก็เป็นแค่ผู้เข้มแข็งระดับปฐมปฐพีทั่วไป ต่อให้อยู่บนจุดยอดสุดของขอบเขตปฐมปฐพี แต่ยามเผชิญหน้ากับท่านผู้นั้น ก็ยังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน กลัวว่าหากเกิดอุบัตินิดเดียวก็อาจมีอันตราย

ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดกรณีแบบนี้มาก่อน มีครั้งหนึ่งที่ศิษย์ผู้ได้รับการชี้แนะคนที่สองไม่ได้กักตัวหลังจากออกมา ในวันที่สามหลังจากออกมาก็ทำให้คนสามพันกว่าคนติดเชื้อตายไป สายย่อยของสำนักในตอนนั้นพินาศสิ้น

นี่คือจุดที่น่ากลัวที่สุด นอกจากระดับผู้ถืออาวุธแล้ว ไม่มีใครสามารถต้านทานการติดเชื้อแบบนี้ได้ ต่อให้เป็นขอบเขตปฐมปฐพีก็ไม่เว้น

ลู่เซิ่งเข้าใจความระมัดระวังของพวกเขาดี จึงให้ความร่วมมือในการตรวจสอบและกักตัวจนสำเร็จ

หลังจากยุ่งอยู่นานสองนานและยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่มีอันตรายใดๆ บนตัวลู่เซิ่งอีก พวกเจ้าสำนักอย่างเฉินจิ้งจือค่อยโล่งอกก่อนจะบอกลาไป

พวกจางซื่อหลงถูกตรวจสอบกับชำระล้างร่างกายไปด้วย ตอนนี้ต่างระบายลมหายใจกันอย่างหนักหน่วงเช่นกัน

พวกเขาขาอ่อนระทวยในตอนที่เดินออกจากโถงใหญ่ในหอไม้ กลับกันลู่เซิ่งที่เป็นตัวการยังมีท่าทีกระปรี้กระเปร่ากระชุ่มกระชวย

“ไปดื่มด้วยกันสักจอกไหม” จางซื่อหลงตบไหล่ของลู่เซิ่ง ผู้อาวุโสคนนี้ไม่กล้าวางมาดต่อหน้าลู่เซิ่งอีกแล้ว เมื่อครู่เขาตกใจแทบตายจริงๆ

พริบตาที่จำได้ว่าอาจารย์ของลู่เซิ่งคือใคร ห้วงสมองของเขาก็ปรากฏหลายสิ่งหลายอย่าง ชีวิตนี้เขายังเหลือความเสียดายมากมายที่ยังไม่ได้ทำ เหลือเป้าหมายมากมายที่ยังไม่บรรลุ ในห้วงเวลาเป็นตายไม่มีสิ่งใดสำคัญอีกแล้ว สิ่งที่โผล่ขึ้นมาในห้วงสมองของเขาเพียงหนึ่งเดียวมีแต่ใบหน้างดงามที่ทำให้เขาเก็บไปฝันใบหน้านั้น

ลู่เซิ่งมองท้องฟ้า เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว แสงอาทิตย์สีเหลืองมัวซัวกำลังค่อยๆ กลายเป็นสีแดงฉาน

“ฟ้าจะมืดแล้ว วันนี้พบเจอเรื่องมาไม่น้อย กลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่าขอรับ” ลู่เซิ่งเพิ่งได้วิชาจริงแท้ที่เฮยหนิงหรือซูหนิงเฟยถ่ายทอดให้ กำลังคิดไปทดลองอยู่พอดี เขาสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่าวิชาจริงแท้นี้เหมือนมีจุดใดจุดหนึ่งที่ไม่ธรรมดา

“ก็ดีเหมือนกัน เจ้าเองก็ลำบากที่ต้องติดต่อกับ…ผู้อาวุโสแบบนั้น” จางซื่อหลงตบไหล่ลู่เซิ่งอย่างเห็นใจ “หากมีเรื่องอะไรก็มาหาข้าที่หมู่บ้านผางาม จะไปหาจื่อเย่ฮูหยินที่หุบเขาร้อยใบก็ได้เหมือนกัน แล้วก็ต่อจากนี้อีกไม่นานสำนักจะดำเนินการจัดตำแหน่งให้เจ้า กลับไปพักผ่อนรอข่าวก่อนเถอะ”

