บทที่ 601 หญิงสาวในห้องศิลา + บทที่ 602 พื้นที่ต้องห้ามของเหมียวเจียง

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 601 หญิงสาวในห้องศิลา

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา หนิงเมิ่งเหยาก็อดรู้สึกโกรธแค้นไม่ได้ น่าตายนัก นางรู้ว่าชายผู้นั้นไม่น่าไว้ใจและคิดจะทำเรื่องไม่ดีต่อท่านพ่อ แต่ใครจะคิดว่าเขาจะทำเรื่องเช่นนี้ได้

เฉียวเทียนช่างกอดหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน และกระซิบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “อย่าเพิ่งโกรธไปเลย หลังจากที่เขาออกมาแล้ว เราจะหาทางเข้าไปด้านในกัน”

จากจุดที่พวกเขายืนอยู่นั้น สามารถได้ยินเสียงที่ดังมาจากอีกฝั่งได้ นั่นหมายความว่าระหว่างคนทั้งสองฝั่งนี้มีเพียงผนังคั่นไว้เท่านั้น

หนิงเมิ่งเหยาผงกศีรษะ นางเข้าใจคำพูดของสามีดี

ทั้งสองคนรอคอยอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่เสียงนั้นจะค่อยๆ เงียบลง พวกเขายังได้ยินเสียงปิดประตูห้องอีกด้วย

เฉียวเทียนช่างมองหนิงเมิ่งเหยาและพูดขึ้น “อาจจะมีกลไกบางอย่างอยู่สักแห่ง พวกเราลองเดินหากันดู”

“ได้”

ทั้งสองคนแยกย้ายกันหา แต่ทว่าหลังจากที่ตรวจดูอยู่สักพัก ก็ไม่เจอเบาะแสใดๆ

จากนั้นหญิงสาวก็ทุบผนังด้วยความกระวนกระวายใจ ทำให้เกิดเสียงที่ไม่คาดคิด นางจึงรีบกดมือลงตรงบริเวณนั้น แล้วจู่ๆ ผนังบางส่วนก็จมลง จากนั้นประตูบานหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาต่อหน้าต่อตาพวกเขา

สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดหลังจากที่ประตูศิลาเปิดออกนั้น คือห้องที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าของทั้งสองคนได้รับการตกแต่งอย่างประณีตและวิจิตรตระการตา ราวกับว่าเจ้าของนั้นเป็นหญิงสาวผู้มั่งคั่งก็ไม่ปาน

“เทียนช่าง เข้าไปดูด้านในกันเถอะ”

“อืม”

พวกเขาเดินเข้าไปในห้องนั้นอย่างระมัดระวัง ภายในนั้นมีข้าวของเครื่องใช้ครบครัน ทั้งเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า ตู้เก็บของ ชั้นหนังสือ โต๊ะ และอาหารจำนวนมาก

หนิงเมิ่งเหยามองดูสิ่งของต่างๆ ด้วยความรู้สึกสับสนเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนอาศัยอยู่ที่นี่”

สายตาของเฉียวเทียนช่างจับจ้องอยู่ที่เตียง และพบว่ามีหญิงสาวหน้าตาสะสวยกำลังนอนนิ่งอยู่บนนั้น

หญิงสาวผู้นั้นน่าจะมีอายุประมาณสามสิบกว่าปี ดวงตาของนางปิดอยู่ พร้อมกับหน้าอกที่ขยับขึ้นลงอย่างแผ่วเบา บ่งบอกให้รู้ว่านางยังคงหายใจอยู่

ขณะนั้นเอง หนิงเมิ่งเหยาก็สังเกตเห็นนางเช่นกัน และก่อนที่ผู้เป็นสามีจะปริปากพูด หญิงสาวก็เดินไปที่เตียงนั้น และมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ จากนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เทียนช่าง เจ้าคิดว่าคนๆ นี้ดูคุ้นหน้าคุ้นตาหรือไม่”

