บทที่ 269 ผู้นำทัพ!
“ท่านอาร์คบิชอปครับ! ท่านอาร์คบิชอป!”
บิชอปเรนัลด์ที่รอเซียวเฟิงอยู่ด้านนอกวิหารรีบเดินเข้ามาหาพูดด้วยความตกใจเมื่อเห็นชายหนุ่มออกมาแล้ว
“ข้าไม่คิดเลยว่าท่านเทพธิดาแห่งแสงจะแต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้นำทัพสัมพันธมิตร”
“ทำไมถึงไม่คิดล่ะ? ท่านกำลังดูถูกผมเหรอ?” เซียวเฟิงจ้องไปยังอีกฝ่าย เขาเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่านักบวชช่างพูดเช่นนี้จะรู้เรื่องนี้เร็วขนาดนี้ด้วย
“ข้าไม่กล้าคิดเช่นนั้นหรอก พลังของท่านอาร์คบิชอปนั้นเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคนแล้วตั้งแต่ที่ท่านได้เข้าไปสำรวจในเมืองแห่งความโศกเศร้าครั้งก่อน แล้วยิ่งในนามของผู้รับใช้แห่งพระเจ้าแล้ว ตัวตนของท่านไม่เป็นที่สงสัยใด ๆ ทั้งนั้น อันที่จริง ข้าได้รับหน้าที่ให้มาเป็นที่ปรึกษาของท่านนี่แหละ” พูดจบบิชอปเรนัลด์จึงได้เหลือบมองเซียวเฟิงเพื่อดูท่าที
“เป็นเรื่องที่ดี ว่าแต่ ท่านมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” เซียวเฟิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“เอ่อ… ข้าอยากจะสอบถามท่านว่า พอจะให้ข้าร่วมหรือมีส่วนร่วมกับการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยได้หรือเปล่า?” บิชอปเรนัลด์กระซิบ
“หือ? ท่านอายุมากแล้วนะ ผมไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่ท่านพอจะทำไหวเลยในการต่อสู้ครั้งนี้” เซียวเฟิงลังเลอยู่นิดหน่อยขณะที่พูดไป บิชอปเรนัลด์กับบิชอปไคเซอร์ต่างก็เป็นผู้สูงวัยเหมือนกันทั้งคู่ ไม่เพียงแต่มีผมสีขาวเหมือนกันแล้ว พวกเขายังสวมชุดสีแดงเหมือนกันอีก ไม่คาดคิดเลยว่านี่พวกเขาจะมีความคิดอ่อนเยาว์เหมือนหนุ่มวัยแรกรุ่นแบบนี้ด้วย
“ข้าอับจนหนทางจริง ๆ การที่ต้องจมปรักอยู่บนภูเขาส่องแสงแห่งนี้มาเป็นเวลานานนั้นมันช่างเหนื่อยล้ายิ่งนัก แต่ถึงอย่างนั้นแล้วข้าก็ยังไม่โชคดีเท่าไคเซอร์เสียที คนคนนั้นได้รับมอบหมายงานให้ไปควบคุมเมืองหลักแล้ว เพราะงั้นข้าเองก็อยากจะหาทางของข้าบ้าง” น้ำเสียงของบิชอปเรนัลด์นั้นฟังดูหมดหนทางจริง ๆ นอกจากนี้มันยังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่าเขาไม่อยากจะคอยเดินตามบิชอปไคเซอร์ที่เดินนำไปแล้วก้าวหนึ่งอย่างเดียว
“ถ้างั้นทางวิหารแห่งแสงจัดตั้งกองทัพกันเสร็จหรือยังครับ? แล้วถ้าท่านเข้าร่วมตอนนี้จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” หลังจากครุ่นคิดแล้ว เซียวเฟิงจึงเอ่ยถามขึ้น เพราะถ้าหากวิหารแห่งแสงยังรวมทัพไม่ได้ มันน่าจะไม่มีปัญหาอะไรที่นำบิชอปเรนัลด์จะเข้าทีมมาด้วย