“ข้าทราบแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า

จางซื่อหลงพาคนจากไป คนที่ไปพร้อมกันยังมีซ่งตู โดยมีคนในตระกูลซ่งเป็นผู้พาไป ตอนจากไปเขายังไม่กล้ามองลู่เซิ่ง ทั้งทำท่าเหมือนหดหู่ท้อแท้ ชายหนุ่มได้ยินคำอธิบายของเจ้าสำนักในตอนเพิ่งถูกกักตัวชำระล้าง จึงอยู่ห่างๆ ลู่เซิ่งในตอนนี้อย่างกับเจอสัตว์มีพิษ

รอจนพวกเขาจากไปแล้ว ลู่เซิ่งก็กวาดตามองรอบๆ พอสัมผัสได้ว่าในความมืดยังมีสายตาจับจ้องตนอยู่ก็ได้แต่ยิ้มอย่างหน่ายใจ

การได้พบกับอาจารย์จอมเอาเปรียบคนนั้นในครั้งนี้ช่างน่าตกตะลึงพรึงเพริดจริงๆ

ลู่เซิ่งหันไปมองหอไม้ก่อนจะหมุนตัวเดินไปตามทางเดินด้านข้าง ปฏิเสธรถม้ากับองครักษ์รับส่งที่สำนักส่งมา ยืนกรานว่าจะเดินเล่นคนเดียว

ในนครเขตจันทราสารท สำนักพันอาทิตย์เป็นขุมกำลังหนึ่ง แม้จะเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดและใหญ่ที่สุด ทว่าก็ต่างกับสองสำนักที่เหลือเพียงเส้นบางๆ เท่านั้น ความจริงแล้วใกล้เคียงกันมาก

สามสำนักใหญ่เช่นสำนักพันอาทิตย์ สำนักซ่อนธาตุ สำนักผูกวิญญาณปกครองขุมกำลังกึ่งหนึ่งในต้าอิน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งคือสามตระกูลใหญ่

นี่คือสถานการณ์ในต้าอิน ส่วนนครเขตจันทราสารทเป็นอาณาเขตของสามสำนักใหญ่ นอกจากที่ทำการของทางการ สามสำนักใหญ่ย่อมเป็นผู้กุมอำนาจ และความจริงแล้วทางการก็เป็นเป้าหมายของสามตระกูลใหญ่

สามตระกูลใหญ่เป็นผู้ปกครองราชสำนักต้าอิน

ในความเป็นจริงแล้วนี่คือยุทธภพที่ประกอบด้วยราชสำนักกับสำนักใหญ่

การเคลื่อนไหวของลู่เซิ่งเมื่อครู่กล่าวได้ว่าอึกทึกครึกโครม เขาเพิ่งจะเดินไปบนถนนได้ไม่กี่ก้าว ก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาบ้างในที่ลับบ้างในที่แจ้งจำนวนมากมองมาจากทุกทิศทาง

ยังดีที่เจ้าสำนักเฉินเหมือนไม่ได้ประกาศอะไรออกไป ไม่นานสายสืบที่มาเพราะการเคลื่อนไหวของเขาก็ค่อยๆ ลดลงและหายไป ส่วนใหญ่เปลี่ยนไปตรวจสอบคนอื่นๆ ต่อ

ลู่เซิ่งเตร็ดเตร่ในเมืองอีกสองสามรอบ ไม่นานก็ใช้ความได้เปรียบด้านการปกปิดกลิ่นอายของตัวเองสลัดพวกที่คอยตามก้นจนหลุดอย่างสบายๆ

จากนั้นเขาก็ไปซื้อยาสำรองส่วนหนึ่งที่ร้านขายยา ก่อนจะไปซื้อตำราการสร้างยันต์อย่างง่ายที่ร้านสร้างยันต์

……………………………………….