ชายหนุ่มพยักหน้า ข้อสันนิษฐานในใจของเขาก็ได้รับการยืนยันในทันทีที่เห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนี้ โดยไม่จำเป็นต้องพูดถึงภาพวาดอันล้ำค่าทั้งหลายในจวนผู้สำเร็จราชการที่หนานกงเยี่ยนหวงแหนเลย

หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงมีรูปลักษณ์เหมือนกับภาพวาดนั่นราวกับแกะ และนางดูไม่แก่ลงตามกาลเวลาเลย

หนิงเมิ่งเหยาเอามือเท้าคาง ก่อนจะมองคนบนเตียงอย่างตั้งใจ พลางขมวดคิ้วขณะครุ่นคิด

“ข้ามั่นใจว่าเคยเห็นคนๆ นี้ที่ไหนสักแห่ง แต่ข้าจำไม่ได้” หญิงสาวพูดกับตนเองขณะที่ยืนอยู่ข้างๆ เตียง

เฉียวเทียนช่างมองภรรยาที่ดูสับสน ก่อนจะถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ เขาอยากจะบอกนางว่านี่คือคนที่นางกำลังตามหาอยู่ แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ หากเขาบอกไป นางก็คงจะพาหญิงสาวผู้นี้ออกไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังเป็นแน่ และนั่นอาจทำให้เกิดปัญหาใหญ่ได้

“เทียนช่าง เจ้ารู้หรือไม่ว่านางเป็นใครกัน” หลังจากเห็นสีหน้าของสามีที่แปลกไป นางจึงเอ่ยถามอย่างช่วยไม่ได้

เฉียวเทียนช่างเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ

“ข้าไม่รู้ แต่รู้สึกว่านางดูคุ้นตาราวกับว่าเคยเจอนางที่ไหนสักแห่ง” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว พร้อมกับทำสีหน้าสับสน

หนิงเมิ่งเหยาไม่สังเกตเห็นอาการมีพิรุธ เพราะท่าทีของเขานั้นดูจริงจังและไม่เสแสร้ง จากนั้นนางจึงมองหญิงสาวบนเตียงต่ออย่างใคร่ครวญ “หากชิงซวงอยู่ที่นี่ ข้าก็คงจะให้นางตรวจชีพจรให้ได้ และจะได้รู้ว่าทำไมนางจึงหลับใหลอยู่เช่นนี้” หนิงเมิ่งเหยาพึมพำด้วยความเสียดาย

หนังตาของเฉียวเทียนช่างกระตุก ขณะมองดูภรรยาอย่างจนใจ

‘มันคือพลังของสายเลือดหรืออย่างไรกัน’ นางยังไม่รู้จักหญิงสาวผู้นี้ แต่จิตใต้สำนึกของนางกลับเริ่มห่วงใยอีกฝ่ายแล้ว

“เหยาเหยา พวกเราควรออกไปหาคนอื่นๆ ได้แล้ว” เมื่อได้ยินเสียงดังมาจากข้างบน เฉียวเทียนช่างก็ขมวดคิ้ว

“แต่…” หนิงเมิ่งเหยามองหญิงสาวบนเตียง นางต้องการจะปฏิเสธ เพราะยังไม่ต้องการจะจากไป

“มีใครบางคนอยู่ที่นี่ หากเจ้าต้องการช่วยคนๆ นี้ เราต้องตรวจดูสถานที่แห่งนี้ให้ดีเสียก่อน จากนั้นพวกเราค่อยกลับมาที่นี่ใหม่อีกครั้ง ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม” เฉียวเทียนช่างพูดกับหญิงสาวอย่างจริงจัง

เมื่อหนิงเมิ่งเหยากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง พวกเขาก็ได้ยินเสียงของกลไกประตูถูกเปิดออก