“มีแค่เหล่าบัลลังก์พิพากษาภายในนครศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่รวมทัพกันเสร็จแล้ว ส่วนทัพพาลาดินในแต่ละเมืองหลักกำลังระดมพลกันอยู่ นอกจากนี้ พวกกลุ่มของบิช็อปเองก็กำลังรับสมัครคนเพิ่มอยู่ด้วย ถ้ายังไงข้าสามารถเข้าร่วมกับกลุ่มของบิชอปเหล่านั้นแล้วเป็นผู้นำอีกทีก็ได้ แต่เพราะผู้นำของทัพบัลลังก์พิพากษาที่อายุเยอะ ๆ น่ะ ไม่ได้ใจดีกับข้านักหรอก แถมสถานะเขายังสูงกว่าข้าอีก ดังนั้นข้าจึงมาหาท่านแทน ท่านอาร์คบิชอป ตอนนี้ท่านเป็นผู้นำทัพสัมพันธมิตรที่ถูกแต่งตั้งโดยท่านเทพธิดาแห่งแสงแล้ว ท่านสามารถแต่งตั้งข้าได้ และมันจะไม่มีปัญหาอะไรตามมาทั้งสิ้นภายในนามของท่าน” บิชอปเรนัลด์พูดด้วยความซื่อสัตย์
“อืมมม โอเค แต่ก่อนหน้าที่ผมจะทำให้ ช่วยบอกผมมาก่อน เกี่ยวกับเรื่องลำดับขั้นและการแบ่งกองกำลังของวิหารแห่งแสงแล้วก็ขนาดของสัมพันธมิตรด้วย” เซียวเฟิงพยักหน้าแล้วถามกลับ เขาต้องการรู้ก่อนว่าตอนนี้ทัพของวิหารแห่งแสงที่ได้จัดตั้งไว้นั้นแข็งแกร่งเพียงพอแล้วหรือยัง
การเข้าไปในเมืองแห่งความโศกเศร้าในครั้งนี้ไม่ใช่เล่น ๆ เพราะถ้าหากกองกำลังที่เข้าไปกับเขาด้วยอ่อนแอเกินไป นั่นหมายถึงเซียวเฟิงจะต้องพ่ายแพ้แน่ ๆ และการพ่ายแพ้นี้มันก็เกี่ยวโยงกับภารกิจเปลี่ยนคลาสของชายหนุ่มโดยตรงอีก
ยิ่งไปกว่านั้น เซียวเฟิงเองก็สนใจเรื่องของลำดับชั้นต่าง ๆ ภายในวิหารแห่งแสงอยู่แล้ว แม้ตัวเองจะเป็นอาร์คบิชอปมาเป็นเวลานาน แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าความสำคัญของตำแหน่งนี้มันคืออะไรกันแน่
“ไม่มีปัญหา วิหารแห่งแสงในตอนนี้ จริง ๆ แล้วแบ่งออกเป็นสองการปกครอง ซึ่งทั้งสองการปกครองนี้ต่างก็ถูกเคารพนับถือในต่างทวีปกัน เทพธิดาแห่งแสงถือเป็นผู้อยู่จุดสูงสุดสำหรับผู้ที่ติดต่อกับทวยเทพ ท่านเป็นเทพผู้ปกครองผืนแผ่นดินด้วยตนเอง ดังนั้นแล้วเธอจึงถือเป็นผู้ปกครองสูงสุด” บิชอปเรนัลด์รีบอธิบายให้เซียงเฟิงฟังทันทีหลังได้ยินว่าเขาจะยอมช่วยรับข้อเสนอของตน
“และภายในการปกครองของเทพธิดาแห่งแสงสว่าง พระสันตะปาปาคือผู้เรืองอำนาจมากที่สุดในทวีปยุโรป เขาจะกลับมายังภูเขาส่องแสงแห่งนี้ทุก ๆ สิบปีเพื่อพบกับท่านเทพธิดาแห่งแสงหนึ่งวัน”
“ถัดลงมาจากพระสันตะปาปาคืออาร์คบิชอปและประธานสูงสุดของเหล่าผู้พิพากษา หน้าที่ของอาร์คบิชอปคือการดูแลงานต่าง ๆ ของวิหารแห่งแสง ส่วนประธานผู้พิพากษาสูงสุดจะคอยบัญชาการเหล่าทัพ จากนั้นถึงจะลงมาเป็นระดับบิชอปที่คอยดูแลเทวสถานลำดับที่ 2 ที่อยู่ในแต่ละเมืองหลัก ส่วนหัวหน้าพาลาดินก็จะควบคุมดูแลพาลาดินที่อยู่ในเทวสถานลำดับ 2 อีกทีครับ”
“ในเรื่องของขนาดทัพสัมพันธมิตรนั้น ข้าได้ยินมาว่าวิหารแห่งแสงจะนำทัพโดยบัลลังก์ผู้พิพากษาที่มาจากนครศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด พาลาดินสนับสนุนขั้นสูงจำนวนห้าคน และไพร่พลจากเทวสถานลำดับ 2 ทั้งหมดจะทยอยตามมาสมทบทีหลัง พวกเขาเหล่านี้จะเป็นกำลังหลักในการต่อสู้ครับ ส่วนกลุ่มของบิชอปจะนำทีมผู้ประกอบพิธีกรรมไปเพื่อช่วยสนับสนุน รวม ๆ แล้วน่าจะมีประมาณสองหมื่นคนได้ แต่ทางฝั่งของจักรวรรดิ ข้าเองก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรเหมือนกัน อ๊ะ แต่ข้ามั่นใจได้ว่าพวกเขาน่าจะมีกองกำลังที่มากกว่าของพวกเราร่วม ๆ สิบเท่าได้เลย! เพราะงั้นแล้วจึงถือว่าจักรวรรดินั้นช่วยเหลือพวกเราเป็นอย่างมากเลยในการร่วมมือกันครั้งนี้ น่าเสียดายที่เมืองแห่งความโศกเศร้านั้นเป็นเพียงฐานที่ตั้งของเหล่าเผ่าพันธุ์แห่งความมืด มิเช่นนั้นแล้วพวกเราคงจะขอแรงจากอาณาจักรแฟรี่และอาณาจักรออร์คได้ด้วย”
เซียวเฟิงพยักหน้า ตอนนี้เขารู้แล้วว่าตำแหน่งอาร์คบิชอปของตัวเองนั้นไม่ใช่น้อย ๆ เลย เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่เป็นอันดับ 3 ในวิหารแห่งแสงนี้เลยก็ว่าได้!
แต่เรื่องขนาดทัพที่ได้ยินนั้นก็ทำให้เซียวเฟิงต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง วิหารแห่งแสงส่งคนเพียงสองหมื่นคนเข้าร่วมการรบครั้งนี้ หรือแม้จะได้ทัพอีกสิบเท่า แต่รวม ๆ แล้วก็ยังแค่สองแสนห้าหมื่นคนเท่านั้น คนจำนวนเท่านี้แม้จะดูมาก แต่อันที่จริงแล้วแทบจะไม่มีค่าอะไรเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าเมืองแห่งความเศร้าโศก พวกเขาไม่สามารถแม้จะล้อมเมืองจากทั้ง สี่ทิศได้ด้วยซ้ำหลังจากจัดทัพแล้ว ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจำเป็นที่จะต้องหาทางอื่นมาเสริมเสียแล้ว
“เอาเถอะ ช่วยพาผมไปหาเหล่าบัลลังก์ผู้พิพากษาที่จะเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยหน่อยสิครับ” เซียวเฟิงส่ายหน้าก่อนจะพูด ตอนนี้เขาต้องหาข้อมูลของทัพฝั่งเขาแล้วว่าแข็งแกร่งขนาดไหน ถ้าหากทุก ๆ คนแข็งแกร่งระดับซูเปอร์บอสล่ะก็ เรื่องจำนวนคงไม่ใช่ปัญหาอะไรนัก
“ประธานบัลลังก์ผู้พิพากษา กิโล อยู่ที่นี่แล้วครับ” บิชอปเรนัลด์หันไปมองด้านหลังเซียวเฟิงแล้วพูดขึ้นทันที
ได้ยินเช่นนั้นเซียวเฟิงก็หันกลับไปมองและพบกับชายสูงวัยคนหนึ่ง ผมและเคราของเขามีผมหงอกปะปนจนแทบจะกลายเป็นสีเทาไปหมดแล้ว กระนั้นท่าทีการเดิมของเขากลับยังดูสง่างามและมั่นคงราวกับคนหนุ่มคนแน่นเสียอย่างนั้น ชายผู้นี้คือ หัวหน้าบัลลังก์ผู้พิพากษาอันดับที่ 3 กิโล ชื่อของเขานั้นปรากฏให้เห็นอยู่เหนือหัวอย่างชัดเจน
“ใต้เท้า ทัพของบัลลังก์ผู้พิพากษาลำดับที่ 3 จัดตั้งเสร็จสมบูรณ์แล้วครับ ตามบัญชาของท่านเทพธิดาแห่งแสงสว่าง พวกเรามาเข้าร่วมกับท่านเพื่อออกกำจัดเหล่าพันธุ์แห่งความมืดแล้ว”
ถึงแม้ว่ากิโลนั้นจะมีอายุ แต่เขาก็ยังเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณที่เร่าร้อน ผมสีขาวแซมเทาของเขานั้นแทบจะกลายเป็นสีเงินแล้ว แต่ก็ยังให้ความรู้สึกว่าคนคนนี้แข็งแกร่งกว่าบิชอปเรนัลด์อยู่มาก แม้จะไม่ต้องพินิจพิเคราะห์ดู ดังนั้นมันเลยทำให้เซียวเฟิงไม่กล้าใช้ทักษะการตรวจสอบขั้นสูงของตัวเองกับคนคนนี้ เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ตั้งแต่ต้น
“เข้าใจแล้ว ท่านหัวหน้ากิโล พาทัพของท่านไปรวมกัน ณ สถานที่ถูกเรียกว่าเมืองหรี่ลั่วก่อนนะ” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เซียวเฟิงก็พูดออกไป
“รับทราบครับ!”
หัวหน้ากิโลไม่ใช่ผู้ชายช่างยิ้มเหมือนคนอื่น ๆ จะบอกว่าเขาเป็นคนหน้าตายตลอดก็ไม่เกินเลยนัก ชายผู้นี้เพียงทำความเคารพเซียวเฟิงเฉกเช่นพาลาดินจากนั้นก็หันหน้าออกไปเลย
“ถ้างั้น ผมขอแต่งตั้งให้ท่านบิชอปเข้าไปในกลุ่มของบิชอปด้วยก็แล้วกัน ถ้ายังไงช่วยหาคนเพิ่มให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยนะครับ พาลาดินสนับสนุนที่เข้าร่วมการต่อสู้นั้นมีแค่ห้าคนเอง ท่านสามารถนำคนจากที่ไหนก็ได้มาเข้าร่วมกับพาลาดินสนับสนุนทั้งสี่คนนี้ แต่พาลาดินสนับสนุนที่เหลืออีกหนึ่งคน จะต้องเป็นคนที่มาจากเมืองเทียนหลงเท่านั้น เข้าใจนะครับ?” เซียวเฟิงจัดแจงงานให้บิชอปเรนัลด์ทำ หัวหน้าพาลาดินของเหล่าพาลาดินในเมืองเทียนหลงนั้นคือ โบลตัน เพราะงั้นแล้วไม่มีเหตุผลเลยที่จะไม่เชื้อเชิญเขามาร่วมศึกนี้ด้วยในฐานะคนรู้จักเก่าแก่
“รับทราบครับ ใต้เท้า! ไว้ใจข้าได้เลย!” บิชอปเรนัลด์ให้สัญญา เขาดูคึกคักและตื่นเต้นเอามาก ๆ
“ไปรอผมที่เมืองหรี่ลั่วหลังจากรวบรวมคนได้แล้ว แต่ตอนนี้ช่วยเทเลพอร์ตผมไปที่เมืองจักรวรรดิก่อน ผมจะเข้าไปติดต่อกองทัพของจักรวรรดิ” เซียวเฟิงพูด
“ท่านอาร์คบิชอปครับ เอ่อ ที่เมืองจักรวรรดินั้นไม่มีเทวสถานลำดับที่ 2 อยู่เลย แถมยังไม่มีเทวสถานลำดับที่ 2 ของวิหารแห่งแสงอยู่ภายในด้วย เพราะงั้นข้าสามารถส่งท่านไปได้เพียงจุดที่อยู่ใกล้กับประตูเมืองมากที่สุดเท่านั้น” บิชอปเรนัลด์พูดด้วยความหนักใจ
“ไม่มีวิหารแห่งแสงอยู่ในเมืองจักรวรรดิเลยงั้นเหรอครับ? อืม… ถ้างั้นส่งผมไปที่ประตูก็ได้” มันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากแต่ถึงอย่างนั้นเซียวเฟิงก็ทำได้แค่พยักหน้าและไม่ใส่ใจมากนัก
“เช่นนั้นเชิญตามข้ามาได้เลยครับ ท่านอาร์คบิชอป” บิชอปเรนัลด์โล่งใจ เขากลัวว่าตนเองจะทำอะไรโง่ ๆ ต่อหน้าอีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงรีบเดินนำเซียวเฟิงไปยังจุดวาร์ปและส่งเซียวเฟิงไปยังจุดที่ใกล้ที่สุดตามที่บอกทันที
เมืองจักรวรรดินั้นไม่มีชื่ออื่น มันถูกตั้งชื่อนี้มาตั้งแต่ต้นแล้ว ขนาดของเมืองสามารถเทียบเท่าได้กับเมืองหลักห้าเมืองรวมกัน ดังนั้นเมืองจักรวรรดิจึงถือว่ากว้างใหญ่มาก ๆ ภายในเมืองถูกแบ่งออกเป็นเมืองชั้นนอกและจักรวรรดิกลางเท่านั้น
เพราะเซียวเฟิงยังไม่ได้เปิดแผนที่ส่วนที่เหลือของดินแดนแห่งพระเจ้า มันเลยทำให้แผนที่ของเมืองจักรวรรดินั้นยังคงมืดดำอยู่ แต่จากที่เขาสังเกตเอาจากตำแหน่ง เมืองแห่งนี้น่าจะอยู่กลางดินแดนแห่งพระเจ้าพอดี
สถานที่ที่เซียวเฟิงถูกส่งมานั้นคือด้านนอกประตูเมือง ทันที่เซียวเฟิงมาถึงหน้าประตู ก็พบว่าฉากตรงหน้าช่างยิ่งใหญ่ตระการตายิ่งนัก กำแพงเมืองขนาดมหึมาที่ประดับประดาไปด้วยความวิจิตรงดงามในแบบโบราณกาลนั้นบีบให้เซียวเฟิงต้องตกตะลึกและเผลออุทานออกมาในความยิ่งใหญ่นี้
นี่มันแค่มุม ๆ หนึ่งของกำแพงเมืองเท่านั้น ยังทำให้รู้สึกน่ากลัวเวลามองได้ขนาดนี้ กำแพงโบราณยักษ์นี่ไม่เพียงทอดยาวออกไปราวกับสันเขาที่แบ่งฟากฟ้าและผืนดินออกจากกันเท่านั้น แต่มันยังทอดยาวไกลราวกับไม่มีที่สิ้นสุดอีกด้วย
แม้ว่าเมืองหลักแต่ละเมืองนั้นจะไม่ได้เล็กแต่อย่างใด และตัวเมืองแห่งความโศกเศร้าเองก็ไม่ใช่เมืองย่อยเล็ก ๆ ด้วย แต่เมื่อเทียบกับเมืองจักรวรรดิแล้ว เมืองเหล่านั้นก็ไม่มีอะไรเลย บางทีอาจจะมีแค่นครศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนภูเขาส่องแสงเท่านั้นที่สามารถเทียบเคียงได้
“ท่านนักผจญภัย เมืองจักรวรรดินั้นเปิดให้สำหรับนักผจญภัยที่เลื่อนขั้นเป็นคลาสที่ 2 แล้วเท่านั้น เช่นนั้นแล้วค่อยกลับมาหลังจากที่ท่านได้เปลี่ยนเป็นคลาส 2 แล้วเถิด”
อย่างไรก็ตาม เมื่อเซียวเฟิงเดินเข้าไปใกล้กำแพงเมืองยักษ์ตรงหน้านี้ หัวหน้ายามรักษาการณ์ท่ามกลาง NPC ยามรักษาการณ์ก็เดินเข้ามาหาเขาและพูดขึ้นด้วยความสุภาพ
เซียวเฟิงพยักหน้าช้า ๆ เช่นนั้นก็แสดงว่าเมืองจักรวรรดินี้เป็นแผนที่ระดับสูงที่ต้องรอการปลดล็อกด้วยคลาสที่ 2 อย่างที่เลื่องลือกันมาจริง ๆ ด้วย มิน่าล่ะถึงไม่มีใครหาทางเข้าเจอ
“ผมคืออาร์คบิชอปของวิหารแห่งแสงน่ะครับ ผมมาพบท่านจักรพรรดิเพื่อพูดคุยกันเรื่องความร่วมมือสัมพันธมิตร”
รูปลักษณ์ของเซียวเฟิงมันค่อนข้างชัดเจนว่าเขานั้นไม่ใช่ผู้เล่นทั่วไป ชายหนุ่มเปลี่ยนฉายาบนหัวของเขาให้เป็นอาร์คบิชอปเพื่อยืนยันตัวตนของตนเอง
“โอ้ ท่านคือท่านอาร์คบิชอปแห่งมหาวิหาร เช่นนั้นเชิญตามข้ามาได้เลย ท่านเทพผู้สูงส่งได้บอกกล่าวเราไว้แล้วว่าผู้นำทัพได้ถูกแต่งตั้งขึ้นแล้ว เพราะงั้น ท่านจักรพรรดิจึงได้รอการมาของท่านอาร์คบิชอปแห่งมหาวิหารอยู่แล้วครับ”
หัวหน้ายามรักษาการยังคงพูดด้วยความสุภาพและเดินนำเซียวเฟิงไปยังจุดวาร์ปบริเวณหน้าประตูเมือง
[ท่านได้ค้นพบเมืองจักรวรรดิ! ค่าชื่อเสียง +100!]
[ท่านได้ค้นพบเมืองจักรวรรดิกลาง! ค่าชื่อเสียง +50!]
[ท่านได้ค้นพบโถงราชวัง! ค่าชื่อเสียง +50!]
เสียงของระบบเอ่ยขึ้นติดต่อกัน จากนั้นเมืองจักรวรรดิก็สว่างขึ้นในแผนที่ ในขณะที่ตัวของเซียวเฟิงนั้นได้มาปรากฏอยู่หน้าประตูทางเข้าสีทองอร่ามของโถงที่งดงามแห่งหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หัวหน้ายามผู้นี้เดินนำเซียวเฟิงเข้าไปยังโถงราชวังโดยตรง ซึ่งตามปกติจุดวาร์ปมายังที่แห่งนี้ก็ไม่ได้เปิดให้แก่ผู้เล่นทั่ว ๆ ไป ดังนั้นแล้วต่อให้เซียวเฟิงจะเป็นอาร์คบิชอปก็ตาม เขาก็ยังทำได้แค่เดินตาม NPC เท่านั้นถึงจะเทเลพอร์ตมายังที่นี่ได้
“ท่านจักรพรรดิครับ ท่านอาร์คบิชอปแห่งมหาวิหารมาเข้าพบครับ”
พลันเซียวเฟิงก้าวเข้ามาในห้องโถง ก็ได้พบกับผู้ปกครองแดนมนุษย์ จักรพรรดิหลง กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ตรงหน้าแล้ว!
จักรพรรดิหลงผู้นี้อายุมากแล้ว กระนั้นก็ยังคงไว้ซึ่งความสง่างามและกระฉับกระเฉงเช่นเดียวกับหัวหน้ากิโลไม่มีผิด
นอกจากจักรพรรดิหลงแล้ว ภายในโถงแห่งนี้ยังมี NPC ที่ดูแข็งแกร่งเกรียงไกรอยู่อีกคนหนึ่ง ชื่อที่อยู่เหนือหัวเขาระบุไว้ว่าเขาคือ แม่ทัพที่ 3 เหลาหู่
“ข้าไม่คิดเลยว่าอาร์คบิชอปแห่งวิหารแห่งแสงนั้นจะเป็นนักผจญภัยจริง ๆ ”
หลังจากที่หัวหน้ายามรักษาการณ์ออกจากโถงใหญ่นี้ไปแล้ว NPC ทั้งสองที่ประจำการอยู่ในห้องอย่างจักรพรรดิหลงและแม่ทัพเหลาหู่ก็ต่างพากันจ้องมองไปยังเซียวเฟิง จากนั้นจักรพรรดิหลงจึงได้พูดขึ้นด้วยความประหลาดใจแต่น้ำเสียงยังคงน่าเกรงขามเช่นเดิม
“ดูเหมือนว่าคำทำนายของท่านเทพจะเป็นเรื่องจริงสินะ ดินแดนแห่งพระเจ้าผืนนี้กำลังขอความช่วยเหลือจากนักผจญภัยเพื่อที่จะผ่านพ้นภัยพิบัติครั้งนี้ไปให้ได้!”