บทที่ 602 พื้นที่ต้องห้ามของเหมียวเจียง

แม้ว่าหนิงเมิ่งเหยาต้องการจะพาผู้หญิงคนนี้ออกไปด้วยเพียงใด แต่ก็ไม่อาจทำได้ เฉียวเทียนช่างพูดถูก ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ไม่ว่านางจะตั้งใจเพียงไร แต่นางก็ไม่ได้มีความแข็งแกร่งพอที่จะสามารถทำเช่นนั้นได้ ดังนั้นนางจึงทิ้งหญิงสาวที่หลับใหลไว้ตรงนั้น ก่อนจะผละออกมาด้วยความเสียใจ

หลังจากที่ออกมา พวกเขาก็ได้ยินเสียงของคนคนหนึ่งจากอีกฝั่งของผนัง

“ข้าหูฝาดไปหรือ”

หนิงเมิ่งเหยาเบิกตากว้าง โชคดีที่เทียนช่างอยู่ที่นี่ด้วย มิเช่นนั้นพวกเขาทั้งสองคนคงจะตายไปแล้ว

“ไปกันเถอะ” เฉียวเทียนช่างรีบดึงมือภรรยาและเดินออกไป ขณะที่กำลังออกมานั้น หญิงสาวก็พยายามจดจำเส้นทาง เพราะต้องการจะกลับมาช่วยหญิงสาวคนนั้นอีกครั้ง

หญิงสาวที่ต้องนอนอยู่ในห้องอันเย็นยะเยือกนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย หนิงเมิ่งเหยารู้สึกเป็นกังวลกับสีหน้าอันซีดเผือดจนผิดปกติของหญิงสาวผู้นั้นเป็นอย่างมาก

ทั้งสองคนเดินไปตามอุโมงค์ โดยที่หนิงเมิ่งเหยาเอาแต่นึกถึงหญิงสาวในห้องนั้นอยู่ตลอดทาง

“เทียนช่าง ข้า…”

“เหยาเหยา พวกเราจะกลับไปที่นั่นอีก แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดที่พวกเราต้องทำในตอนนี้คือหนีออกไปจากที่นี่ให้ได้ จากนั้นจึงไปตามหาไป๋อีและคนอื่นๆ ให้เจอ เพื่อให้พวกเขาช่วยเหลือท่านพ่อตา ส่วนหญิงสาวที่อยู่บนเตียงนั้นไม่หนีไปไหนหรอก นอกจากนี้ การเคลื่อนย้ายนางไปที่อื่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นพวกเราจึงควรเตรียมการที่จำเป็น แล้วค่อยกลับไปที่นั่นอีกครั้ง” เฉียวเทียนช่างรู้ดีว่าหนิงเมิ่งเหยากำลังกังวลเรื่องอะไร เขาจึงพูดแทรกนาง

หนิงเมิ่งเหยาแทบไม่เคยเห็นสามีขึงขังเช่นนี้มาก่อน นางจึงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

เฉียวเทียนช่างถอนหายใจ ก่อนเหยียดมือไปโอบกอดนาง และกระซิบ “เหยาเหยา ข้ามิได้ห้ามเจ้าที่จะไปช่วยหญิงสาวคนนั้น แต่ตอนนั้นมันยังไม่ใช่เวลา นางหมดสติอยู่ หากเราไปช่วย ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้ และนั่นอาจจะกระทบไปถึงไป๋อีและคนที่เหลือได้”

หนิงเมิ่งเหยาเข้าใจ แต่ก็ไม่อยากให้นางต้องอยู่ที่นั่น หญิงสาวไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงรู้สึกเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักอีกฝ่ายมาก่อน

เฉียวเทียนช่างมองภรรยาอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นเขาจึงหอมแก้มนาง “เมื่อช่วยท่านพ่อตาได้สำเร็จ พวกเราจะวางแผนให้ดี แล้วข้าจะมาช่วยหญิงสาวคนนั้นกับเจ้าด้วย ตกลงหรือไม่”

“เจ้าสัญญาหรือไม่” หนิงเมิ่งเหยาได้ยินถ้อยคำของสามี ก็รู้สึกมีความสุขอย่างมาก

“ได้ ข้าสัญญา แต่เจ้าต้องเลิกดื้อดึงได้แล้ว ตกลงไหม”

“ตกลง”

หนิงเมิ่งเหยารู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย นางคือหญิงสาวที่แต่งงานแล้ว แต่ก็ยังทำตัวราวกับเป็นเด็กๆ อยู่ได้

ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น พวกเขาก็เดินมาถึงจุดสิ้นสุดของอุโมงค์ และได้ยินเสียงน้ำไหลดังขึ้นใกล้ๆ

“เทียนช่าง นี่คือเสียงน้ำไหล พวกเรากำลังจะออกไปจากที่นี่ได้แล้ว” นี่คือเสียงของลำธารที่ไหลผ่าน มิใช่เสียงน้ำหยดทั่วไปแต่อย่างใด

“ไปกันเถอะ”

เมื่อพวกเขาพบลำธาร ดวงตาของหนิงเมิ่งเหยาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น นางคว้าตัวเฉียวเทียนช่างก่อนจะวิ่งไปทางนั้น

“เทียนช่าง ข้าเห็นแสงสว่าง” ทันใดนั้น หญิงสาวที่กำลังมองลำธารสายนั้นอยู่เป็นเวลานานก็เบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น นางจ้องมองไปด้านหน้าพร้อมกับร้องอุทานออกมา

เฉียวเทียนช่างพยักหน้า “ใช่ ข้าก็เห็นมันเช่นกัน แต่พวกเราต้องระวังตัวให้ดี”

“ตกลง”

ทั้งสองคนยังคงตื่นตัวด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากพวกเขากังวลว่าจะมีองครักษ์อยู่ที่นี่ แต่เมื่อพวกเขาเดินขึ้นมาจากลำธารที่อยู่ใต้ดิน ก็พบว่าสถานที่ที่พวกเขาโผล่ขึ้นมานี้เป็นพื้นที่อันเขียวชอุ่มแห่งหนึ่ง

หนิงเมิ่งเหยามองสถานที่แห่งนี้อย่างงุนงง “ที่นี่คือที่ใดหรือ เทียนช่าง”

“ข้าก็ไม่รู้ ลองเดินดูรอบๆ กันเถอะ”

“เทียนช่าง ดูนี่สิ เจ้าคิดว่าพวกมันดูคล้ายกับหญ้าวิเศษที่อู๋เฉินมอบให้พวกเราหรือไม่” หญิงสาวเด็ดต้นหญ้าจากพื้นดินขึ้นมา ก่อนจะถามด้วยความใคร่รู้

ชายหนุ่มมองมันและเห็นด้วย “ใช่ เจ้าพูดถูก”

“ดูเหมือนว่าที่แห่งนี้คือพื้นที่ต้องห้ามแห่งเหมียวเจียง แต่ข้ายังสับสนอยู่เล็กน้อย ว่าทำไมที่นี่จึงถูกตั้งชื่อเช่นนั้น” หนิงเมิ่งเหยามองไปรอบๆ อย่างงุนงง

สถานที่แห่งนี้มีวัตถุดิบหายากที่ใช้ทำโอสถจำนวนมาก แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงเรื่องเดียวที่นางรู้ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกมากมายที่นางยังไม่ค้นพบ

เฉียวเทียนช่างมองภรรยา “พวกเราอาจจะยังออกไปข้างนอกไม่ได้กันอีกสักพัก”

“ถ้าเช่นนั้น พวกเราเดินสำรวจรอบๆ ได้หรือไม่” หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยถามด้วยความคาดหวังเล็กน้อย

“แน่นอน”

หนานอวี่เคยบอกเอาไว้ว่า เมื่อสิบกว่าปีก่อน สถานที่แห่งนี้ยังไม่ใช่พื้นที่ต้องห้าม มันเคยเป็นสถานที่ที่เชื้อพระวงศ์ของเหมียวเจียงมาฝึกฝนกัน แต่เหตุใดที่นี่จึงกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามในภายหลังกัน